รีวิว The Irishman (2019): สามชั่วโมงกว่าพาสำรวจแวดวงมาเฟียในอเมริกา

The Irishman กับความยาวเกือบสามชั่วโมงครึ่ง! เห็นตัวเลขความยาวของหนังครั้งแรกเราก็หวั่นๆ แล้ว โดยส่วนตัวก็ไม่ค่อยได้ดูหนังยาวๆ ตอนแรกก็เลยไม่แน่ใจว่าควรจะดูดีไหม บวกกับแนวหนังมาเฟียที่ไม่ค่อยได้ดูเท่าไร กลัวดูไม่รู้เรื่อง

แต่สุดท้ายเห็นรีวิวจากหลายๆ แหล่งแล้วก็อดใจไม่ไหว ทำใจไว้แล้วแหละว่าอาจจะมีตามไม่ทันบ้าง อึนบ้าง แต่ก็ลองจนได้

The Irishman โดยปู่ Martin Scorsese เรื่องนี้ เป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากหนังสือชีวประวัติชื่อเรื่อง I Heard You Paint Houses ซึ่งก็เล่าเรื่องของแฟรงก์ เชียแรน (Robert De Niro) พระเอกของเรื่องนี่แหละ เขามีเชื้อสายไอริช โดยก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นทหารรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วก็ผันตัวมาเป็นคนขับรถส่งเนื้อไปตามร้านอาหาร ไปๆ มาๆ ได้รู้จักกับรัสเซลส์ บูฟาลิโน (Joe Pesci) ผู้มีอำนาจในท้องถิ่น เป็นเจ้าของกิจการไปทั่ว และนั่นก็ทำให้แฟรงก์เริ่มรับจ้างเป็นมือปืนแลกกับค่าตอบแทน จนในที่สุดรัสเซลส์ก็แนะนำแฟรงก์ให้รู้จักกับจิมมี่ ฮอฟฟา (Al Pacino) ผู้นำสหภาพแรงงานที่กำลังต้องการผู้ติดตาม งานนี้แฟรงก์จึงค่อยๆ ไต่ระดับไปเรื่อยๆ ได้รู้เห็นเรื่องราวในวงการมาเฟียและสหภาพแรงงานที่เต็มไปด้วยการใช้เงิน อำนาจ เล่ห์เหลี่ยม และความตาย โดยไม่อาจรู้ได้เลยว่า ใครจะกลายเป็นมิตรและใครจะกลายเป็นศัตรู

01.jpg

ก่อนอื่นเลย ถ้าใครคิดว่านี่จะเป็นหนังมาเฟียบู๊ๆ ยิงกันเปรี้ยงปร้าง ขอบอกว่ามันไม่ใช่เลย ยิงกันน่ะมีแน่ แต่ไม่ได้หวือหวาโฉ่งฉ่าง และไม่ได้เน้นฉากบู๊ด้วย การยิงกันของหนังเรื่องนี้เหมือนตีหัวเข้าบ้าน นึกจะยิงก็ยิงเลย ไม่มีการให้สัญญาณเตือนใดๆ ทั้งสิ้น ยิงแต่ละทีก็เลือดสาดกระจายเต็มฝาบ้าน ฉะนั้นใครที่ไม่ชอบฉากโหดๆ ก็อาจจะต้องระวังกันหน่อย ส่วนความบู๊เตะต่อยนั้นแทบไม่มี ส่วนใหญ่แล้วตัวละครจะบู๊กันผ่านวาจามากกว่า บทสนทนามีความเฉียบ เฉือนคม ฟาดฟันกันแบบไม่มีใครยอมใคร และบางทีก็มีการกัดจิกตลกร้ายด้วย

การดำเนินเรื่องของหนังนั้นค่อนข้างเป็นไปแบบสมจริง เรียลๆ ไม่ปรุงแต่งมาก โดยรวมเลยดูเรียบเรื่อยๆ ไม่มีอะไรหวือหวาเท่าไร ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานบวกกับความเนิบๆ ทำให้บางช่วงบางตอนอาจจะมีเบื่อๆ บ้าง แต่โดยรวมแล้ว เราว่าหนังดำเนินเรื่องได้น่าติดตามกว่าที่คาด คือสามชั่วโมงกว่านี้มีเรื่องเล่ามาได้เรื่อยๆ แม้จะไม่ได้ฉูดฉาด แต่การนำเสนอนั้นมีความที่ทำให้อยากรู้ว่าจะเป็นยังไงต่อ มันเลยเป็นการเชื่อมโยงของเหตุการณ์นึงไปยังเหตุการณ์นึงที่ล้วนแล้วแต่สำคัญกับเนื้อหา

หนังเล่าเรื่องโดยมีเส้นเรื่อง 3 เรื่อง จุดแรกคือแฟรงก์ในปัจจุบันที่แก่แล้ว อยู่ในบ้านพักคนชรา นั่งเล่าเรื่องทุกอย่างให้เราฟัง จุดที่สองคือช่วงที่แฟรงก์ รัสเซลส์ และภรรยาของพวกเขาออกเดินทางไปงานแต่งงานของญาติรัสเซลส์ จุดที่สามคือเล่าตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของแฟรงก์ สมัยยังเป็นคนขับรถบรรทุกอยู่ ตอนแรกที่ดูเราก็งงๆ นิดนึงว่าอันไหนเกิดก่อนเกิดหลัง โดยเฉพาะหนึ่งกับสองที่ช่วงแรกๆ บริบทยังมีความคล้ายคลึงกัน แต่พอดูไปเรื่อยๆ ก็เริ่มแยกทามไลน์ออก (ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณริ้วรอยของนักแสดงด้วย ฮา) ในที่สุดแล้ว จุดที่สามกับสองจะมาบรรจบกัน และกลายเป็นจุดเดียวกัน

เมื่อกี้พูดถึงริ้วรอย ขอเสริมเพิ่มอีกหน่อย ทึ่งมากกับการใช้เทคโนโลยี de-aging ทำให้ลุคของนักแสดงรุ่นคุณปู่นั้นดูเด็กลงได้แบบเนียนๆ ไม่ต้องหาตัวแสดงแทนเลย เห็นว่าการใช้เทคโนโลยีนี้ ตอนถ่ายทำต้องถ่ายถึง 3 กล้อง และดันงบให้พุ่งกระฉูดขึ้นไปอีก ทุ่มกันสุดๆ

05.jpg

ตัวละครแต่ละตัวก็มีคาแรคเตอร์โดดเด่นและความน่าสนใจในตัวเอง คนแรกเลยก็คือแฟรงก์ เชียแรน ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นคนไม่มีพิษภัย แต่กลับกลายเป็นว่าเขาอยู่เบื้องหลังศพหลายราย สามารถฆ่าคนได้อย่างไม่รู้สึกอะไร ช่วงแรกๆ เรายังรู้สึกว่าเขาเลือดร้อนอยู่ เช่น ตอนที่ลูกสาวบอกว่าโดนพนักงานขายผลัก เขาก็มุ่งตรงไปที่ร้านแล้วซ้อมพนักงานซะมือเละ แต่พอพักหลังๆ ที่แฟรงก์โดนประกบด้วยจิมมี่และรัสเซลส์ เรารู้สึกเลยว่าแฟรงก์ดูนิ่งขึ้น ไม่โฉ่งฉ่างเหมือนแต่ก่อนแล้ว ตัวเขาเองก็แทบจะไม่ได้มีความโดดเด่นสลักสำคัญในวงการ เป็นเพียงตัวกลางระหว่างจิมมี่และรัสเซลส์

อีกตัวละครที่คาแรคเตอร์ชัดในสายตาเราคือจิมมี่ เป็นคนที่เรียกเสียงฮาในหลายๆ ฉากได้อย่างไม่ตั้งใจ ทั้งความตรงต่อเวลาเป๊ะๆ ของเขา ห้ามสายเกิน 10 นาที ไม่เช่นนั้นจะถือว่าอีกฝ่ายกำลังหยาม หรือตอนที่จิมมี่พยายามยื้อสหภาพไว้เป็นของตัวเอง ก็จะมีความเป็นเด็กดื้อมาก จะเอาอย่างนั้นจะเอาอย่างนี้ ต้องได้อยู่คนเดียว ไม่ให้คนอื่น การตะเกียกตะกายให้ได้มาซึ่งอำนาจนั้นฉายชัดอยู่ในอากัปกิริยาของจิมมี่ ที่อีโก้สูงจัดไม่ฟังแม้แต่คนรอบตัว จนสุดท้ายแฟรงก์ต้องกำจัดจิมมี่เพื่อที่เขาและคนอื่นๆ จะไม่ถูกเสี่ยงจิมมี่แฉเรื่องดำมืดในวงการ

02.jpg

นอกจากสองคนนี้แล้วก็มีตัวละครหลักคนอื่นๆ อีกอย่างรัสเซลส์ ที่คงมาดสุขุมนุ่มลึกไว้ได้ตลอดแม้ว่าจะมีอำนาจมากๆ ก็ตาม ทำให้ดูเป็นคนที่น่าเคารพยำเกรง สำหรับตัวละครประกอบอื่นๆ นั้น หนังมีการนำเสนอที่แหวกแนวมากคือ บอกแค่ชื่อ และสาเหตุการตาย แค่นั้นเลย ตอกย้ำให้เห็นว่าวงการนี้มันดาร์กจริงๆ

หนังเล่าประเด็นความเชื่อมโยงดำมืดระหว่างมาเฟีย สหภาพ และการเมือง ทุกอย่างโยงใยกันไปหมด สหภาพมีกองทุนเกษียณจำนวนเงินแปดพันล้านดอลล่าร์ ซึ่งเงินตรงนี้ก็ถูกปล่อยกู้ให้มาเฟียไปทำธุรกิจดำมืด แม้แต่การเมืองก็มีเงินเหล่านี้มาช่วยสนับสนุน ทำให้รู้สึกเลยว่าช่วงนั้นนี้อเมริกาดาร์กจริงๆ ยังไม่นับการที่จู่ๆ เดินบนถนนหรือกินข้าวในร้านก็มีคนบุกมายิงปืนกันโต้งๆ ด้วย ความปลอดภัยแทบจะไม่มี

อีกประเด็นที่หนังเสริมเข้ามาคือความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัว ผ่านความสัมพันธ์ของแฟรงก์กับลูกสาวทั้ง 3 คน ตอนลูกเด็กๆ แฟรงก์ก็ไม่ค่อยอยู่ดูแลเท่าไร ตัวลูกๆ ก็ไม่กล้าไปพูดคุยปรึกษา โตมาก็ยิ่งห่างเหินกัน ครั้นจะให้ไปต่อติดตอนที่ลูกๆ มีการมีงาน แล้วพ่อก็แก่ตัวลงไปทุกที ก็ยากเกินไปเสียแล้ว

10.jpg

สุดท้าย หลังผ่านมรสุมชีวิต พบมิตรและศัตรูมากมาย ที่ล้วนแล้วแต่จากหายไปตามกาลเวลา แฟรงก์ก็เหลืออยู่ตัวคนเดียวอย่างโดดเดี่ยว ฉากสุดท้ายของหนังเป็นอะไรที่เหงาจับขั้วสุดๆ

แสดงให้เห็นเลยว่า แม้จะเคยเป็นคนใหญ่คนโตขนาดไหน สุดท้ายแล้วทุกคนก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่สังขารร่วงโรยไปตามกาลเวลา ใครที่เคยคิดว่าอำนาจอู้ฟู่ ก็โดนฆ่า ไม่ก็ตายเพราะเป็นโรค หรือชราเสียเอง ไม่ว่าจะเป็นใครก็หนีความตายไม่พ้น

เมื่อดูจบ ก็รู้สึกเลยนะว่า เออ หนังมันไม่ได้รู้สึกยาวขนาดนั้น อาจจะเพราะมีหลายช่วงที่เราเพลินไปกับมัน ลุ้นไปกับตัวละคร แต่ถามว่าหนังยาวไปไหม มันก็ยาวไปจริงๆ ละในความรู้สึกเรา 555 ยิ่งเป็นหนังที่อยู่ใน Netflix ด้วยแล้ว มันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะกด pause ไปทำอย่างอื่น แล้วก็เนียนๆ ตีจากไปเลย แต่ถ้าเป็นหนังโรงที่ต้องโฟกัสอยู่ตลอด ก็น่าจะได้ฟีลไปอีกแบบ

The Irishman โดยรวมแล้วถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่สำหรับคนไม่ค่อยดูหนังสไตล์นี้อย่างเรา ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด แต่ก็ไม่ได้สนุกหัวใจเต้นแรง สิ่งที่ได้จากหนังคือความเรียลที่เคยเกิดขึ้นจริง ให้เราซึมซับมันอย่างเต็มที่ ถ้ายอมรับได้แบบนี้ ก็น่าจะดูหนังได้อย่างเพลิดเพลินระดับหนึ่ง

ป.ล. 1 ควรเตรียมพร้อมร่างกายมาระดับหนึ่ง เพราะดู 3 ชั่วโมงรวดอาจมีล้าได้

ป.ล. 2 ใครกลัวดูไม่รู้เรื่อง ลองหารีวิวหนังมาอ่านก่อนก็ได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าทนสปอยล์ได้แค่ไหนนะ

One thought on “รีวิว The Irishman (2019): สามชั่วโมงกว่าพาสำรวจแวดวงมาเฟียในอเมริกา

Add yours

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Blog at WordPress.com.

Up ↑

%d bloggers like this: