Taxi Driver (2021) เป็นซีรีส์เกาหลีที่สร้างมาจาก Webtoon ซึ่งเรื่องนี้เรามีโอกาสได้อ่าน Webtoon มาก่อน พอซีรีส์ลง Netflix เลยไม่พลาดที่จะรับชมเวอร์ชั่นคนแสดงด้วย และขอบอกว่ามันสนุกมากจริง ๆ !
เนื้อเรื่องคือ พระเอก “คิมโดกี” (Lee Jehoon) ทำงานเป็นคนขับแท็กซี่วีไอพีของบริษัทแท็กซี่สีรุ้ง ซึ่งบริษัทนี้ก็ไม่ใช่บริษัทแท็กซี่ทั่วไป แต่แอบมีบริการแท็กซี่วีไอพีคันพิเศษที่เอาไว้รับผู้โดยสารที่แค้นสุมอกโดยเฉพาะ ขอแค่ผู้โดยสารเอ่ยมาว่าอยากไปแก้แค้นใคร คิมโดกีและทีมงานก็พร้อมบุกตะลุยไปทุกที่ ขนเครื่องไม้เครื่องมือและสกิลหมัดมวยไปพร้อม
แต่ด้วยความที่แท็กซี่วีไอพีนี้ใช้วิธีจัดการอาชญากรรมแบบนอกกฎหมาย ได้ตัวคนร้ายมาแล้วก็เอาไปขังไว้ในคุกเถื่อนต่างหาก ความลึกลับที่ว่า “ไอ้ฆาตกรนั่นหายหัวไปไหนวะ” จึงเตะตาอัยการสาวไฟแรงอย่าง “คังฮานา” (Esom) เข้าจัง ๆ คังฮานาเลยเข้ามาคอยสืบสวนและค้นหาความจริงซึ่งเกี่ยวโยงไปกับแท็กซี่ของพระเอก
จึงกลายเป็นว่า นอกจากทีมพระเอกจะต้องจัดการคนร้ายในแต่ละเคสอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ สายตากฎหมายแล้ว ก็ยังต้องคอยหาทางพลิกตัวหนีอัยการฝีมือทองที่พยายามจะมาเปิดโปงพวกเขาด้วย นี่ยังไม่รวมมิตรที่หันกลับมาแทงข้างหลังในช่วงท้าย ๆ ของซีรีส์อีก
สนุก เศร้า บู๊ ตลก ครบรส ขาดอย่างเดียวแค่เรื่องรัก ๆ

สำหรับเรื่องนี้นั้นใครชอบแนวบู๊แอ็กชั่นน่าจะถูกใจ เพราะซีรีส์จัดเต็มให้แบบตั้งแต่ต้นยันจบเลยจริง ๆ มีทั้งฉากต่อสู้ตัวต่อตัว สู้แบบร้อยรุมหนึ่ง หรือจะแอ็กชั่นบนท้องถนนก็ทำโปรดักชั่นออกมาได้ดี ไม่ต้องใส่ซีจีอะไรมากมายก็สนุกได้
นอกจากฉากแอ็กชั่นที่ทำได้ดีแล้ว ฉากดราม่าซีรีส์ก็ถ่ายทอดได้ชวนให้เศร้าน้ำตาคลอ เพราะตัวละครล้วนแล้วแต่เสียคนที่รักไป ใครจะทำใจได้ พอซีรีส์เล่นวนฉากเหล่านี้เราก็เจ็บปวดไปพร้อมตัวละคร ยิ่งทำให้มีอารมณ์ร่วมกับภารกิจของพวกเค้ามากขึ้น
และแน่นอนว่าอีกอารมณ์ที่มาช่วยเสริมให้ซีรีส์กลมกล่อมขึ้นก็คือมุมตลก ๆ โดยเฉพาะตอนที่พระเอกของเราต้องปลอมตัวไปเป็นคนนู้นคนนี้เพื่อแก้แค้น จากพระเอกหน้าตายก็จะกลายเป็นแป๊ะยิ้มบ้าง เป็นอาเสี่ยบ้าง นี่ยังไม่รวมตัวละครเสริมทีมอย่างวิศวกรสองหนุ่มที่เป็นสีสัน ทำงานเป็นนักแสดงจำเป็นนอกเหนือบทบาทวิศวกรไปพร้อม ๆ กับพระเอก เป็นตัวละครที่เติมเข้ามาเบรกความจริงจังของหนังได้ดี
อย่างเดียวที่ขาดไปของซีรีส์คือเรื่องความโรแมนติก บอกได้เลยว่านับเป็นศูนย์ คือแม้จะมีตัวเอกหญิงถึง 2 คนอย่างคังฮานาและอันโกอึน (Pyo Ye-Jin) เพื่อนร่วมทีมของพระเอก แต่ก็ไม่ได้มีมุมกุ๊กกิ๊กกับพระเอกเลยแม้แต่น้อย เป็นเหมือนเพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมวงการกันมากกว่า ฉะนั้นใครที่เป็นสายเสพฉากฟิน คงไม่ชอบเรื่องนี้เท่าไร แต่ถ้าใครชอบแบบเนื้อเรื่องเน้น ๆ เนื้อ ๆ ไม่ต้องมีซีนหวาน ๆ ก็น่าจะถูกใจ
ซีรีส์ VS เว็บตูน

สิ่งแรกที่คิดก็คือ ซีรีส์มีความแตกต่างจากเว็บตูนมาก
ว่าง่าย ๆ คือ นอกเหนือจากแกนเรื่องหลักและตัวละครหลักบางคนแล้ว อย่างอื่นคือไม่เหมือนกันอย่างกับฟิล์มคนละม้วน
แต่ถามว่าสนุกมั้ย อันไหนสนุกกว่ากัน? ก็ต้องบอกว่าสนุกทั้งคู่ สนุกไปคนละแบบ
ตัวเว็บตูนเนื้อหาจะดาร์กมาก ดาร์กแบบ Uncensored ดาร์กแบบหดหู่ไปไหนวะ ทำไมสังคมมันเน่าเฟะขนาดนี้ ซึ่งในซีรีส์เทียบไม่ได้เลย เพราะเว็บตูนเล่นขยี้ประเด็นหนัก ๆ ทั้งนั้น เช่น การค้ามนุษย์ การใช้ความรุนแรง การหลอกเอาเงิน ที่เว็บตูนใส่มาแบบจัดเต็ม ไม่มีมุกตลกฮิฮะแทรกเข้ามาใด ๆ ทั้งสิ้น ลายเส้นก็จะดิบ ๆ ดาร์ก ๆ สีหม่น ๆ
แต่ซีรีส์ก็จะมีความน่าติดตามในเชิงพล็อตเรื่องที่ไม่ได้มีแค่เคส ๆ จบเป็นตอน ๆ ไป แต่มีเส้นเรื่องใหญ่ให้เราติดตามด้วย แล้วก็ต้องยอมรับว่าซีรีส์เพิ่มความน่ารักด้วยการเสริมมุกเข้าไปนิด ๆ ไม่ให้หนังเครียดเกินไป ซึ่งก็ทำได้ออกมากลมกล่อมดี
ความยุติธรรม VS ความถูกต้อง

สิ่งที่น่าสนใจของซีรีส์คือการปะทะกันระหว่างสองแนวคิด ระหว่างการผดุงความยุติธรรมนอกกฎหมายที่รวดเร็วทันใจ กับการทำทุกอย่างตามขั้นตอนกฎหมาย แต่ก็แสนจะล่าช้าเหลือเกิน
ทีมพระเอกนั้นพร้อมที่จะช่วยเหลือเหยื่อ ทวงคืนความยุติธรรมให้ โดยไม่สนวิธีการ ไม่สนกฎหมายหน้าไหน พวกเขาใช้วิธีของเขา รวดเร็วทันใจ กรรมตามทันแบบติดจรวด ไม่ต้องง้อตำรวจ อัยการ หรือศาลให้มาตัดสิน พวกเขาจะเป็นคนตัดสินและลงโทษเอง
ส่วนทีมของอัยการนั้นก็เป็นตัวแทนของผู้ผดุงความถูกต้องทั่ว ๆ ไป อยากให้ทุกอย่างอยู่ในกฎระเบียบ เพราะมองว่าวิธีของพระเอกนั้นดูยังไง ๆ ก็ไม่ต่างจากอาชญากรรมแม้ว่าจะหวังดีกับเหยื่อก็ตาม ข้อเสียคือขั้นตอนทางกฎหมายนั้นแสนจะล่าช้า บางครั้งก็มีช่องโหว่ที่ทำให้อาชญากรลอยหน้าลอยตาต่อไปทั้ง ๆ ที่เห็นกันเต็ม ๆ ตาว่าทำผิด
นี่เป็นการปะทะกันที่น่าติดตามมาก อยากรู้ว่าสุดท้ายฝ่ายไหนจะเป็นคนยอม ซึ่งซีรีส์ก็เพิ่มความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยการให้ทั้งสองฝั่งเริ่มเห็นจุดผิดพลาดของวิธีตัวเอง ทำให้ต้องกลับมาพิจารณาแนวทางของตัวเองอีกครั้ง ว่ามันใช่วิธีที่ดีที่สุดจริง ๆ มั้ย
ทีมอัยการพร้อมที่จะปล่อยอาชญากร 100 คนไป เพียงเพื่อปกป้องผู้บริสุทธิ์คนเดียว ในขณะที่ทีมพระเอกนั้นช่วยเหลือเหยื่อที่เกิดจากอาชญากร 100 คนนั้นให้ได้รับความยุติธรรม ความสนุกคือที่เราจะค่อย ๆ เริ่มเห็นสองขั้วที่ต่างกันนี้ประสานกันมากขึ้นเรื่อย ๆ
แค้นนี้ต้องชำระ แต่ถ้าเลิกแค้นคือชนะ
สิ่งที่ Drive ตัวละครชัด ๆ เลยก็คือ “ความแค้น” ไม่ว่าจะเป็นคิมโดกีที่สั่งสมความแค้นเอาไว้หลังแม่โดนฆาตกรรม ประธาน “จางซองชอล” (Eui-sung Kim) เจ้าของบริษัทแท็กซี่สีรุ้ง และประธานมูลนิธินกสีฟ้าเพื่อช่วยเหลือเหยื่ออาชญากร ก็ก่อตั้งบริษัทขึ้นมาจากความแค้นส่วนตัวเช่นกัน นี่ยังไม่รวมถึงเหยื่อของอาชญากรรมต่าง ๆ ที่มาขอความช่วยเหลือจากแท็กซี่ ก็ล้วนแล้วแต่มีความแค้นฝังอก ต้องการเอาคืนคนที่ทำให้ตนต้องทุรนทุราย
แม้การแก้แค้นจะทำให้สะใจในระยะสั้น แต่ตัวละครก็ได้เรียนรู้ตอนท้ายว่าการแก้แค้นนั้นไม่ใช่หนทางจบสิ้นทุกอย่าง เพราะการแก้แค้นนึงก็มักจะส่งผลให้เกิดการแก้แค้นต่อ ๆ ไปไม่หยุดหย่อน เหมือนลูกโซ่ที่เชื่อมต่อกันไปเรื่อย ๆ และเมื่อแท็กซี่สีรุ้งโดนแก้แค้นซะเอง พวกเขาจึงตระหนักได้ว่า หนทางของการหยุดวงจรอุบาทว์นี้ก็คือการยอมตัดจบ และใช้ชีวิตของตัวเองอย่างเต็มที่ ไม่มีสิ่งติดค้างในใจต่างหาก นี่แหละคืออิสรภาพที่แท้จริง
“คิมโดกี” ไม่ใช่คนขับแท็กซี่ธรรมดา แต่เป็นยอดมนุษย์ชัด ๆ

คิมโดกีเป็นพระเอกที่โคตรของโคตรพระเอก สกิลการต่อสู้นั้นเหมือนหลุดออกมาจากค่ายมาร์เวล ขนาดต่อกรกับคน 100 คนยังชนะได้ จะว่าเว่อร์ก็เว่อร์แหละ 555 คือดูแล้วรู้สึกว่าพระเอกไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไร ยังไงก็หาทางเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว นอกจากจะมีสกิลการต่อสู้ที่เหมือนสัตว์ประหลาด ยังมีไหวพริบ เล่ห์เหลี่ยม และสกิลการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่เฉียบคมมาก ๆ
เราจะได้เห็นคิมโดกีในบทบาทต่าง ๆ นอกจากคนขับแท็กซี่ ทั้งครูโรงเรียนมัธยม เจ้าพ่อมาเฟีย พนักงานบริษัท เรียกได้ว่าใช้งานพระเอกได้คุ้มจริง ๆ ตรงนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของหนังที่ชวนให้คนดูยิ้มและหัวเราะตาม เป็นมุมตลก ๆ นอกเหนือจากมุมดราม่าแอ็กชั่นที่แทบจะเสิร์ฟมาให้ทั้งเรื่อง
สรุป

Taxi Driver เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่เข้มข้นและสนุกมากจริง ๆ ยิ่งดูยิ่งสนุก ยิ่งใกล้จบยิ่งมันส์
ตัวละครมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันไป ที่หนึ่งขอยกให้พระเอกที่เป็นตัวหลักของเรื่อง แบกรับหลายบทบาท นอกจากนี้ตัวละครเสริมก็สร้างสีสันได้ดี
พล็อตเรื่องค่อนข้างตรงไปตรงมา ไม่มีปมอะไรผูกซ้อนกันวุ่นวาย ทำให้สามารถตามเรื่องได้ง่าย ๆ ไม่งง ฉากดราม่าก็ทำได้ดีชวนให้รู้สึกอ่อนไหวตาม
โดยรวมแนะนำเลยสำหรับใครที่กำลังหาซีรีส์เกาหลีสนุก ๆ เน้นความบู๊แอ็กชั่นดราม่า ไม่เน้นหวาน เชื่อเถอะว่าดูไปตอนสองตอนเพลินแน่นอน
Leave a Reply