รีวิว ร่างทรง (2021): อะไรกันที่มาเข้าสิง?

เพิ่งมีโอกาสได้ดู “ร่างทรง” (The Medium) หนังสยองขวัญอันเป็นที่เลื่องลือในปีที่แล้ว เมื่อ Netflix นำมาลงให้รับชมกันตั้งแต่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา

ในความรู้สึกของเรา จำได้ว่าตอนดูตัวอย่างหนัง ก็รู้สึกว่ามันหลอนนน และลังเลเหมือนกันที่จะไปดูในโรง แค่ดูผ่านหน้าจอคอมเล็ก ๆ ยังไม่กล้าดูเต็มตา

แต่พอมาได้ดูจริง ๆ เห็นบริบทของหนังจริง ๆ บวกกับดูตอนกลางวันแสก ๆ ก็สามารถบรรเทาความสยองไปส่วนหนึ่งได้ พอดูจบก็แอบน่าเสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้ดูในโรง

โดยร่างทรงนั้นเป็นหนังของ GDH ที่ได้โปรดิวเซอร์ นาฮงยอน จากเกาหลี เจ้าของผลงาน The Wailing มาร่วมจอนย์กับคุณโต้ง – บรรจง ปิสัญธนะกูล ด้วย เลยยิ่งทำให้หนังน่าดูยิ่งขึ้นไปอีก อยากรู้ว่าการผสมผสานแท็กทีมข้ามชาตินี้จะออกมาในรูปแบบไหน

ร่างทรง เป็นหนังที่เล่าเรื่องในรูปแบบสารคดี เจาะลึกชีวิต “ป้านิ่ม” (สวนีย์ อุทุมมา) คุณป้าท่าทางสุขุมน่าเกรงขามในภาคอีสาน ที่เป็นร่างทรงของ “ย่าบาหยัน” เทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยดูแลปกปักษ์พื้นที่ตรงนั้น ป้านิ่มเล่าว่าตระกูลป้าเป็นตระกูลร่างทรง คือสืบทอดเชื้อสายการเป็นร่างทรงต่อกันมาตั้งแต่สมัยรุ่นยายแล้ว โดยร่างทรงจะเป็นผู้หญิงเท่านั้น

ทีนี้ก่อนย่าจะมาเข้าป้านิ่ม ย่าก็เคยจะเข้า “ป้าน้อย” (ศิราณี ญาณกิตติกานต์) พี่สาวของป้านิ่มก่อน แต่ป้าน้อยปฏิเสธไม่ยอมรับ หนีไปอยู่ภายใต้ชายคาศาสนาคริสต์ซะงั้น และแต่งงานกับตระกูลยะสันเทียะ ป้านิ่มเลยได้รับโชคไป ซึ่งตอนที่ย่าจะเข้าสิงแล้วป้ายังฝืน ก็เกิดอาการป่วยต่าง ๆ ที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยความรู้ของแพทย์สมัยใหม่ อาการเหล่านั้นหายไปเมื่อป้านิ่มยอมรับย่าเข้ามา และศรัทธาย่ามาเรื่อย ๆ ซึ่งหน้าที่ก็คือคอยช่วยเหลือคนในหมู่บ้าน โดยเฉพาะเวลาใครป่วยด้วยอาการที่ถ้าไปโรงพยาบาลหมอก็คงงงตาแตก

ทีนี้ หนังก็ได้แนะนำให้เรารู้จักกับครอบครัวของป้าน้อยมากขึ้น เริ่มจาก “มิ้ง” (ญดา-นริลญา กุลมงคลเพชร) ลูกสาวป้าน้อย ที่ปรากฏตัวครั้งแรกในงานศพของวิโรจน์ ผู้เป็นพ่อ สามีของป้าน้อย และเราก็ได้รู้ว่าผู้ชายจากตระกูลยะสันเทียะตายไม่ดีสักคน ไล่ตั้งแต่ผู้เป็นปู่ ต่อมาเป็นลูกชาย (พี่ชายมิ้ง) สุดท้ายก็คือตัวพ่อเอง

ต่อมา หนังก็ฉายให้เห็นว่ามิ้งมีอาการแปลก ๆ เช่น มองเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น มีพฤติกรรมไม่เหมือนมิ้งคนเดิม ไหนจะอาการป่วยแปลก ๆ อีก ทำเอาวุ่นไปหมด งานการก็ไม่ได้ทำ คนในครอบครัวเลยเริ่มสงสัยว่า ย่าบาหยันจะเปลี่ยนมาเข้าสิงมิ้งแทน? หรือเป็นปรากฏการณ์อื่นที่รุนแรงยิ่งกว่านั้น?

พอเจอเรื่องราวที่ดูลี้ลับน่ากลัวกว่า สารคดีดังกล่าวเลยเปลี่ยนจากชีวิตของป้านิ่มที่เพลนๆ มาโฟกัสชีวิตสุดระทึกของมิ้งแทน

หนังดำเนินไปประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ แต่เราไม่รู้สึกง่วงหรือเบื่อเลย เพราะเหตุการณ์ชวนให้ติดตามตลอด โดยหนังเริ่มต้นช่วงครึ่งแรกด้วยการเล่าเรื่องแบบสารคดี คือมีการไปสัมภาษณ์ผู้คน ตามติดการใช้ชีวิต เรื่องราวดำเนินไปแบบค่อนข้างเรียบง่ายไม่หวือหวา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่น่าเบื่อ เพราะเรารู้สึกว่าแค่สิ่งที่ถ่ายทอดออกมาผ่านบทสัมภาษณ์นั้นก็น่าติดตามแล้ว ถ้าขาดไปก็คงไม่อิน เพราะไม่รู้ประวัติพื้นฐานดั้งเดิมของครอบครัว แต่สำหรับใครที่คาดหวังฉากหลอน ๆ อาจจะง่วงตั้งแต่ต้นเรื่องได้

หนังเริ่มพีคขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีมิ้งเป็นตัวเร่งเหตุการณ์ เพราะอาการของมิ้งเริ่มวิบัติขึ้นจนถึงขั้นต้องไปพึ่งหมอผี ช่วงท้าย ๆ ของหนังจะดุเดือดต่างจากตอนต้นเรื่องที่เหมือนสายหมอกเอื่อย ๆ ท้ายเรื่องจะเหมือนไฟบรรลัยกัลป์ที่พร้อมเผาทุกสิ่งอย่าง ดูแล้วลุ้นว่าเรื่องมันจะจบอีท่าไหนวะ เดาไม่ถูกเลย ขณะเดียวกันบรรยากาศเย็นเยียบที่หนังสร้างมาตั้งแต่ต้นเรื่อง ก็ถูกแปรเปลี่ยนด้วยความระทึกตื่นเต้นแบบหนังซอมบี้แทน ซึ่งจะว่าไปก็…พลิกไปเยอะเหมือนกัน

โลเกชั่นการถ่ายทำของหนังเรื่องนี้อยู่ที่จังหวัดเลย ภาคอีสาน สิ่งหนึ่งที่ชอบมากของหนังคือภาพบรรยากาศและซีนต่าง ๆ ที่ดูมีความศักดิ์สิทธิ์ ความชวนหลอน ความเย็นยะเยือก ความ surreal หนังสามารถเสกให้ภาคอีสานกลายเป็นเมืองหนาวได้เฉย ซึ่งก็ช่วยเสริมความน่าขนลุกของหนังได้ดีโดยที่ไม่ต้องมีฉากตุ้งแช่หรือฉากแหวะ ๆ อะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นฉากวิวเมือง หรือฉากถ้ำที่เป็นที่สถิตของย่าบาหยัน

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าหนังจะไม่มีฉากชวนตกใจ หรือฉากชวนอ้วกนะ มีเหมือนกัน และมาแต่ละทีก็ทำเอาติดตาไปเลยจ้า

หนังเจาะเรื่องพิธีกรรม ภูตผีท้องถิ่นแถบอีสาน ความศรัทธา ความเชื่อ ในสิ่งลี้ลับที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักการวิทยาศาสตร์ ซึ่งเราคิดว่าจุดนี้น่าจะเป็นอะไรที่ตื่นตาตื่นใจชาวต่างชาติพอสมควร แต่สำหรับคนไทยแล้วคงไม่ได้ตื่นเต้นนักเพราะเราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว แค่รู้สึกว่าหนังสามารถเบลนด์เรื่องความเชื่อท้องถิ่นมาเข้ากับหนังได้อย่างดี ทำให้มีกลิ่นอายที่เป็น local มากยิ่งขึ้น ไม่ได้เหมือนหนังแนวนี้ของชาติอื่น ๆ

เรื่องเจ้ากรรมนายเวร เวรกรรมที่ตระกูลยะสันเทียะเคยก่อเอาไว้ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ ก็เป็นตัวอธิบายได้ดีว่าทำไมป้าน้อยกับมิ้งต้องมาเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องตอนนี้ เวลานี้ เราว่ามันคงไม่ได้มีคำอธิบายที่เป็นชิ้นเป็นอันเท่าไร คงได้แต่เดาว่า มันถึงเวลาของมัน ที่ทุกอย่างมาบรรจบกันพอดี ไม่ว่าจะเป็นการที่มิ้งถึงวัยสืบทอดย่า หรือพฤติกรรมของมิ้งที่เหลวแหลกสะสมกันมาจนถึงจุดนึงกลายเป็นร่างที่วิญญาณร้ายหมายปอง

การเล่าเรื่องของหนังก็ทำออกมาได้สนุกนะสำหรับเรา ไม่มีช่วงไหนที่รู้สึกว่าเบื่อหน่าย มันเหมือนมีอะไรมาให้หาคำตอบเรื่อย ๆ คิดว่าเข้าใจถูกแล้ว อ้าว โดนหลอกว่ะ จนกระทั่งตอนใกล้ ๆ จบก็ยังเดาเรื่องไม่ถูกว่าจะจบยังไง

ในฝั่งของนักแสดง ทุกคนทำได้ดีมาก ๆ โดยเฉพาะญดาที่รับบทมิ้ง เป็นบทที่ต้องใช้พลังมากจริง ๆ เพราะโดนผีสิงไปเกือบทั้งเรื่องแล้ว ซึ่งสภาพการโดนสิงก็คิดภาพ The Exorcist ตามได้เลย นอกจากมิ้งแล้วนักแสดงคนอื่น ๆ ทั้งนักแสดงหลักและสมทบ ก็แสดงได้ดีไม่มีที่ติ

ถ้าจะมีจุดไหนที่ติด ก็คงเป็นหลาย ๆ ช่วงที่เรารู้สึกว่าตากล้องทีมงานถ่ายทำสารคดีนั้นทำตัวไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไร เหมือนห่วงในหน้าที่มากจนลืมสัญชาตญานทุกอย่าง กระทั่งช่วงที่ crisis มาก ๆ ก็ยังถือกล้องถ่ายอย่างไม่รักตัวกลัวตาย ซึ่งถ้าเป็นคนปกติก็คงทิ้งกล้องวิ่งหนีป่าราบไปแล้ว หรือก็ต้องหาทางสู้ผีกลับแล้ว ไม่ใช่ยังมัวห่วงกล้อง ห่วงฟุตเทจ

หรือบางจุดที่เหตุการณ์ต้องมีคนมาสมทบช่วย ก็รู้แหละว่าทีมงานสารคดีไม่ควรมีส่วนเอี่ยวกับเรื่องที่ตนถ่ายทำ แต่มันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายที่ถ้าเอื้อมมือไปช่วยสักหน่อยสถานการณ์ก็คงไม่เลวร้ายนัก แต่นี่คือยืนถ่ายเฉย ๆ เหมือนไม่ได้เป็นคนที่มีความรู้สึก

มันเลยเป็นจุดตะหงิดที่ว่า เออ ถ้าหนังเรื่องนี้ไม่เป็นสารคดี มันอาจจะกลมกล่อมกว่านี้รึเปล่า ก็จริงอยู่ที่ช่วงแรก ๆ การถ่ายทำแบบสารคดีนั้นให้ความเรียลดี เหมือนได้ดูเรื่องจริง แต่ช่วงหลัง ๆ หนังเริ่มบู๊แหลกจนบางซีนทำให้เราลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่ามีคนอยู่หลังกล้องนั้นจริง ๆ หรือถ้าฉากไหนที่แสดงให้เห็นว่ามี ก็นั่นแหละกลับมาเรื่องเดิม คือพวกแกห่วงการถ่ายทำมากกกกจนลืมไปว่าพวกแกใกล้เฉียดตายแล้วนะเว้ยยย

ซึ่งมันเหมือนต้อง trade off กัน เพราะถ้าอยากเห็นหนังไปจนถึงสุดจริง ๆ กล้องก็ยังต้องถ่ายอยู่ แต่ไอ้ “สุด” ของหนังที่ว่านี่มันก็เสี่ยงชีวิตซะเหลือเกิน ถ้าหนังไม่ได้เป็นสารคดี ก็คงสามารถไปสุดได้โดยที่ไม่ต้องตะขิดตะขวงอะไร

นอกจากนี้ พฤติกรรมตัวละครบางจุดก็ดูแล้วหงุดหงิด เช่น การเห็นอยู่ทนโท่ว่ามิ้งเวอร์ชั่นผีสิงนั้น savage ขนาดไหน ก็ยังปล่อยให้ออกมาเดินเพ่นพ่าน ไม่มีมาตรการมัดตัว ล็อกตัว แปะยันต์อะไรไว้เลย, บ้านไม่ล็อกห้อง ไม่กลัวสักนิดว่ามิ้งจะมาถล่ม, ตอนทำพิธี คนมาเฝ้ามิ้งมีน้อยมาก แถมหนึ่งในนั้นยังเป็นแม่ลูกอ่อนที่โคตรจะ sensitive กำลังคนแก๊งหมอผีมีตั้งเยอะทำไมไม่เอามาช่วยตรงนี้ ฯลฯ

ในฝั่งของพล็อต หลาย ๆ จุดของหนังไม่ได้เฉลยให้เคลียร์ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นแบบนี้ เราคิดว่าเขาคงตั้งใจให้มาถกเถียงกันเองแหละ ซึ่งพอไปอ่านการคาดเดาของคนดูในพันทิปแล้วก็บันเทิงไม่ใช่น้อย ตรงนี้เราคิดว่าก็คงแล้วแต่แต่ละคนจะเข้าใจยังไง ไม่ได้มีข้อเฉลยตายตัว ซึ่งก็ถือเป็นเสน่ห์ของหนังแนวนี้แหละ

ถามถึงความน่ากลัว คนจิตอ่อนดูได้มั้ย?

ถ้าจิตอ่อนแต่อยากลองก็มาดูได้ 555 แต่ส่วนตัวคิดว่าหนังค่อนข้างน่ากลัวอยู่นะถ้าใครไม่คุ้นชินกับหนังสยองขวัญ แต่ถ้าใครเป็นคอหนังแนวนี้อยู่แล้วก็น่าจะผ่านไปได้ด้วยดีไม่ติดขัดอะไร เพราะน่าจะเคยดูหนังที่โหดสัสกว่านี้มาแล้ว และหนังเรื่องนี้ก็เหมือนยัดองค์ประกอบหนังผีหลาย ๆ เรื่องเข้ามา ตอนดูก็จะมีความรู้สึกว่าคล้ายคลึงกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่เท่าไร

ส่วนตัวคิดว่าที่น่ากลัวสุดของหนังคือการที่เราเผลอไปเห็นอะไรที่หนังไม่ได้โชว์โฉ่งฉ่างนี่แหละ ไม่ใช่ฉากผีซอมบี้ (ความจริงคือผีหมา) กินคน หรือฉากร่างทรงตัวชัก อันนั้นมันเป็นอะไรที่คาดเดาได้อยู่แล้ว

โดยรวมคือ รู้สึกบันเทิงนะกับหนังเรื่องนี้ ค่อนข้างชวนให้ลุ้นตั้งแต่ต้นจนจบเลย แม้ว่าตอนจบจะเปลี่ยนฟีลไปเหมือนหนังคนละม้วนก็ตาม แต่ก็แอบเสียดายความหลอนเย็น ๆ ของช่วงต้นเหมือนกัน ตรงนั้นเราว่าเป็นเสน่ห์ที่เผยให้เห็นตั้งแต่ตอนอยู่ในตัวอย่างหนัง และชวนให้เราอยากมาดูหนังตั้งแต่แรกเลย

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Blog at WordPress.com.

Up ↑

%d bloggers like this: