พอรู้ว่า Love, Death & Robots มีภาคต่อ ก็ไม่รอช้าที่จะเปิดดู เพราะอยากรู้ว่าภาคนี้จะนำเสนออะไรเจ๋ง ๆ เหมือนภาคที่แล้วบ้าง โพสนี้เลยขอบันทึกความคิดและมุมมองที่มีต่อแต่ละตอน ขอเตือนว่ามีสปอยล์
“AUTOMATED CUSTOMER SERVICE”

อนิเมชั่น 3D สไตล์ Pixar ที่จำลองหมู่บ้านคนแก่ ในหมู่บ้านนี้มีหุ่นยนต์ที่คอยอำนวยความสะดวก ตัวเอกของเรื่องคือคุณป้าคนหนึ่งที่อยู่ในบ้านกับหมาพูเดิ้ล และมี Vacubot เป็นหุ่นยนต์ทำความสะอาดบ้าน ไป ๆ มา ๆ นางเผลอไป Activate โหมดทำลายล้างของหุ่นยนต์นี้ ซึ่งมันจะฆ่าพวกแมลง สัตว์ตัวเล็ก และอาจจะรวมถึงสัตว์ตัวใหญ่หรือสิ่งมีชีวิตตัวใหญ่ด้วย ความวุ่นวายเลยเกิดขึ้นเมื่อคุณป้าต้องหิ้วพูเดิ้ลหนีหุ่นยนต์ที่ตามไล่ฆ่าในบ้านตัวเอง โทรไปหา Call Center ก็ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไร สุดท้ายแม้จะกำจัดหุ่นยนต์ได้ แต่ก็ต้องโดนหุ่นยนต์อื่นไล่ล่าเพราะไปฆ่าพวกของมัน
เป็นตอนที่แบบ เออมันคิดได้ว่ะ 555 ตลกใช้ได้อยู่แม้จะมีฉากปลาตายที่เลือดสาด สตอรี่เหมือนจะกัดจิกชีวิตที่รายล้อมไปด้วยหุ่นยนต์และ Automated System ว่าสุดท้ายแล้วพวกมันก็ไม่เข้าใจเรา และเราไม่สามารถติดต่อกับมันได้ไหลลื่นเท่ามนุษย์คุยกันเอง อีกทั้งตอนที่คุณป้าอยากจะคุยกับ Call Center ที่เป็นมนุษย์ ก็ต้องรอถึง 6 ชั่วโมง! ชีวิตแบบไฮเทคก็ไม่ได้สบายขนาดนั้นสินะ
“ICE”

อนิเมชั่น 2D สไตล์ Noir ที่เล่าถึงครอบครัวหนึ่งซึ่งเพิ่งย้ายมาอยู่ในดินแดนที่มีน้ำแข็งเกาะ ครอบครัวมองว่าพี่ชายไม่สามารถปรับตัวเข้ากับที่นี่ได้ดีนัก จึงขอให้ตัวน้องชายช่วยหน่อย น้องพาพี่ไปเจอเพื่อน ๆ ซึ่งมีทักษะที่ค่อนข้างแอดวานซ์ (การกระโดดสูง ๆ การวิ่งได้เร็ว น่าจะมาจากกรรมพันธุ์ของคนที่ต้องอยู่ที่นี่) พวกเขาได้ไปผจญภัยวิ่งหนีปลาวาฬน้ำแข็งกัน จากจุดนี้ทำให้พี่น้องสนิทกันมากขึ้น และคนพี่ก็ได้เข้าสังคมสักที
เนื้อเรื่องค่อนข้างออกแนวมิตรภาพพี่น้อง Coming-of-Age แบบวัยรุ่น จบได้อบอุ่นดีท่ามกลางทิวทัศน์อากาศหนาวเยือก ฉากวิ่งหนีปลาวาฬทำได้ดีมาก ลุ้นระทึกตามไปด้วยเลยว่าจะวิ่งหนีทันมั้ย เป็นตอนสั้น ๆ ที่ภาพสวย สตอรี่ไม่หนักมาก
“POP SQUAD”

อนิเมชั่น 3D แบบเสมือนคนจริงนี้มีกลิ่นอายของความเป็นหนังตำรวจนักสืบ เล่าเรื่องของโลกในอนาคตที่มนุษย์สามารถเลือกเป็นอมตะได้ แต่เพื่อไม่ให้ประชากรล้นโลก คนที่อยู่เป็นอมตะห้ามมีลูก หน้าที่ของพระเอกคือเป็นตำรวจคอยกำจัดเด็กที่เกิดมาแบบนอกระบบ (เรียกง่าย ๆ ว่าลูกคนจน)
หนังแสดงให้เห็นชีวิตที่แสนจะต่างกันสุดขั้ว ระหว่างเหล่าคนรวยที่เลือกความเป็นอมตะ มีชีวิตหรูหราหมาเห่า ส่วนเหล่าคนจนกลับเลือกที่จะมีลูก และยอมที่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมย่ำแย่ เพราะพวกเขามองว่าชีวิตตัวเองไม่ได้มีค่าอะไรให้อยู่เป็นอมตะ การมีลูกจึงเปรียบเสมือนของขวัญ เนื้อเรื่องตอนนี้ค่อนข้างดาร์กเลย ระยะเวลาของตอนนี้จะค่อนข้างยาว (ประมาณ 18 นาที)
“SNOW IN THE DESERT”

อีกเรื่องที่เป็นอนิเมชั่น 3D แบบเสมือนคนจริง เล่าถึงสโนว์ ผู้ชายที่เป็นที่หมายหัวของเหล่านักฆ่าล่ารางวัล เพราะสโนว์สามารถมีชีวิตที่เป็นอมตะได้ จึงมีคนหมายปองอยากตัดไข่ (จริง ๆ) สโนว์เจอกับผู้หญิงคนหนึ่งที่มาจากหน่วยงานวิจัย พวกเขาเดินทางด้วยกันไปเรื่อย ๆ มีสานสัมพันธ์กัน แต่สุดท้ายก็เจอนักฆ่าตามไปป่วนอยู่ดี
ธีมของเรื่องนี้คล้าย ๆ กับเรื่องที่แล้ว คือเล่นกับชีวิตที่เป็นอมตะ ในเรื่องนี้เหมือนจะโฟกัสไปที่ความเหงาด้วย เพราะเมียสโนว์ตายไป 100 กว่าปีแล้ว สโนว์ก็อยู่แบบโดดเดี่ยวมาตลอด จนกระทั่งเจอกับผู้หญิงคนใหม่ที่มีชีวิตเป็นอมตะเหมือนกัน ตอนจบค่อนข้างอบอุ่นเลย แต่ระหว่างทางฉากบู๊ก็รุนแรงเลือดสาดอยู่
“THE TALL GRASS”

แค่ชื่อก็ชวนให้นึกถึงหนังเรื่อง In The Tall Grass ที่สร้างจากนิยายของ Stephen King เลย ไม่ได้เหมือนแค่ชื่อแต่คอนเซ็ปต์และโลเกชั่นยังเหมือนด้วย คือพงหญ้าสูงเหนือหัวที่แผ่ขยายไปไม่รู้จบสิ้น พระเอกเดินลงมาจากรถไฟที่หยุดกะทันหัน เข้ามาในพงหญ้าแล้วได้เจอกับสัตว์ประหลาด ต้องมาลุ้นกันว่าเขาจะรอดมั้ย
เรื่องนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนมาก ระทึก ๆ นิดหน่อยว่าพระเอกจะรอดตายมั้ย จะโดนสัตว์ประหลาดฆ่ามั้ย จะตกรถไฟรึเปล่า บรรยากาศของหนังมีความอึมครึม ถ้าเกิดขึ้นจริงก็คงน่ากลัว ตอนจบยังมีทิ้งท้ายไว้อีกว่าสัตว์ประหลาดเหล่านั้นมีหลายตัวมาก
“ALL THROUGH THE HOUSE”

อนิเมชั่นสไตล์เด็ก ๆ เล่าถึงคืนวันคริสต์มาสที่เด็กสองพี่น้องรอจะได้รับของขวัญจากซานต้า แต่ปรากฏกว่าซานต้าดันหน้าเหมือนสัตว์ประหลาดจาก Stranger Things ที่ขยับแต่ละทีก็หวาดเสียวว่าจะฆ่าเด็กเอา แต่ปรากฏว่าเพราะเด็ก ๆ เป็นเด็กดี ซานต้าสัตว์ประหลาดจึงมอบของขวัญ (ที่ขย้อนออกมาจากปาก) ให้
เป็นตอนที่ทั้งน่ารักและน่ากลัว เข้าใจเลยว่าทำไมคำโปรยถึงบอกว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่าของเด็ก ตอนสุดท้ายเด็ก ๆ ยังมีสงสัยทิ้งท้ายไว้ว่าถ้าพวกเขาเป็นเด็กไม่ดี จะเป็นยังไง ซึ่งเราก็ไม่อาจคิดเป็นอื่นได้เลย
“LIVE HUTCH”

ตอนที่ดูตอนนี้ คิดว่าเป็นคนแสดงจริงนะ แต่ปรากฏว่ามีใช้ CG มาบางส่วน (เนียนมาก) บรรยากาศและธีมของหนังก็ยังเป็นแนวไซไฟหลุดโลกอยู่ เป็นเรื่องของนักบินอวกาศที่ยานตกไปบนดาวดวงหนึ่ง แล้วดันไปเจอหุ่นยนต์ซ่อมบำรุงที่ทำงานผิดปกติ เอาแต่จะฆ่าเขาลูกเดียว เลยต้องลุ้นว่าเขาจะสามารถเอาตัวรอดในที่แคบ ๆ นั่นได้มั้ย
เราเฉย ๆ กับตอนนี้นะ ไม่ค่อยลุ้นเท่าไร มันไม่ค่อยมีเส้นเรื่องอะไรอะ แต่ตอนสู้กันก็น่าตื่นเต้นอยู่ โดยรวมเฉย ๆ ไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องราวมีมิติเท่าไร
“The Drowned Giant”

อนิเมชั่นเสมือนจริงที่ภาพสวย เล่าเรื่องเหมือนนิทาน อยู่มาวันหนึ่งคือมีร่างของยักษ์หนุ่มปรากฏ ณ ชายหาด ผู้คนต่างก็ตื่นเต้นเข้าไปเยี่ยมชมดูราวกับเป็นนิทรรศการ พระเอกคอยสังเกตการณ์อยู่ห่าง ๆ นับวันก็ได้เห็นร่างของยักษ์ที่เน่าเปื่อยไปตามกาลเวลา มีการชำแหละร่างเพื่อกำจัด และนำชิ้นส่วนต่าง ๆ ไปกระจายอยู่ตามมุมต่าง ๆ ของเมือง นานไปจากตอนแรกที่ยักษ์เป็นสิ่งน่าตื่นตาตื่นใจ ทุกคนก็เหลือไว้เพียงความทรงจำคร่าว ๆ แล้ว
เป็นเรื่องที่เล่าได้อย่างสุขุมและสะท้อนสัจธรรมของชีวิตได้ดี ที่ว่าเราทุกคนย่อมต้องตาย และสุดท้ายก็อาจจะเหลือเพียงบางสิ่งบางอย่างไว้ให้ดูต่างหน้าเท่านั้น ขนาดยักษ์ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตใหญ่โต ทุกคนตื่นเต้นเมื่อพบเค้าครั้งแรก นานวันไปก็แทบไม่มีใครจำเขาได้แล้ว แก่นของเรื่องนี้ค่อนข้างดาร์กและขมนะ แต่การเล่าเรื่องไม่ได้ทำให้รู้สึกว่าเศร้า กลับค่อนไปทางอบอุ่นมากกว่า
สรุป
โดยส่วนตัวรู้สึกชอบภาคแรกมากกว่าภาคนี้ อาจจะเพราะภาคแรกมีจำนวนตอนที่เยอะกว่า และแต่ละตอนก็ค่อนข้างมีสไตล์โดดเด่นชัดเจน เล่าเรื่องได้ยูนีคต่างกันไป ภาคนี้ด้วยจำนวนตอนที่น้อยกว่า ประเด็นและการนำเสนอในแต่ละเรื่องไม่ได้แปลกใหม่มากนัก เลยไม่รู้สึกว่ามันสดใหม่เท่าภาคแรก
แต่ถึงอย่างนั้นซีรีส์ก็ยังทำออกมาได้ดี มีธีมหลักที่หลาย ๆ ตอนสะท้อนถึงความเปราะบางของมนุษย์ และความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นจากระบบอัตโนมัติอย่างหุ่นยนต์
สะท้อนว่าหลายสิ่งที่ดูสมบูรณ์แบบ อาจจะไม่ได้มีแค่ด้านดีเสมอไป
Leave a Reply