รีวิว Stranger Things 3 (2019): รับมือกับสัตว์ประหลาดแล้วยังต้องรับมือกับฮอร์โมนวัยว้าวุ่น

*มีสปอยล์เนื้อหาหลัก*

Stranger Things 3 อีกหนึ่งซีรีส์ที่ชาวโลกรอติดตามอย่างใกล้ชิด เราเองก็รอคอยเช่นกัน นานๆ ทีจะได้ดูซีรีส์ตามกระแสชาวบ้านเค้าบ้าง ปกติดูแต่อะไรที่คุยกับใครก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ก็ดูช้ากว่าชาวบ้านตลอด

Stranger Things เป็นซีรีส์ Netflix สัญชาติอเมริกัน แนวทริลเลอร์ไซไฟสยองขวัญ (เยอะไปไหน) ปล่อยให้สตรีมเมื่อวันที่ 4 ก.ค. 2019 ที่ผ่านมา วันอะไรรู้ไหม? วันชาติอเมริกานั่นเอง! ซึ่งก็ไปพ้องกับช่วงเวลาในเนื้อหาหนังพอดี คือช่วงฤดูร้อนปี 1984-85

(แต่เมื่อดูหนังไปสักพัก จะเริ่มสงสัยว่าการปล่อยซีรีส์ในวันชาติอเมริกานี่มีนัยยะอื่นแอบแฝงไหม เมื่อเจอว่าในซีรีส์มีชาวรัสเซียเป็นผู้ร้าย อืม…)

เรื่องราวของซีซั่น 3 เริ่มขึ้นในเมือง Hawkins เมืองสมมติในรัฐอินเดียน่า ถิ่นเดิมตลอดมา แต่สิ่งที่แปลกไปคือการปรากฏตัวของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่นามว่า Starcourt ซึ่งมันก็ทำให้หลายๆ ธุรกิจเล็กๆ ในเมืองประสบปัญหากันไป ผู้คนก็ออกมาชุมนุมต่อต้าน ในขณะเดียวกัน ทางฝั่งตัวละคร ไมค์ (Finn Wolfhard) กับแอล (Millie Bobby Brown) ก็เริ่มคบเป็นแฟนกัน กุ๊กกิ๊กจู๋จี๋กัน ชวนให้จิม ฮอปเปอร์ (David Harbour) ตำรวจหนุ่มใหญ่ ผู้เป็นพ่อบุญธรรมของแอล เริ่มนอยด์เป็นพิเศษ อยากให้ทั้งคู่เว้นระยะห่างกันบ้าง เรื่องประหลาดเริ่มขึ้นเมื่อจู่ๆ เกิดเหตุการณ์น่าสงสัย เช่น แม่เหล็กติดตู้เย็นร่วงราวกับไม่มีแรงดึงดูด, สัตว์จำพวกหนูออกอาการดุร้ายเหมือนหนูบ้า, ผู้คนรอบตัวแสดงท่าทางรุนแรงแปลกๆ ไป นี่ยังไม่รวมว่าวิล ผู้มีสกิลพิเศษในการสัมผัสสิ่งชั่วร้าย ได้บอกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ในโลกมนุษย์ แม้ว่าภาคที่แล้ว แอลจะปิดประตูเชื่อมสู่โลก Upside Down ไปแล้วก็ตาม พวกเขาจึงต้องช่วยกันสืบค้นหาต้นตอของอันตรายครั้งนี้และตามแก้ไขมันให้ได้

06

จากเด็กกลายเป็นวัยรุ่น

สำหรับ ซีซั่น 3 นี้ ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดคือเหล่านักแสดงเด็กๆ นั้นโตขึ้นมากแล้ว โดยเฉพาะเด็กผู้ชายที่ตัวยืดเสียงแตกกันจนจำเค้าเสียงเดิมไม่ได้ คงเพราะแบบนี้พล็อตเรื่องเลยเริ่มสอดแทรกความเป็น coming-of-age หรือช่วงเปลี่ยนผ่านวัยเข้ามา เช่น เรื่องความรักและมิตรภาพ

สิ่งดังกล่าวถือได้ว่าเป็นรสชาติใหม่ๆ ของซีรีส์เรื่องนี้ เพราะก่อนหน้านี้แม้จะมีโมเม้นต์หวานๆ ของแอลกับไมค์อยู่บ้าง แต่ก็น้อยมาก และเป็นเหมือนการปูทางมาภาค 3 มากกว่า แต่ก็ไม่นึกเหมือนกันว่าเปิดตัวภาค 3 มาทั้งคู่จะจูบดูดดื่มและใกล้ชิดกันไวขนาดนั้น…

18

ไมค์กับแอลคือตัวแทนของเด็กวัยรุ่นที่ฮอร์โมนเริ่มพุ่งพล่าน เอะอะเดี๋ยวกอดเดี๋ยวจูบ เล่นเอาเซอร์ไพรส์ไปหลายยกเพราะไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ (พวกเธออย่าเพิ่งโตได้ไหม) ช่วงแรกๆ พล็อตก็มีความกุ๊กกิ๊กพ่อแง่แม่งอน เป็นอะไรที่แปลกตามากสำหรับซีรีส์ เพราะมันไม่เคยมีองค์ประกอบแบบนี้มาก่อน ดูไปแล้วก็ขำๆ ดีแหละ แต่บางคนอาจจะรำคาญในความไร้เหตุผลของตัวละครบ้าง และเพราะมันกินเวลาจากพล็อตหลักไปพอสมควร

ถึงอย่างนั้น เราก็รู้สึกว่าประเด็นนี้คุ้มค่าที่จะเล่น เราจะได้เห็นความ “ลูกสาวข้า ใครอย่าแตะ” ของนายตำรวจฮอปเปอร์ เราจะได้เห็นแอลใช้พลังพิเศษเพื่อสอดแนมไมค์ล้วนๆ เราจะได้เห็นแอลและไมค์ระหองระแหงกันเพราะไมค์โกหก และเราจะได้เห็นชีวิตของไมค์และแอลในฐานะวัยรุ่นวุ่นรักคู่หนึ่ง ที่พยายามปรับตัวเข้าหากัน พยายามคืนดีกันแบบเกร็งๆ และพยายามเข้าใจซึ่งกันและกัน

23

05

แอลกับแม็กซ์ (Sadie Sink) กลายมาเป็นเพื่อนสาวของกันและกัน แม็กซ์คอยให้คำปรึกษากับแอล มีความเป็น Girls’ Talk มากขึ้น เราชอบตอนที่แอลกับแม็กซ์ละทิ้งเรื่องความรัก หนีไปช้อปปิ้งกันที่ห้าง Starcourt แล้วแม็กซ์ก็พาแอลไปลองเสื้อผ้านู่นนี่ เป็นครั้งแรกที่แอลรู้สึกว่ากำลังจะได้เลือกตัวตนของตัวเอง มีชีวิตเป็นของตัวเอง เป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่แฮปปี้กับการช้อปปิ้ง ไม่ใช่แค่ตามไล่ฆ่าสัตว์ประหลาด

28

09

นอกจากความสัมพันธ์ที่พัฒนาขึ้นจนเตรียมใจไม่ทันของไมค์และแอล ก็ยังมีความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มเพื่อนเด็กผู้ชายที่โดนกระทบไปด้วย เราจะได้เห็นว่า 4 หน่อเหลือ 3 หน่อแล้ว นั่นคือไมค์ ลูคัส (Caleb McLaughlin) และวิล (Noah Schnapp) เพราะดัสติน (Gaten Matarazzo) แยกไปสุงสิงกับสตีฟ (Joe Keery) เพื่อนรุ่นพี่แทน

02

ส่วนสามหนุ่มที่เหลือก็ระหองระแหงกันบ้างเพราะวิล หนุ่มน้อยที่สุดในกลุ่ม ยังโตไม่ทันเพื่อนๆ ยังอยากเล่น Dungeons & Dragons อยู่ ก็ไม่มีใครเล่นด้วย เพราะไมค์กับลูคัสก็เริ่มไปสนใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ด้วยเหตุนี้เราจึงจะได้เห็นฉากระเบิดอารมณ์ของวิล เป็นอีกฉากไฮไลต์ฉากหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นความเจ็บปวดของการเปลี่ยนผ่านช่วงอายุ ตอนทำลายปราสาท Byers นี่โคตรสะเทือนจิตเลย

17

สัตว์ประหลาดยังไม่หายไปไหนแม้ประตูจะปิดไปแล้ว (?)

ขึ้นชื่อว่า Stranger Things ย่อมหนีไม่พ้นสัตว์ประหลาด แน่นอนว่าต้องออกโรงไม่ให้เสียชื่อ โดยคราวนี้เป็น Mind Flayer ที่หลุดออกมาในโลกมนุษย์ เข้าสิงคนนู้นคนนี้ โดยรวมแล้วพล็อตด้านสัตว์ประหลาดยังไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เท่าไร เริ่มเรื่องด้วยเหตุการณ์ประหลาดชวนผิดสงสัยก่อน จากนั้นค่อยเจอคำตอบว่ายังมีสัตว์ประหลาดอยู่ในโลกนี้ แล้วก็ต้องพยายามหาทางตามทำลายมัน

16

ต้นตอของสัตว์ประหลาดรอบนี้ ก็ถูกเฉลยตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วละ เมื่อกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชาวรัสเซียทำการทดลองเพื่อพยายามเปิดประตูมิติ ซึ่งตัวละครต่างก็นึกว่าถูกปิดไปแล้ว สัตว์ประหลาดรอบนี้มาในรูปแบบเมือกสีเลือดๆ ที่สามารถแยกร่างหรือรวมร่างกันก็ได้ สามารถเข้าไปสิงในคนหรือสัตว์ก็ได้ เวลาคนหรือสัตว์ตาย ก็จะกลายเป็นเมือกๆ อีกครั้งหนึ่ง ความแหวะให้เต็มสิบ

การปะทะกันระหว่างเดอะแก๊งกับสัตว์ประหลาด ส่วนใหญ่ก็ใช้มุกเดิมนั่นก็คือแอล เด็กสาวผู้มีพลังวิเศษเพียงหนึ่งเดียว แต่ดูเหมือนรอบนี้คนเดียวไม่พอจริงๆ เพราะสัตว์ประหลาดดุมาก เราจึงจะได้เห็นสมาชิกร่วมทีมคนอื่นๆ ช่วยแบกรักภาระของแอลไปบ้างแม้ว่าจะไม่ได้มีพลังวิเศษก็ตาม เป็นอะไรที่ชื่นใจดี โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่แอลตกที่นั่งลำบาก แล้วทุกคนก็ช่วยกันโยนพลุไฟใส่สัตว์ประหลาด ร่วมมือร่วมใจกันดีมาก

27

เส้นเรื่องโคตรเยอะ แต่สนุกทุกเส้น

ภาคนี้ดำเนินเรื่องด้วยเหตุการณ์คู่ขนานจำนวนมาก กล่าวคือตัวละครแต่ละกลุ่มออกไปทำนู่นทำนี่ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันขนาดนั้นจนกระทั่งตอนสุดท้ายที่ทุกเส้นมาบรรจบกัน แต่ก่อนหน้านั้นก็คือหนังจะตัดสลับไปสลับมา เส้นเรื่องนึงไปเส้นเรื่องนึง โดยส่วนตัวเราชอบนะ เพราะมันทำให้ไม่เบื่อ แถมแต่ละเส้นก็มีเรื่องให้ลุ้นให้ดูเพลินตลอด บางคนอาจจะไม่ชอบเพราะงง ตามไม่ทัน หรือกำลังอินๆ เส้นนึงอยู่แต่โดนตัดฉับไรงี้ เราไม่อะไรกับจุดนี้เท่าไร โดยรวมคือการดำเนินเรื่องในแต่ละตอนทำได้เพลิดเพลินและสนุก ไม่มีช่วงไหนง่วง

เราสามารถแบ่งเส้นเรื่องหลักๆ ได้ตามนี้

1. ไมค์ ลูคัส วิล แอล แม็กซ์ – แก๊งเด็กฮอร์โมนพุ่งพล่าน

01

2. ดัสติน สตีฟ โรบิน (Maya Hawke) เอริก้า (Priah Ferguson) – แก๊งเด็กเนิร์ดร้านไอติม

21

3. จอยซ์ (Winona Ryder) ฮอปเปอร์ เมอร์เรย์ (Brett Gelman) – แก๊ง ส.ว. สายบู๊

24

4. โจนาธาน (Charlie Heaton) แนนซี่ (Natalia Dyer) – คู่รักวัยรุ่นฝึกงาน

25

โดยส่วนตัว เราแอบปลื้มเส้นเรื่องที่ 2 มากที่สุด เพราะรู้สึกว่ามันสดใหม่มาก เคมีของตัวละครก็เข้ากันได้ดีแบบไม่น่าเชื่อ กล่าวคือ มีทั้งเด็กวัยรุ่นและเด็กกำลังโต แต่ละคนก็มีความเนิร์ดต่างกันไป

03

04

พวกเขาใช้ความเนิร์ดได้อย่างเป็นประโยชน์ด้วยการไขรหัสสัญญาณภาษารัสเซีย อันโยงไปสู่ความลับในห้าง Starcourt ที่มีชาวรัสเซียครอบครองใช้ทำการทดลองเปิดประตูมิติอยู่ (โอ้โห ไปไกลมาก)

11

คือมันเป็นอะไรที่โคตรขัดแย้งในตัวมันเอง แบบขายไอติมอยู่ดีๆ เจือกอยากเป็นสายลับ ไขรหัสรัสเซียได้ก็สนุกละ เรื่องเลยยาว ดันไปเจออะไรที่ไม่ควรเจอ โดนซ้อมปางตาย กลายเป็นพล็อตสายลับมือสมัครเล่นที่โคตรเด๋อ

08

แต่เพราะแบบนี้แหละทำให้เส้นเรื่องนี้สนุก แค่ตัวละครกัดกันก็ฮาแล้ว คู่ดัสติน-เอริก้านี่มวยหลักเลย หนูเอริก้าเปิดปากพูดแต่ละทีสะดุ้งกันทั้งบาง สร้างสีสันให้ซีซั่นนี้มาก

12

ส่วนดัสตินนี่หลังจากกลับมาจากแคมป์วิชาการก็เหมือนจะอัประดับความเนิร์ดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นคือมีการสานสัมพันธ์กับซูซี่ (Gabriella Pizzolo) เด็กหญิง (เนิร์ดเหมือนกัน) ที่เจอกันในแคมป์ ซึ่งกว่าจะรู้ว่าดัสตินไม่ได้มโนขึ้นมาเองก็นู่น ตอนสุดท้าย

ฝั่งสตีฟกับโรบิน คู่นี้ก็เคมีเข้ากัน ดูเป็นแนวเพื่อนคู่กัดไรงี้ สตีฟก็ลดทอนความน่าหมั่นไส้จากภาคแรกๆ ลงมาก กลายเป็นหนุ่มกวนๆ สุดฮาคนหนึ่ง ส่วนโรบินเป็นสาวห้าวเท่ๆ ที่มีมุกตลกร้ายคอยกัดจิกสตีฟได้เรื่อยๆ เรียกได้ว่าพล็อตชวนให้จิ้นคู่นี้สุดๆ เราก็นึกว่าทั้งคู่น่าจะลงเอยกันแล้ว หลังจากสตีฟเลิกกับแนนซี่ แต่เรื่องก็แอบพลิกผันเมื่อโรบินเผยว่าตนเป็นเลสเบี้ยน ซึ่งสมัยนั้นเป็นอะไรที่แปลกมาก นับว่าซีรีส์ละเอียดมากที่หยิบประเด็นนี้มาเล่น โดยเฉพาะเมื่อแอร์ไทม์ของพาร์ทนี้มันน้อยมากๆ

22

ตัวละครผลัดกันแชร์ความเด่น

จากภาคก่อนๆ เราจะรู้สึกว่าแก๊ง 4 หนุ่มนี่โดดเด่น ถือเป็นตัวละครหลักของเรื่องนอกจากน้องแอล แต่มาภาคนี้ ถ้าไม่นับดัสติน สามหนุ่มที่เหลือก็ดูจืดจางลงมาก ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าภาคก่อนเท่าไร ไมค์และลูคัสก็ไปแนววัยว้าวุ่นซะมากกว่า ไม่ได้คลุกคลีกับพล็อตเรื่องหลักเท่าไร ที่ชัดๆ เลยก็คือวิล ภาคที่แล้วนี่แทบจะเป็นตัวหลักของเรื่อง โชว์สกิลการแสดงขั้นเทพมาก แต่มาภาคนี้น้องไม่มีบทบาทหรืออะไรชวนสะดุดตาเลยนอกจากนุ่งสั้นโชว์ขาขาวๆ อะแฮ่ม… อันที่จริงไปอ่านบทสัมภาษณ์โปรดิวเซอร์ Shawn Levy เขาก็บอกมาแล้วละว่าภาคนี้วิลจะมีบทบาทน้อยลง เราจะไม่เอาน้องวิลไปเผชิญนรกห่าเหวแบบภาคก่อนๆ อีกแล้ว… โอเคพี่แกทำได้จริง ภาคนี้น้องวิลมีหน้าที่ทำตัวเป็นเซ็นเซอร์ เตือนภัยเพื่อนๆ เวลาปีศาจบุก หนักหน่อยก็อาละวาดน้อยใจเพื่อน เท่านั้นเอง

19

น้องแอลยังคงความโดดเด่นไว้ในเรื่องได้ดีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ทรงผมใหม่และภาพลักษณ์ที่ดูสาวขึ้นก็ช่วยให้น้องดูเป็นผู้หญิงขึ้น ดูมีเสน่ห์ขึ้น ต่างจากสมัยผมเกรียนลิบลับ และยิ่งภาคนี้มีเส้นเรื่องโรมานซ์วัยว้าวุ่นเข้ามาด้วย ก็ยิ่งทำให้แอลแสดงด้านอื่นๆ ออกมามากขึ้น นอกจากแอลแล้วก็มีแม็กซ์ เพื่อนสาวของแอลที่ภาคนี้ก็ดูจะเฉิดฉายมากขึ้นเช่นกัน เมื่อสองสาวมาอยู่ด้วยกัน มันเลยเกิดเป็น Girls’ Power ซึ่งภาคก่อนๆ ไม่มี

07

ตัวละครหนึ่งที่มีความสำคัญเพิ่มมา (นิดนึง) ก็คือบิลลี่ (Dacre Montgomery) ภาคที่แล้วยังเป็นตัวละครสมทบที่ไม่ได้มีบทบาทนัก แต่ด้วยคาแรคเตอร์เด็กมีปัญหาของเขา ก็ทำให้เราสงสัยปมปัญหาในอดีตของเขาเหมือนกัน มาภาคนี้ บิลลี่โผล่มาตั้งแต่ตอนแรก…

15

แล้วก็โผล่มาเรื่อยๆ แต่!! โผล่มาในบทบาทโดนปีศาจสิงอะนะ ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจแทนดี เพราะบทบาทนี้ลดทอนศักยภาพของตัวละครไปเยอะ แค่เดินเมาๆ เหมือนคนเพิ่งตื่นนอน คือแบบบิลลี่ยังไม่ได้จะแสดงพาวอะไรเลย กลายเป็นซอมบี้ซะละ ถึงอย่างนั้น สุดท้ายเราก็ได้เห็นปมในอดีตของบิลลี่ ช่วยไขข้อข้องใจไปได้หนึ่งอย่างถ้วน แถมฉากสุดท้ายบิลลี่ยังเป็นฮีโร่ด้วยการสละชีพตัวเองเพื่อปกป้องแอลอีก โห ยิ่งชวนซึ้ง

14

หากบ็อบ (Sean Astin) กิ๊กของจอยซ์ คือผู้เสียสละในภาคที่แล้ว ขอบอกว่ารอบนี้ก็มีอีกหนึ่งคนนอกจากบิลลี่ เป็นบุคคลที่คาดไม่ถึงด้วย นั่นก็คือนายตำรวจฮอปเปอร์ ผู้ซึ่งมีบทบาทค่อนข้างโดดเด่นในภาคนี้เหมือนกัน ตั้งแต่ฉากบู๊เลือดร้อน ฉากกุ๊กกิ๊ก ไปจนถึงฉากพ่อหวงลูก มีมุมหลายมุมทำให้เราเอ็นดูนายตำรวจร่างหมีนี้ และเมื่อตอนสุดท้ายเขากลายเป็นผู้เสียสละเพื่อให้ภารกิจสำเร็จลุล่วง เราก็โคตรใจหายเลย ตอนดูนี่คิดอยู่เลยว่าเฮ้ยๆ อย่าเป็นแบบนี้นะ ไม่อยากให้ตัวละครนี้ไปเลย แล้วก็ต้องโคตรโหวงเมื่อนายตำรวจหายไปจากซีนจริงๆ แต่ๆๆ มีหลายเสียงบอกมานะว่าฮอปเปอร์อาจจะไม่ได้หายไปไหน ฉาก End Credit ก็มีหยอดๆ คำใบ้ว่าฮอปเปอร์อาจจะยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งเราก็หวังให้มันเป็นอย่างนั้น

13

ความ 80’s นี่มัน 80’s จริงๆ

สิ่งหนึ่งที่เป็นเสน่ห์ของ Stranger Things คือการดลบรรดาลฉากให้เหมือนเรากลับไปอยู่ในยุค 80 ได้… จะว่ากลับก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะเราเกิดหลังจากนั้น แหะ แต่เอาเป็นว่ามันให้ฟีลยุค 80 ที่ชัดเจนมากๆ เรียกได้ว่าทีมงานทำการบ้านมาอย่างดี

ตัวอย่างก็เช่น ห้าง Starcourt นี่ก็ถ่ายทำในโลเกชั่นที่ทีมเค้าคัดสรรกันมาอย่างดีแล้ว ถึงขั้นเล็งไว้เลยว่าจะเอาห้างที่ใกล้ปิดตัวหรือห้างร้างๆ มาเป็นฉากเท่านั้น หวยไปตกอยู่ที่ห้าง Gwinnett Place Mall ในรัฐจอร์เจีย รัฐเดียวกับที่ใช้ถ่ายทำซีรีส์นั่นแหละ ด้วยห้างนี้สร้างในปี 1984 ด้วย (โป๊ะเชะ!) จึงยังมีเค้าโครงของสถาปัตยกรรมสมัยนู้นอยู่ เอามาแต่งหน้าใหม่ได้ไม่ยาก

26

10

อีกจุดนึงที่เชื่อมโยงเข้ากับเหตุการณ์จริงคือปรากฏการณ์ New Coke โค้กรูปแบบใหม่ที่ปรับสูตรให้หวานขึ้นเพื่อหวังชนะใจผู้บริโภคชาวอเมริกัน และแก้ไขสถานการณ์ส่วนแบ่งตลาดลดลง ตอนแรกที่เห็น New Coke ในหนัง ยังนึกอยู่ว่าโคตร tie-in แต่ก็ไปเจอข้อมูลว่าเฮ้ย ปรากฏการณ์นี้เคยมีอยู่จริงนะ เลยแบบว้าววว เออทีมเขาละเอียดดีจริง โดย New Coke ตัวนี้ปล่อยเมื่อเดือนเม.ย. 1985 แล้วกระแสตอบรับก็แย่มาก มันถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Coke II ในปี 1992 แล้วก็หยุดขายไปในปี 2002 กลายเป็นหนึ่งบทเรียนทางธุรกิจที่ว่าอะไรที่มันดีแล้วก็อย่าสะเออะไปเปลี่ยนเลย

20

แต่ไอ้โค้กนี่ก็มีการนำกลับมาขายอีกครั้งเป็นพิเศษในปีนี้ เป็นแบบ limited edition เพื่อโปรโมต Stranger Things ซีซั่นนี้นี่แหละ โอ้โห พอมีสตอรี่มาปูแบบนี้แล้ว อยากซื้อขึ้นมาเลย มาร์เก็ตติ้งนี่มันมาร์เก็ตติ้งจริงๆ

นอกจากนั้น ก็ยังมีการสอดแทรกรายละเอียดอื่นๆ ที่สะท้อนความเป็นยุคนั้น เช่น การอ้างอิงชื่อดาราอย่าง Phoebe Cates และ Ralph Macchio, การร้องเพลงจากหนังเรื่อง The NeverEnding Story, การฉายหนังเรื่อง Back to The Future และ Day of The Dead ในโรงหนัง เป็นต้น

จบภาคนี้แล้ว ไงต่อ?

ดูจากตอนจบ ยังไงก็ต้องมีซีซั่น 4 แน่ๆ เล่นทิ้งค้างด้วยปีศาจเดโมกอร์กอนซะขนาดนั้น ซึ่งก็จริงเพราะทางโปรดิวเซอร์ก็คอนเฟิร์มแล้วว่าภาค 4 มาชัวร์ และเผลอๆ อาจจะมีภาค 5 ด้วย อันนี้ก็ต้องรอลุ้นกันไป แต่กว่าจะได้ดูภาค 4 นี่ก็คงต้องรออีกอย่างน้อยๆ 1 ปีตามตารางคัมแบ็กของซีรีส์ Netflix เค้าละ

นอกจากปีศาจที่ยังไม่หายหัวไปจากโลกสักที และน้องแอลที่ค้นพบว่าพลังวิเศษของตัวเองใช้การไม่ได้อีกแล้ว อีกประเด็นที่อยากติดตามคือการห่างกันของตัวละคร เนื่องจากจอยซ์ โจนาธาน วิล และแอลได้ย้ายออกจากเมืองฮอว์กิ้นส์ในตอนจบซีซั่น 3 แล้ว เหลือเพียงแต่ไมค์ ลูคัส ดัสติน แนนซี่ และแม็กซ์ ที่ยังอยู่เมืองเดิม จุดนี้ทำให้อยากรู้ว่าเส้นเรื่องของคนสองกลุ่มจะได้กลับมาเจอกันอีกไหม กลับมาเจอยังไง แล้วตัวละครหลักที่ห่างกันขนาดนี้จะกระทบเนื้อเรื่องขนาดไหน

สรุปแล้ว ภาคนี้…

Stranger Things 3 ยังคงความสนุก ความลุ้น และความเพลิดเพลินไว้ได้ดี เส้นเรื่องที่หลากหลายทำให้ไม่เบื่อ (อย่างน้อยก็สำหรับเรา) ตัวละครใหม่ๆ มีสีสันมากขึ้น เนื้อหาบทสนทนายังคงมีความขี้เล่นบนสถานการณ์ที่ซีเรียส ทำให้ไม่เครียดเกินไป จะเป็นอารมณ์แบบ เออ แบบนี้เอ็งก็เล่นได้เนอะ ซึ่งมันก็ตลกแบบร้ายๆ ดี นักแสดงเริ่มโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ฟีลเด็กๆ ก็จะหายไปแล้ว กลายเป็นซีรีส์เกือบจะวัยรุ่นแทน ซีซันต่อไปคงวัยรุ่นเต็มตัวแล้ว สำหรับซีซันนี้ก็เป็น 8 ตอนที่สนุกทุกตอน ทิ้งท้ายไปชวนค้างทุกตอน ดูจบแล้วยังคิดถึง อยากดูต่อ ตอนนี้ก็เหลือแค่รอภาคต่อไปแล้วละ

ข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติมจาก
https://www.seventeen.com/celebrity/movies-tv/g28377863/80s-references-stranger-things-3/
https://www.thrillist.com/entertainment/nation/stranger-things-3-pop-culture-easter-eggs

One thought on “รีวิว Stranger Things 3 (2019): รับมือกับสัตว์ประหลาดแล้วยังต้องรับมือกับฮอร์โมนวัยว้าวุ่น

Add yours

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Blog at WordPress.com.

Up ↑

%d bloggers like this: