ตั้งแต่เห็นตัวอย่าง Doctor Sleep ครั้งแรกก็ติดตามาตลอด ด้วยความที่เราไม่เคยดู The Shining มาก่อนด้วย และตัวอย่างก็นำซีนจาก The Shining มาเล่นเยอะอยู่เหมือนกัน ทำให้เราอยากดูเรื่องนี้มาก และเมื่อมีโอกาสก็เลยไปหา The Shining มาดูก่อนไปดู Doctor Sleep หนึ่งวัน รู้สึกว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีมากเพราะได้อารมณ์ต่อเนื่องกันสุดๆ
มีสปอยล์
ด้วยความที่ไม่เคยอ่านนิยายของทั้ง 2 เรื่องนี้ของ Stephen King เลยจะขอรีวิวแค่ในส่วนของภาพยนตร์ละกันเนอะ
มาว่ากันที่ The Shining ก่อน เรื่องนี้ออกฉายตั้งแต่ปี 1980 กำกับโดย Stanley Kubrick
หนังเรื่องนี้จริงๆ มีความยาวประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง แต่เวอร์ชั่นที่เราได้ดูนั้นคือ 2 ชั่วโมงที่ฉายใน Netflix เห็นว่าเป็นเวอร์ชั่นที่ผู้กำกับตัดอีกที เสียดายเหมือนกันหายไปตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง
The Shining เล่าเรื่องของครอบครัวพ่อแม่ลูก แจ็ค (Jack Nicholson) ผู้เป็นพ่อนั้นได้งานเป็นผู้ดูแลโรงแรม Overlook ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาอันห่างไกลในรัฐโคโลราโด เดินทางยากลำบากในช่วงหน้าหนาว โรงแรมจึงปิดให้บริการในช่วงนั้น แล้วจ้างแจ็คมาช่วยดูแลความเรียบร้อย แจ็คพาเวนดี้ (Shelley Duvall) ผู้เป็นภรรยา และแดนนี่ (Danny Lloyd) ลูกชายมาพักกับเขาด้วย
แดนนี่ ผู้เป็นลูกชายนั้นมีสัมผัสพิเศษ หรือที่เรียกว่า Shine เขาสามารถมองเห็นอดีตและอนาคตได้ และมี “โทนี่” ซึ่งเปรียบเสมือนเพื่อนในจินตนาการที่คอยบอกนู่นบอกนี่กับเขา ตัวแดนนี่นั้นสามารถมองเห็นอดีตที่เลวร้ายของโรงแรมนี้ ว่าเคยมีฉากฆาตกรรมเกิดขึ้น และสามารถเห็นได้ว่าพวกเขากำลังจะเจออะไร
แจ็ค เวนดี้ และแดนนี่ ทั้ง 3 คนอยู่กันเพียงลำพังในโรงแรมอันกว้างขวาง แจ็คพยายามใช้ประโยชน์จากความเงียบนี้ จริงจังกับการเขียนหนังสือ แต่เขียนเท่าไรก็เขียนไม่บอก ตันไอเดีย และดูเหมือนว่ายิ่งอยู่ไปนานๆ พลังอำนาจเหนือธรรมชาติและความกดดันต่างๆ ก็ยิ่งทำให้แจ็คเกิดอาการคลุ้มคลั่ง สุดท้ายก็สติแตกไล่ฆ่าภรรยากับลูกชาย ซึ่งโชคดีที่พวกเขาหนีรอดมาได้ และแจ็คก็ตายท่ามกลางอากาศหนาว
The Shining ถือเป็นหนังสยองขวัญขึ้นหิ้ง ซึ่งพอเราได้ดูแล้วก็ชอบนะ ทั้งมุมกล้องที่ดิบๆ ไม่มีการปรุงแต่งมาก ฉากผีโผล่และฉากในโรงแรมที่ดูเซอร์เรียลแบบหลอนๆ ติดตาไปนาน (เช่น ผีเด็กแฝด ผีอ่างอาบน้ำ ลิฟต์เลือดท่วม ฉาก Redrum) ซาวด์เอ็ฟเฟ็กต์ที่บิ้วด์อารมณ์สยองขวัญได้ดี บรรยากาศโคตรหนาวของทิวทัศน์ การแสดงของนักแสดงก็จัดเต็มมากโดยเฉพาะ Jack Nicholson ที่เล่นบทคนบ้าได้น่ากลัวจริง
หนังมีความคลุมเครือในหลายๆ จุด ทำให้เราไม่สามารถสรุปได้แบบฟันธงว่าคำตอบคืออะไร ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลเบื้องหลังความคลุ้มคลั่งของแจ็ค ที่ดูเหมือนว่าจะผสมผสานกันระหว่างปมของเขาเอง กับสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติในโรงแรมที่เข้ามาเล่นงานเขาในสภาพจิตใจที่อ่อนแอที่สุด หรือจะเป็นฉากตอนสุดท้ายที่เราเห็นแจ็คอยู่ในภาพงานเลี้ยงของโรงแรม ที่ถ่ายเมื่อปี 1921 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนหน้านี้หลายสิบปี แจ็คไม่มีทางจะไปโผล่ในช่วงเวลานั้นได้เลย ในจุดนี้ก็มีการถกเถียงกันมากมาย บ้างก็ว่านั่นคือแจ็คชาติก่อน บ้างก็ว่าแจ็คตายแล้วมาโผล่ในรูปภาพนี้ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนที่ตายแล้ว
ไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงจะเป็นอย่างไร ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเพียงข้อสงสัยที่ไม่ได้ส่งผลกระทบกับโครงเรื่องหลักมากนัก ที่แน่ๆ คือไม่ได้มีความเชื่อมโยงอะไรกับ Doctor Sleep เลย สิ่งที่เชื่อมโยงเห็นจะเป็นสัมผัสพิเศษซะมากกว่า ซึ่งภาคแรกแม้ว่าจะชื่อ The Shining แบบตรงๆ แต่หนังก็ไม่ได้เจาะประเด็นเรื่องนี้มาก เรารู้แค่ว่าแดนนี่มีสัมผัสพิเศษ ซึ่งมีประโยชน์ในการเตือนภัยล่วงหน้า รวมถึงรู้ว่ามีคนอื่นๆ อีกที่เป็นแบบนี้ เช่น หัวหน้าเชฟ (Scatman Crothers) ที่โรงแรม นอกเหนือไปจากนี้เราก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสัมผัสพิเศษนี้แล้ว ดูเหมือนภาคแรกจะเน้นความ Psychological Horror ที่เน้นประเด็นไปที่ความว้าวุ่นของแจ็คซะเป็นส่วนใหญ่
ย้ายมาฝั่ง Doctor Sleep ซึ่งกำกับโดย Mike Flanagan เรียกได้ว่าแทบจะพลิกแนวไปเลย ไม่มีแล้วความเป็น Psychological Horror ภาคนี้กลับกลายเป็น Fantasy Horror มากกว่า ออกจะเน้นไปทาง Fantasy ด้วยซ้ำ เพราะมีการโฟกัสไปที่กลุ่มคนมีสัมผัสพิเศษมากขึ้น ดูๆ ไปแล้วก็เหมือน X-Men สู้กันมากกว่าคนสู้กับผี ดังนั้นใครที่คาดหวังความหลอนๆ จาก Doctor Sleep อาจจะผิดหวังกันไปบ้าง แต่ก็จะได้รสชาติอื่นมาแทน
เรื่องราวใน Doctor Sleep คือเหตุการณ์ที่ห่างจากภาคแรกเกือบ 40 ปี แดนนี่ (Ewan McGregor) โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และเขาก็พยายามลืมเรื่องราวร้ายๆ ที่เกิดขึ้นสมัยยังเด็ก ตัวเขานั้นยังคงมีสัมผัสพิเศษ ในภาคนี้เขาได้รู้จักกับเด็กสาวคนหนึ่งที่มีพลังเหมือนกัน ชื่อว่าเอบรา (Kyliegh Curran) ซึ่งเธอคนนี้มีพลังแรงกล้ามาก และกำลังตกเป็นเป้าหมายของแก๊งทรูน็อต กลุ่มลัทธิอันประกอบไปด้วยผู้ที่ shine เหมือนกัน แต่ใช้ไปในทางที่ผิด พวกนี้ตามไล่ฆ่าเด็กที่มีพลังพิเศษ เพราะพลังของพวกเขายังไม่บริสุทธิ์ไม่มีสิ่งสกปรกเจือปน สามารถใช้เป็นพลังต่อชีวิตให้อมตะไปนานๆ ได้
สำหรับ Doctor Sleep นั้น ถ้าใครไม่เคยดู The Shining มาก่อน ก็อาจจะมีงงๆ หลุดๆ บ้าง เพราะมีหลายฉากเหมือนกันที่อ้างอิงมาจาก The Shining ชนิดที่ว่าใครดูภาคแรกมาก่อนก็จะร้องอ้อกันแบบตามธรรมชาติ ดังนั้นแนะนำว่าถ้ามีเวลาก็ควรไปดู The Shining มาก่อนเพื่ออรรถรสที่ดียิ่งขึ้น
Doctor Sleep นั้นมีความยาว 2 ชั่วโมงกว่าๆ การดำเนินเรื่องในช่วงแรกๆ ถึงกลางๆ นั้นค่อนข้างเรียบเรื่อยชวนให้ง่วงพอสมควร เป็นการปูพื้นฐานตัวละครให้เรารู้ที่มาที่ไปซะมากกว่า ได้รสชาติที่แตกต่างออกไปจากภาคแรกอย่างเห็นได้ชัด หนังเริ่มจะเข้มข้นขึ้นในช่วงท้ายๆ โดยเฉพาะช่วงที่เข้าไปในโรงแรม Overlook อีกครั้ง ใครเป็นแฟนหนัง The Shining น่าจะชอบช่วงท้ายๆ ที่สุด เพราะบรรยากาศดั้งเดิมมาเต็ม ทำให้รู้สึกเหมือนกลับไปเยือนบ้านที่คุ้นเคยอีกครั้ง
จุดหนึ่งที่ชื่นชมคือ Doctor Sleep มีการอ้างอิง The Shining ที่ใกล้เคียงจริงๆ เห็นได้จากการแคสตัวละครที่มีความคล้ายคลึงกับภาคก่อนมาก ส่วนฉากในโรงแรมก็ทำออกมาได้เหมือนภาคก่อน
ทางฝั่งตัวละคร เราชอบน้องเอดรา เด็กสาวที่มีพลังแข็งแกร่ง เธอรู้ตัวตั้งแต่เด็กว่ามีพลังพิเศษ และเธอก็ไม่คิดปิดบังมัน อีกอย่างคือเธอดูกล้าเกินวัยดี เป็นคู่หูที่เข้าขากันได้ดีกับแดนนี่วัยคุณอา อีกตัวละครหนึ่งที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือโรส (Rebecca Ferguson) หัวหน้าแก๊งทรูน็อต ที่แค่รูปลักษณ์การแต่งตัวก็เป็นเอกลักษณ์แล้ว ยังไม่นับรวมถึงคำเอ่ยทักทาย “Hi there” และบุคลิกท่าทางสง่างามแบบเท่ๆ นั่นอีก
ถ้าถามว่าเราชอบภาคไหนมากกว่ากัน สำหรับเราคงเป็น The Shining เพราะเราชอบหนังแนว psychological horror มากกว่า ชอบการเล่าเรื่องแบบดิบๆ แฝงความกดดันแบบภาคแรกมากกว่า มีความไม่ชอบมาพากลมากกว่า ในขณะที่ภาคสองจะมีความแฟนตาซี supenatural เจือปนเข้าไป และมีการดำเนินเรื่องที่เรื่อยๆ กว่า
อย่างไรก็ดี เราก็ยังมองว่าการได้ดู The Shining ต่อด้วย Doctor Sleep เป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบดี แม้จะเป็นส่วนผสมของหนังที่ดูเหมือนไม่ค่อยจะเข้ากันได้เท่าไร แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นการเล่าเรื่องแบบคนละมุมละกัน เมื่อมองภาพรวมแล้ว มันก็พอตอบคำถามหลายๆ อย่างได้ ได้เห็นที่มาที่ไปของตัวละครมากขึ้น เห็นความ shine แบบภาพกว้างมากขึ้น และคิดว่าถ้าเป็นไปได้ก็จะหาเวอร์ชั่นนิยายของ 2 ภาคนี้มาอ่านให้อินยิ่งขึ้นเช่นกัน
Leave a Reply