เส้นทางวันนี้
- Crown Plaza Hotel
- กินมื้อเช้าที่ร้าน Кофейня 1
- เที่ยวสถานีเมโทร ตั้งแต่ Ploshchad’ Vosstaniya ถึง Avtovo
- Peterhof Palace Garden
- กินมื้อเที่ยงที่ร้านบูธริมถนน
- State Hermitage Museum
- กินมื้อเย็นที่ร้าน Stroganoff Steak House
- กินขนมหวานที่ Eliseyev Emporium
https://goo.gl/maps/uJd5jX4PqR3kTpfDA
ต่อจากวันที่แล้ว วันที่ 3 เรายังอยู่กันที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เช้านี้ตื่นเร็วขึ้นหน่อยหนึ่ง ออกจากโรงแรมไปหาข้าวเช้ากินตอนใกล้ๆ แปดโมง ตั้งใจจะไปร้านข้าวแกงที่ไปกินเมื่อวันแรกซะหน่อย
แต่ปรากฏว่าร้านยังไม่เปิด เปิด 9 โมงนู่น
เลยต้องเดินกลับกันมา แต่จำได้ว่าระหว่างทางมีคาเฟ่น่านั่งอยู่ งั้นแวะเข้าที่นี่เลยละกัน ชื่อร้าน Кофейня 1
บรรยากาศนอกร้านและในร้านดูน่ารักดี ดู welcome ให้เข้ามาใช้บริการมากๆ
พนักงานที่มาต้อนรับเราเป็นชาวเอเชีย เลยสื่อสารภาษาอังกฤษได้ง่ายหน่อย (กลายเป็นว่าพอมาที่นี่ การคุยกับคนเอเชียด้วยกันนั้นรู้เรื่องกว่า)
เมื่อได้โต๊ะเรียบร้อยแล้วก็ดูเมนู ที่นี่เมนูให้เลือกหลายสไตล์ จะสั่งอาหารเช้า ของคาว ของหวาน กาแฟ ชา ได้หมดทุกอย่าง
เราเหลือบไปเห็นโซนอาหารเช้าว่ามีพวก porridge หรือข้าวต้มแบบฝรั่งด้วย เราเป็นคนชอบกินข้าวต้มฝรั่งมากๆ ปกติทำกินเองที่บ้าน ที่ไทยก็ไม่มีขายด้วย เวลามาเมืองฝรั่งเลยตื่นเต้นเป็นพิเศษเวลาเห็นข้าวต้มฝรั่งอยู่ในเมนู
ว่าแล้วเราก็สั่งข้าวต้ม buckwheat เพราะเห็นมันขึ้นเป็นเมนูข้าวต้มอันแรก ถ้าจำไม่ผิด เหมือน buckwheat จะเป็นธัญพืชประจำชาติรัสเซียเลยก็ว่าได้ โอเคงั้นลองสั่งดู แต่ใจจริงก็แอบอยากสั่งข้าวโอ๊ตที่ราดด้วยซอสเบอรี่เหมือนกัน
โชคดีที่น้องเราก็อยากกินข้าวโอ๊ตเบอรี่ เลยเสนอว่าจะแชร์ข้าวโอ๊ตกัน ก็เลยสั่งมาจนได้
ส่วนเครื่องดื่มนั้นพวกเราสั่งเป็นเอสเพรสโซ่กับมอคค่า
กาแฟมาเสิร์ฟก่อนเป็นอย่างแรกเลย ปริมาณเอสเพรสโซ่ให้แบบจุใจมากๆ นี่มันกี่ช็อตกันละนี่
ส่วนมอคค่านั้น ค่อนไปทางหวานๆ แบบช็อกโกแลตมากกว่า ไม่ค่อยขมกาแฟเท่าไร แต่ทรงแก้วสวยดี
รอไม่นานอาหารก็เริ่มมาเสิร์ฟ ขอรีวิวแค่พวกข้าวต้มละกัน เพราะอย่างอื่นเราไม่ได้กิน
ข้าวต้มเสิร์ฟมาแบบอุ่นๆ ดูน่ากินมาก ว่าแล้วก็จ้วงข้าวต้มบักวีตขึ้นมาชิมคำแรก
บอกได้คำเดียว…หวาน!!
หวานเกินไปอะ T^T เหมือนกินนมตราหมีรสน้ำผึ้งที่ใส่น้ำผึ้งเยอะเกิน ปกติเราเป็นคนกินหวานน้อย โดยเฉพาะข้าวต้มที่เราทำเองนั้นแทบไม่เติมของหวานลงไปเลย พอเจอถ้วยนี้เลยสยองไปพักนึง ก่อนจะรีบคว้าเกลือมาโรยรัวๆ เพื่อให้ตัดกับความหวาน
พอลองชิมข้าวโอ๊ตหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ก็ได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกันคือรสชาตินมตราหมีน้ำผึ้งที่หวานเกินไป
แต่สั่งมาแล้วก็ต้องกินละนะ ถ้าไม่ติดที่ว่าหวานเกินไป เราว่า texture ของข้าวต้มนั้นใช้ได้เลย ตัวบักวีตมีความกรึบๆ เคี้ยวเพลิน และทำให้รู้สึกว่าได้รับใยอาหารไปเยอะมาก ส่วนข้าวโอ๊ตก็ต้มได้เนื้อเนียนดีมากๆ
ราคาก็ถือว่าไม่แพงแหละ… ถ้วยละ 120 รูเบิล ก็ตกประมาณ 60 บาท ที่อื่นในยุโรปแพงกว่าเยอะ
สิ่งที่แปลกคือราคาเอสเพรสโซ่แพงกว่ามอคค่าแฮะ… เอสเพรสโซ่ที่นี่แก้วละ 180 รูเบิล (ประมาณ 90 บาท) ถือว่าเป็นเรตราคาพรีเมียมของบ้านเราเลย ส่วนมอคค่าราคา 150 รูเบิล (ประมาณ 75 บาท)
ถ้าบอกแค่ว่ามอคค่าราคา 75 บาท ก็อาจจะรู้สึกว่าเฉยๆ แต่พอบอกว่าเอสเพรสโซ่ 90 บาทนี่ รู้สึกว่ามอคค่าดู special ขึ้นมาทันที ก็ปกติแล้วเอสเพรสโซ่ควรจะถูกสุดนี่นะ
ค่าเสียหายทั้งหมด
เมื่อทานข้าวช้าวเสร็จ ก็กลับโรงแรมไปเตรียมตัวแป๊บนึง วันนี้ช่วงสายๆ เราจะไปพระราชวัง Peterhof กัน โดยจะใช้เส้นทาง metro หรือรถใต้ดิน แล้วต่อด้วยแท็กซี่ Yandex (ไม่เข็ด อยากลองของ)
ที่อยากใช้เส้นทาง metro เพราะรุ่นพี่ที่เรียนที่นี่ให้ความเห็นว่า สถานี Avtovo ซึ่งเป็นสถานีที่เราจะลงไปต่อรถนั้นเป็นสถานีเมโทรรัสเซียที่สวยที่สุดแล้ว สวยกว่าสถานีในมอสโควอีก แถมสถานีตั้งแต่ Ploshchad’ Vosstaniya (สถานีหน้าโรงแรมเรา) ไปจนถึง Avtovo ก็สวยๆ ทั้งนั้นเพราะสร้างในยุคสตาลินพอดี สถานีอื่นที่สร้างหลังยุคสตาลินจะสวยไม่เท่า
โอเคเลย แนะนำมาขนาดนี้แล้วก็ต้องลองไปสักหน่อย
ตอนแรกว่าจะไปแค่ Avtovo คือนั่งยาวๆ ไปเลย 7 สถานี แต่ดูไปดูมา เอ เวลาเหลือเยอะแฮะ กว่าสวนปีเตอร์ฮอฟจะเปิดน้ำพุไฮไลต์ก็ปาไป 11 โมง งั้นเราชิวๆ หน่อยละกัน
แวะทุกสถานีเลยเป็นไง!
อือ ทั้ง 7 สถานีนั่นแหละ
ว่าไงว่าตามกัน
09.30 : Metro Tour
ช่วง 9 โมงกว่าๆ เราเดินออกไปสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุด อยู่เยื้องๆ ตรงกันข้ามกับโรงแรมเลย นั่นคือสถานีรถไฟชื่อ Moscow
อือ อ่านไม่ผิด ชื่อ Moscow จริงๆ แต่อยู่ที่ St.Petersberg อะ ใครจะทำไม
คือสถานีนี้เนี่ยมีรถไฟจากเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กไปยังเมืองมอสโคว ส่วนสถานีรถไฟที่เมืองมอสโควนั้นมีชื่อว่าเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก… เออ เข้าใจคิด อ่านชื่อสถานีก็รู้เลยว่าจุดหมายปลายทางไปไหน
สถานี้ Moscow นี้จะเชื่อมกับเมโทร Ploshchad’ Vosstaniya อีกที
ตอนแรกนึกว่าจะต้องเข้าประตูนี้ แต่ผิด อันนี้เป็นประตูทางออก เราต้องเดินไปทางขวาตามลูกศร
ถึงจะเจอกับประตูทางเข้าเมโทรที่ถูกต้อง
อยู่ใกล้ๆ กับห้าง Galleria นั่นละ
พอเข้ามาในสถานีเราก็ทำการแลก token ก่อนเลย เป็นครั้งแรกที่ลองใช้ตู้กด token ก็ใช้ไม่ยากนะ เพราะมีภาษาอังกฤษกำกับอยู่ เราแค่ต้องใส่เงินเข้าไปเป็นจำนวนอย่างน้อย 45 รูเบิล ถ้าเกินเดี๋ยวมันจะทอนตังค์ออกมา เมื่อใส่เงินครบแล้วก็ให้กดปุ่มคอนเฟิร์ม เครื่องก็จะพ่นเงินทอน (ถ้ามี) และโทเคนเพื่อใช้หยอดเข้าสถานีออกมา
อ้อ สำหรับที่เมืองนี้ ไม่ว่าจะนั่งใกล้ไกลแค่ไหน ก็ใช้แค่ 45 รูเบิล หรือประมาณ 22.50 บาทเท่านั้น ถูกมาก
โทเคนหน้าตาคล้ายเหรียญทั่วไปมากๆ ดูเผินๆ อาจพลาดใช้สลับกันได้
พอได้โทเคนก็ตรงไปที่ประตูทางเข้า หยอดเหรียญลงไปในช่องแล้วผ่านประตูมาได้เลย
ใช่ หยอดเหรียญไปเลย เพราะทุกเส้นทางราคาเท่ากัน ไม่ต้องเก็บเหรียญไปหย่อนเหมือนกรุงเทพฯ
โอเค แค่นี้เราก็ได้เข้ามาสู่เขตของเมโทรอย่างอิสระแล้ว จะไปลงสถานีไหนก็ได้ เสียราคาเดียวคือ 45 รูเบิล โคตรคุ้ม
เดินตามฝูงชนไปลงบันไดเลื่อนที่สูงมากๆ
จากนั้นก็เดินตามทางไปเรื่อยๆ พวกเรานึกสนุกอยากไปเยี่ยมชมสถานี Mayakovskaya สักหน่อย ได้ยินว่าสวย ไหนๆ ก็อยู่ใกล้แค่นี้
ทางเดินก็ดูคูลดีนะ
ถึงแล้วสถานี Mayakovskaya ชื่อนี้ตั้งตาม Vladimir Mayakovsky ศิลปินและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สนับสนุนเลนิน
ตัวผนังของชานชาลาตกแต่งด้วยสีแดง สวยดี
ที่เป็นจุดไฮไลต์อีกจุดเห็นจะเป็นประตูทางเข้ารถไฟ ที่พอปิดแล้วดูยังไงๆ ก็ไม่เหมือนประตูเข้ารถไฟ เหมือนประตูเข้าห้องเก็บของมากกว่า
แถมเวลาประตูดำๆ นี่ปิดนะ ปิดแบบสนั่นหวั่นไหวเหมือนโกรธใครมา เกรงว่าถ้าใครเผลอไปคั่นกลางอาจจะโดนหั่นท่อนเอา
เมื่อสำรวจชานชาลาเสร็จ เราก็เบียดฝูงชนออกมา เพื่อตรงไปที่ชานชาลาของสถานี Ploshchad’ Vosstaniya ซึ่งเป็นที่ที่เราจะออกสตาร์ตวันนี้
ชานชาลานี้มีความเพดานโค้งๆ สวยดี
เมื่อรถไฟมาถึงก็ขึ้นไปยืนอัดกับผู้คน รถไฟมีความฉึกฉักไม่สมูทอยู่บ้าง ไม่มีการบอกว่าสถานีต่อไปคือสถานีอะไร ไม่มีเสียงประกาศอะไรทั้งสิ้น แต่ยังดีที่มีจอมอนิเตอร์คอยบอกชื่อสถานีที่กำลังจะไปอยู่ เหลือบๆ มองเอาได้
สถานีต่อมาคือ Vladimirskaya อันนี้มีแชนเดอเลียร์แขวนอยู่ข้างบน ตัวผนังมีการเจาะช่องเป็นสี่เหลี่ยมๆ พร้อมพื้นลายตารางหมากรุก
สถานีต่อมาคือ Pushkinskaya มีเพดานโค้ง ตรงเสามีไฟซ่อนไว้อยู่มลังเมลือง และสุดทางก็มีรูปปั้นนักกวี Alexander Pushkin
สถานีต่อมาคือ Tekhnologicheskiy Institut 1 มีความเก๋ไก๋ตรงที่ใช้หลอดไฟมาเป็นลูกเล่น ประดับบนเพดานแล้วโค้งตามเพดานเลย สมกับที่ชื่อเทคโนโลยี ผนังตกแต่งด้วยหินอ่อน ข้างบนเสามีรูปภาพของเหล่านักวิทยาศาสตร์สมัยโซเวียต (ตรงกลมๆ นั่นอะ)
ต่อมาคือสถานี Baltiyskaya เล่นกับความโค้งของเพดาน และมีลวดลายที่โค้งตามกันไป มีเสาหินสีเทาอ่อนๆ
สถานี Narvskaya อันนี้ก็นำหลอดไฟฟลูออเรสเซ้นต์มาประดับไว้ได้สวยงาม บนเสาหินอ่อนจะมีรูปปั้นบรอนซ์ทองชื่อว่า Labor Valor of the Soviet People เป็นคนหลายๆ อาชีพ
เห็นว่าแต่ก่อนมีภาพโมเสกและรูปปั้นครึ่งตัวของสตาลิน แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว
ตรงชานชาลาก็มีแชนเดอเลียร์ห้อยประดับไว้ด้วย เข้ากับหน้าตารถไฟที่ดูโบๆ
ลืมบอกไป ข้างในรถไฟก็จะประมาณนี้
สถานีต่อมา Kirovsky zavod ประดับไฟสวยอีกแล้ว มีความสี่เหลี่ยมๆ ตรงเสาก็มีลูกเล่น
ปลายสถานีมีรูปปั้นเลนินอยู่
ตามข้างบนเสาก็มีโลหะหล่อเป็นลวดลายสวยๆ
และสถานีสุดท้ายก็มาถึง นั่นก็คือ Avtovo
พอออกมาจากขบวนรถไฟก็ตะลึงงันกับความอลังการงานสร้าง ความหรูหราของที่นี่
ไม่รู้ว่าสถานีรถไฟที่มอสโควจะเป็นยังไงนะ แต่ตอนนี้ Avtovo กินใจมาก
ไม่แปลกใจที่ติดท็อปๆ ของอันดับสถานีเมโทรที่สวยที่สุดในโลก
ทั้งโคมระย้าที่ห้อยลงมา ทั้งเสาหินอ่อนขนาดใหญ่ที่สลักลวดลายวิจิตรละเอียดอ่อน เพดานก็มีการสลักลวดลาย ดูเผินๆ แล้วอย่างกับอยู่ในวัง
ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีบางส่วนที่ไม่ได้มีเสาแบบแกะสลักลวดลาย แต่ก็ยังสวยอยู่ดี สวยแบบเรียบๆ
ตรงปลายสถานีมีรูปโมเสกนี้ เป็นอนุสรณ์ถึงเมืองเลนินกราด (หรือก็คือเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในอดีต) ที่ถูกปิดล้อมช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
จากชานชาลาเราก็ตรงไปยังทางออก สามารถเดินผ่านประตูทางออกมาได้เลย ตามแสงสีเขียวๆ นั่น
ภายในตัวสถานีก็โอ่โถงไม่แพ้กัน ไม่ใช่แค่ที่ชานชาลา ลักษณะเป็นโดมขนาดใหญ่
ว่าแล้วก็เดินออกมาจากตัวสถานีจนได้ ตรงกันข้ามสถานีคือจุดจอดรถบัสที่สามารถไปยังวัง Peterhof ได้
แต่เราว่าจะลองเสี่ยงเรียก Yandex อีก
รอบนี้พี่แกก็มาแบบโอเค ใช้เวลาประมาณ 30-40 นาทีก็มาถึงวัง ไม่ได้คิดตังค์เพิ่มด้วย ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ระดับ 500 กว่าๆ รูเบิล
11.15: Peterhof Palace
แท็กซี่มาจอดตรงส่วนที่ดูเหมือนจะเป็นทางเข้าวัง…รึเปล่า?
เดินสำรวจไปๆ มาๆ ไม่ใช่แฮะ เพราะด้านซ้ายมือคือข้างในตัววังซึ่งเป็นสวน Upper Garden เราเห็นว่ามีคนเดินๆ อยู่ในนั้น ถ้าอย่างนั้นทางเข้าน่าจะเป็นทางที่ติดกับถนนใหญ่มากกว่า
ว่าแล้วก็เดินย้อนกลับไปยังถนนใหญ่
ตรงหัวมุมอีกฝั่งถนนจะเจออาคารหน้าตาเหมือนบ้านขนมปังขิง
เลี้ยวขวาแล้วเลียบรั้วสวนไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งเจอทางเข้าอันแสนจะอลังการ แบบเห็นปุ๊บรู้เลยว่านี่ทางเข้าแน่ๆ
และนี่ก็คือ Upper Park หรือสวนของวัง Peterhof ที่ไม่ต้องเสียค่าเข้าชมใดๆ เดินตัวปลิวเข้ามาได้เลย
วัง Peterhof หรือที่ได้รับการขนานนามว่า “แวร์ซายแห่งรัสเซีย” นี่ได้รับสั่งสร้างโดยพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช เพื่อที่จะอำนวยความสะดวกในการเดินทางไป-กลับจากป้อม Kronstadt ที่มีไว้คอยสอดส่องป้องกันเมือง
มีดอกไม้สวยๆ และน้ำพุกระจัดกระจายตัวอยู่ตามสวน ถ้าถ่ายรูปวังจากตรงนี้อาจจะไม่ได้ภาพชัดเท่าไร ค่อนข้างไกล ต้องเดินเข้าไปหน่อย
เดินเข้ามาจะเจอแปลงดอกไม้กับลานโล่งๆ ก่อนเลย
เดินไปอีกก็จะเริ่มเจอน้ำพุแล้ว
น้ำพุที่นี่ อ่านเจอมาว่าไม่ได้ใช้ปั๊มสูบน้ำเลยนะ เค้าใช้แรงดันธรรมชาติอันเกิดมาจากระดับน้ำตามพื้นที่ที่สูงๆ ต่ำๆ
Upper Garden คือส่วนที่อยู่สูงกว่า ไล่ลงมาเรื่อยๆ จนถึง Lower Garden และไปต่ำสุดที่ปลายพื้นที่
มาเริ่มกันที่น้ำพุ The Indeterminate Fountain เป็นมังกรพ่นน้ำ
The Neptune Fountain .. ตรงนี้เป็นสระที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณวัง
อันนี้คือสวนข้างๆ ตัดแต่งต้นไม้ดูเป็นกล่องๆ ชิ้นๆ ดี ดูมีระเบียบมาก
เมื่อเดินจนถึงวัง ก็จะเจอกับคิวต่อเข้าซื้อบัตรชมวัง ซึ่งก็ดูน้อยจนน่าแปลกใจ ชักไม่แน่ใจแฮะว่านี่ใช่คิวเข้าชมวังรึเปล่า
แต่วันนี้เราไม่ได้กะจะเข้าวัง แค่อยากเดิน Lower Park เฉยๆ หันซ้ายหันขวาว่าจะไปทางไหนต่อดี ดูจากปริมาณคนแล้ว เดามั่วๆ ว่าเป็นทางซ้าย
แล้วก็ใช่จริงๆ
เราต้องเดินออกจากตัว Upper Park ไป ผ่านอาคารสีส้มอ่อน เพื่อจะเจอกับบูธขายตั๋วสำหรับ Lower Park
ถึงแล้วบูธขายตั๋ว คนเยอะแบบนี้มั่นใจละ
ทีนี้ เรามีตั๋ว Lower Park ที่ซื้อจากอินเตอร์เน็ตล่วงหน้ามาแล้ว (คนละ 900 รูเบิล) ไปถามตรง Information ให้แน่ใจอีกที ก็พบว่าสามารถเอาบัตรที่ปริ๊นท์มาจากอินเตอร์เน็ตนั้นสแกนเข้าสวนไปได้เลย ไม่ต้องแลกเป็นบัตรสวยใดๆ
เข้าวังมาแล้ว จะพบกับความตระการตาเช่นนี้
ด้านซ้ายมองลงไปจะเป็นสวน
ด้านขวาเป็นพระราชวัง ถ่ายรูปออกมามืดหน่อยเพราะย้อนแสงพอดี
เราตัดสินใจเดินลงบันไดไปชั้นล่างกันก่อน
เจอกับบูธให้บริการรถกอล์ฟ คนละ 800 รูเบิล เอ้อ น่าสนใจ
รถกอล์ฟนี้จะขับวนไปรอบๆ สวน ช่วยผ่อนแรงการเดินลงได้เยอะ และยังได้เก็บไฮไลต์ๆ อีกด้วย ว่าแล้วก็ซื้อตั๋วสำหรับรอบ 12.10
แต่ตอนนั้นเราอยากเข้าห้องน้ำมาก เหลือเวลาอีกประมาณ 10 กว่านาทีเท่านั้นรถถึงจะมา ถามคนขายตั๋วก็บอกว่าห้องน้ำอยู่ซ้ายมือ เดินไปยาวๆ แล้วเลี้ยวซ้ายอีกที
สำหรับใครที่มาถึงสวน Lower Park ของ Peterhof ทางฝั่งที่ไม่ใช่เรือ แล้วต้องการเข้าห้องน้ำมากๆ แบบเรา ก็เดินลงบันไดมายังสวนชั้นล่างแล้วเลี้ยวซ้ายเลย
เดินไปพักใหญ่ๆ ผ่านบึงหน้าและทะลุดงป่าไป
เขียวขจีสุดๆ อยากยกไปไว้หน้าบ้าน นึกว่าอยู่ในชนบท
เมื่อเจอทางแยกก็เลี้ยวซ้าย จะเจอกับซุ้มประหลาดๆ
มันคือห้องน้ำ
โอโห หลบมุมมาก อย่างกับกลัวคนรู้ว่ามีห้องน้ำ
เมื่อเสร็จกิจเรียบร้อยแล้วก็พุ่งตรงมายังรถกอล์ฟแห่งเดิม รถก็ขับวนสวนไปเรื่อยๆ ลัดเลาะไปตามเส้นทางต่างๆ มีหยุดพักบ้างให้พวกเราถ่ายรูป อากาศตอนนั่งรถกอล์ฟนี่เป็นอากาศในอุดมคติมากๆ คือไม่มีแดด มีลมเย็น ถึงอย่างนั้นก็แอบมีฝนพรำๆ นิดหน่อย ซึ่งก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรมากนัก
ขอเชิญชมบรรยากาศชมสวน ณ บัดนี้จ้า
ชิลมากๆ บอกเลย
The Lion Cascade น้ำพุที่มีสิงโตอยู่ด้านหน้า แต่รถกอล์ฟมาจอดตรงนี้เลยถ่ายได้แค่ข้างหลัง T^T
สถาปัตยกรรมสวยดี เหมือนโครงอาคาร หินอ่อนมีทั้งสีดำขาว
The Golden Hill Cascade น้ำพุขั้นบันไดทอง รูปปั้นทั้งหมดทำมาจากอิตาลี
หนักไหมหนู
บ้านหลังนี้สวยดี ไม่แน่ใจว่าคืออะไร
เป็นบ้านริมน้ำที่ดูน่ารักมาก
The Golden Hill Cascade แบบไกลๆ
แล้วรถกอล์ฟก็ขับมาถึงใกล้ๆ หาดติดทะเล
The Adam and Eve Fountain เป็นรูปปั้นที่สื่อถึงการแต่งงานระหว่างพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช กับพระจักรพรรดินี Catherine I
มุมตรงนี้สวยดี รถกอลฟ์จะขับช้าๆ วนรอบน้ำพุ ให้เก็บรูปได้ทุกมุม
รถกอล์ฟเวียนมาหน้าวัง ตรงสะพานอันที่สองด้วย มองตรงนี้เห็นทะลุไปถึงสะพานอีกอันและวัง
เขียวขจีสุดๆ
มีธารเล็กๆ ไหลผ่าน สวยดี
ไม่แน่ใจว่าน้ำพุที่อยู่ไกลๆ นั่นคือ The Sun Fountain รึเปล่านะ น้ำพุมีความฉีดน้ำกระจายๆ เหมือนรัศมีดวงอาทิตย์
นั่งริมน้ำพุนี่อย่างชิล
The Pyramid Fountain (1724) น้ำพุทรงสามเหลี่ยม
มีดอกไม้อะไรขาวๆ ตรงกลางทุ่งด้วยน่ะ
มีรถไฟเล็กๆ ให้บริการด้วย
The Roman Fountain น้ำพุซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากน้ำพุหน้า St.Peter’s Basilica ที่วาติกัน เป็นน้ำพุ 2 อันที่ตั้งตรงข้ามกัน
ใช้เวลานั่งรถอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ทัวร์เสร็จตอนประมาณ 12.45 โดยมาหยุดที่จุดน้ำพุตารางหมากรุก ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมากจากระเบียงใน Bosquet des Rocailles ที่แวร์ซาย
เสียดายไม่ทันได้เดินเข้าไปดูใกล้ๆ
เดินไปทางทิศที่เป็นพระราชวัง ก็จะมาเจอแปลงดอกไม้กับน้ำพุสวยๆ อีก
นกสวยดี
The Triton (Orangery) Fountain (1726) เป็นรูปปั้น Triton ง้างปากสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเล รอบๆ มีเต่าพ่นน้ำ เป็นน้ำพุที่แสดงชัยชนะของรัสเซียต่อสวีเดน
จากตรงนี้เราเลยเดินย้อนกลับไป เพื่อเก็บน้ำตกอื่นๆ และเก็บน้ำตกไฮไลต์ตรง Grand Cascade หน้าวังด้วย
ว่าแล้วก็เดินขึ้นไปด้านบน
สวนที่เพิ่งผ่านมา เมื่อมองลงมาจากบันได ดูคิ้วทึมากๆ
พอขึ้นมาข้างบน ก็กลับมาเลาะพระราชวังอีกครั้ง
มองไปด้านขวาก็จะได้วิวสวนหน้าพระราชวัง
น้ำตกหน้าวังคืออลังการงานสร้างมากจริงๆ จะถ่ายจากมุมบน หรือมุมล่างก็สวย
มุมนี้คนก็จะเยอะๆ หน่อย เป็นมุมมหาชน
ตรงที่เป็นคลองนั้นเรียกว่า The Sea Canal มีต้นแบบมาจาก Grand Canal ของแวร์ซาย (อีกละ)
สมัยก่อน เรือขนาดเล็กสามารถแล่นผ่านคลองนี้ เข้าตัวพระราชวังได้เลย
The Grand Cascade น้ำพุไฮไลต์เด็ดของที่นี่ เป็นขั้นบันไดจากพระราชวังสู่ Lower Garden
The Samson Fountain น้ำพุนี้อยู่ด้านล่างสุดของ The Grand Cascade สร้างเพื่อฉลองครบรอบชัยชนะ 25 ปีในสงคราม Poltava ระหว่างรัสเซียและสวีเดน
ตรงกลางคือรูปปั้น Samson ง้างปากสิงโต ซึ่งถูกเปรียบเปรยเป็นสวีเดน
ถ่ายจากมุมนี้ ก็จะได้ทั้ง Samson ทั้ง Grand Cascade เลย
รอบๆ ก็มีวิวสวนสวยๆ ให้กระจายตัวไปถ่ายรูปกันได้
แวบมาถ่ายจากมุมสะพาน เห็นพระราชวังอยู่ไกลๆ เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิววังที่สวย
ระหว่างทางก็มีพวกบูธอาหารตั้งวางเรียงราย คนเข้าคิวเยอะเชียว ก็เป็นอีกตัวเลือกนึงสำหรับอาหารที่สะดวกสบายดีนะ
โดยรวมแล้ว เราชอบสวนที่ Peterhof มากเลย กว้างขวางและสวยงามมาก ถ้าอากาศเย็นๆ ไม่มีแดด ก็น่ามาเที่ยวทั้งวันได้อยู่ มาที่นี่ทำให้รู้สึกว่าสวนที่ Catherine นั้นธรรมดาไปเลย
เราเดินเลียบริมน้ำมุ่งตรงไปยังริมแน่น้ำ เพื่อจะดูคิวเรือสำหรับเดินทางกลับไปยังในตัวเมือง ระยะทางที่เดินก็ไกลใช้ได้ แถมแดดยังร้อนมาก (ทั้งที่เมื่อกี้ฝนเพิ่งตก) เราเลยตัดสินใจว่างั้นถ้ารอบเรือดีก็กลับเลยละกัน ขี้เกียจเดินกลับไปยังวังแล้ว
ตรงริมแม่น้ำก็มีโขดหินมากมายให้ผู้คนมานั่งเล่น มีความชิวๆ ดี เหมือนมานั่งหาดทรายยังไงยังงั้น
พอไปเช็กรอบเรือ ก็เห็นว่ารอบต่อไปคืออีก 10 นาที หรือก็คือ 13.30 ถ้าไม่เอารอบนี้ รอบต่อไปก็จะเป็น 14.30 เลย
ว่าแล้วก็ซื้อตั๋วทันที ราคาตั๋วผู้ใหญ่ใบละ 950 รูเบิล ส่วนเด็กนักเรียน 750 รูเบิล ยื่นบัตรนักเรียนนักศึกษาสถาบันไทยไปให้เจ้าหน้าที่ได้เลย
ได้ตั๋วแล้วก็รีบวิ่งพุ่งตรงไปยังท่าเรือหมายเลข 1 ที่เรือพร้อมจะออกแล้ว
ตามคาดคือที่นั่งในส่วนที่ดีๆ เห็นวิวชัดๆ นั้นถูกจับจองหมด เลยต้องพาตัวเองไปนั่งหลังเรือซึ่งไม่ค่อยมีหน้าต่างเท่าไร แต่เอาเถอะอย่างน้อยมีที่นั่งก็ยังดี
เรือมีความสั่นๆ นิดหน่อย แต่ก็แล่นได้ฉิวดี ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงนิดๆ เรือก็มาจอดที่ท่า มองเห็นมหาวิหาร St.Isaac อยู่ไกลๆ
มองไปอีกฝั่งแม่น้ำ ก็จะเห็นตึกสีพาสเทลสวยๆ มีเรือแล่นมาเป็นระยะๆ
ก่อนจะเข้า State Hermitage Museum พวกเราคิดกันว่าคงหาอะไรกินง่ายๆ เร็วๆ ไปก่อน เพราะกลัวว่าจะมีเวลาน้อย เลยมาลงเอยกันที่บูธขายอาหารฟาสต์ฟู้ดข้างแม่น้ำ มีบูธแบบนี้ตั้งเรียงรายเต็มไปหมด
อาหารมีทั้งฮอตด็อก แซนด์วิช ครัวซองค์ ชา กาแฟ ไปจนถึงขนมขบเคี้ยวและไอศกรีม
พวกเราสั่งแซนด์วิช ฮอตด็อก และครัวซองค์มากินกัน
ของเราเป็นครัวซองค์มอสเซลเรลล่ากับมะเขือเทศ รออยู่แป๊บนึงเค้าถึงมาเสิร์ฟ แม้หน้าตาจะดูบุบบี้ๆ แต่อร่อยมาก ความเข้มข้นของชีสกับมะเขือเทศนั้นเข้ากันได้ดี แป้งครัวซองค์ก็กรอบกรุบๆ เศษกระจาย (อีกแล้ว) เป็นมื้อที่กินเร็วๆ แต่ก็อิ่มดี
14.50 : State Hermitage Museum
เสร็จแล้วก็ไปยังอาคารสีเขียวมิ้นต์ หรือ State Hermitage Museum ที่ที่เราซื้อตั๋วลัดคิวล่วงหน้าไว้แล้ว
เราเดินข้ามถนนและลัดเลาะเข้ามาในส่วนของพิพิธภัณฑ์
State Hermitage Museum หรือ Winter Palace นี่ถือเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของโลก ด้วยจำนวนของสะสมทั้งหมดมากกว่า 3 ล้านชิ้น!
ก่อนจะมาเป็นพิพิธภัณฑ์ ที่แห่งนี้เคยเป็นพระราชวังฤดูหนาว สั่งสร้างโดยพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราช
บรรยากาศโคตรชิล มีคนมานั่งเล่น เปิดหมวกเล่นดนตรี
เมื่อเห็นทางเข้าที่อยู่ทางฝั่ง Palace Square ก็เข้ามาเลย ตามกรุ๊ปทัวร์
จะบอกว่า คนต่อคิวน้อยมาก รู้อย่างนี้ไม่ต้องซื้อบัตรลัดคิวมาก็ได้ 555
ไปถามที่ Information ข้างในอาคารว่าตั๋วลัดคิวของ Viator นี้ต้องยื่นที่ไหน ป้าแกบอกว่า พวกฉันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้านี้ที่ออกตั๋วให้พวกเธอ เธอโทรไปถามเค้าเองนะ และรู้ไหมว่าบัตรแบบนี้มันผิดกฎหมาย
อ้าวป้า ไหงบอกปัดกันแบบชุ่ยๆ งี้อะ ผิดกฏหมายอะไรวะ
โชคดีที่มีเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งมาช่วยสกัดป้าเอาไว้ แล้วบอกเราว่าสำหรับตั๋ว Internet Voucher นี้ต้องไปแลกเป็นบัตรที่อีกทางเข้าหนึ่ง เดินออกไปทาง Palace Square แล้วเลี้ยวซ้าย เข้าไปในตรอกที่ 2 ก็จะเจอกับอาคารจุดหมาย
โอเค งั้นลองคลำๆ กันดู
เลี้ยวเข้าซอยที่อยู่ข้างๆ อาคารที่มีรูปปั้น Anlantes
สุดท้ายก็มาเจอทางเข้าอีกทางหนึ่ง ซึ่งเขาเขียนไว้เลยว่าสำหรับ Internet Voucher โดยเฉพาะ รอดแล้ว
จากรูปข้างล่าง เดินผ่านเข้ามาในรั้ว และเข้าไปในอาคารด้านซ้ายเลย มีป้ายบอกอยู่ว่าสำหรับ Internet Voucher
พอยื่น Voucher ให้เขาดู เขาก็ร้องอ๋อทันที ยื่นตั๋วมาให้เสร็จสรรพ เข้าชมพิพิธภัณฑ์จากอาคารนี้ได้เลย
นี่ไงป้า ผิดกฏหมายตรงไหนวะ ก็เค้าตั้งบูธไว้บริการขนาดนี้แล้ว
เมื่อได้บัตร เราก็แปะบัตรเข้าไปในตัวพิพิธภัณฑ์
ส่วนแรกที่เราเจอดูเหมือนจะเป็นส่วนที่โชว์นิทรรศการ
แต่พวกเราอยากจะไปโซนวังที่ในหนังสือทัวร์ไกด์แนะว่ามีห้องที่น่าสนใจ ห้ามพลาดเด็ดขาด
สอบถามจากเจ้าหน้าที่ ก็พอคลำๆ ทางไปยัง Jordan Staircase ได้ โดนต้องผ่านห้องที่จัดแสดงนิทรรศการอียิปต์ไปก่อน
คนเยอะและอลังการมาก บอกเลย
คนเยอะมากกกกก
Jordan Staircase นี่เป็นบันไดที่พระเจ้าซาร์และราชวงศ์ใช้เสด็จไปที่แม่น้ำเนวา ทุกวันที่ 6 มกราคมของทุกปี เพื่อทำพิธีศีลจุ่ม
State Hermitage Museum นี่โคตรใหญ่ ใหญ่มากๆ ใหญ่แบบใหญ่ไปไหน ห้องก็เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด
เข้าที่นี่ ทำให้รู้สึกคุ้มค่ากว่าเข้าวัง Catherine เยอะ
แต่ละห้องของที่นี่มีธีมแตกต่างกันไป มีมุมน่าสนใจหลายมุม ทั้งมุมที่โชว์งานศิลปะ โชว์ทรัพย์สิน โชว์อาวุธ โชว์ข้าวของเครื่องใช้ ฯลฯ
ขอชวนเชิญชม
The Peter the Great Hall (Small Throne Room) (ห้อง 194) เป็นห้องที่รอบๆ ปูด้วยผ้ากำมะหยี่สีแดง ตรงกลางคือรูปพระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราชและจักรพรรดินี Catherine I
ข้างบนรูปคือสัญลักษณ์นกอินทรี ซึ่งเป็นตราของราชวงศ์โรมานอฟ
The Armorial Hall (ห้อง 195) เป็นห้องรับรองขนาดใหญ่
The St. George Hall (Large Throne Room) (ห้อง 198) มีความคล้ายห้อง Peter the Great มาก เป็นห้องโถงที่ถูกใช้ในพิธีทางการสำคัญๆ ไม่ก็ไว้ต้อนรับแขก
เห็นแค่หัวคนเต็มไปหมด
The Pavilion Hall (ห้อง 204) ห้องนี้ก็ไฮไลต์ รอบๆ เป็นผนังสีขาวทอง มีแชนเดอร์เลียร์คริสตัลมากมาย
และที่สำคัญ คือมีนาฬิกานกยูงสีทอง ตอนนี้ไม่ได้ใช้บอกเวลานะ มันจึงอยู่นิ่งๆ แต่เราสามารถดูการทำงานของมันได้ในจอทีวีข้างๆ ซึ่งจะฉายให้เห็นการเคลื่อนไหวของมันเมื่อครบชั่วโมง
ไม่ได้มีแค่นกยูง แต่ในนาฬิกายังมีสัตว์อื่นๆ อย่างกระรอก ไก่ นกฮูก
มองทะลุผ่านหน้าตาก็จะเห็นสวน
มุมบันไดตรงนี้สวยดี ดูน่ารักแต่ก็ลึกลับ
Leonado da Vinci Room (ห้อง 214) ห้องรวบรวมภาพของดาวินชี ภาพที่คนมุงเยอะสุดคือภาพ The Litta Madonna
The Majolica Room (ห้อง 229)
The Knight’s Hall (ห้อง 243) เป็นห้องที่รวบรวมคอลเล็กชั่นของสะสมที่เป็นอาวุธและเครื่องเกราะจากประเทศต่างๆ รวบรวมโดยพระเจ้าซาร์ Nicholas I
อันนี้เป็นเครื่องแต่งกายของอัศวินเยอรมัน นั่งบนหลังม้า
The Gallery of the History of Ancient Painting (ห้อง 241) เป็นห้องโถงยาวๆ ที่มีทั้งรูปวาดและรูปปั้นกรีก
Dutch Art (ห้อง 249-254) ห้องนี้รวมภาพศิลปะสมัยศตวรรษ 18-19
แค่โถงทางเดินระหว่างห้องยังสวย มีรูปภาพประดับอยู่ตามผนัง
มองผ่านหน้าต่าง เห็นวิว Palace Square ด้วย ซึ่งกำลังเตรียมจัดงานอะไรสักอย่าง (เดาว่าฉลองวันก่อตั้งเมือง)
The Gold Drawing Room (ห้อง 289) เป็นหนึ่งในที่ประทับของ Tsarina Maria Alexandrovna พระชายาของพระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ที่ 2
ห้องของ Tzarina Maria Alexandrovna (ห้อง 306) ผนังเป็นผ้าไหมสีแดงปักดิ้นทอง เข้ากันกับโซฟาเก้าอี้
ผู้คนมุงดูรูปจักรพรรดินีแคทเธอรีนที่ 2 มหาราช ณ ห้อง The Portrait Gallery of the House of the Romanovs (ห้อง 153)
เราดูแค่ส่วนที่เป็นพระราชวัง ก็ใช้เวลาไปเกือบๆ 2 ชั่วโมง เมื่อยและล้าพอสมควร ประมาณ 17.30 เมื่อเก็บครบทุกไฮไลต์แล้วก็ออกมาข้างนอก ชมบรรยากาศตรง Palace Square ที่เค้าเตรียมจะจัดงานสำหรับวันก่อตั้งเมืองในไม่กี่วันข้างหน้านี้
แอบเสียดายเบาๆ ที่จตุรัสตรงนี้มีสิ่งขวางกั้น แต่ไม่เป็นไร มันก็ดูเป็นธรรมชาติไปอีกแบบดี
เสาหินพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ (Alexander Column) พระเจ้าซาร์ อเล็กซานเดอร์ที่ 1 ได้รบชนะกองทัพนโปเลียน
อ่านเจอว่าสตาลินเคยคิดจะหล่อรูปปั้นตัวเองไปแทนที่นางฟ้าบนยอด
เอ่อ ใจเย็นนะลุง โชคดีที่ลุงไม่ได้ทำ
Palace Square นี้เคยเกิดเหตุการณ์แห่งประวัติศาสตร์ นั่นคือ Bloody Sunday เหตุการณ์นองเลือดประชาชนที่มาชุมนุมถวายฎีกาอย่างสงบ โดยผู้ที่ยิงปืนใส่กลุ่มประชาชนก็คือกองทหารของพระเจ้าซาร์ Nicholas II
เหตุการณ์นี้เป็นตัวก่อให้เกิดการปฏิวัติในภายภาคหลัง
เดินเลียบๆ Palace Square ออกมา
เนื่องจากเริ่มล้าและหิว พวกเราตัดสินใจไปกินมื้อเย็นส่งท้ายคืนสุดท้ายที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กันที่ Stroganoff Steakhouse
ระหว่างทาง ก็เดินเลาะถนนเลาะสวนไปเรื่อยๆ เจอสนามเด็กเล่นเล็กๆ และได้เห็นตึก Admiralty แบบชัดๆ
18.10: Stroganoff Steakhouse
ร้าน Stroganoff Steakhouse นี้สายเนื้ออย่างพ่อกับน้องเราอยากกิน ส่วนเราก็แม่ก็สั่งเมนูซีฟู้ดกันไป
ข้างในตัวร้านคือบรรยากาศดูดิบๆ มืดๆ ดี ชอบนะการตกแต่งแบบนี้ ดูฝรั๊งฝรั่ง
เมนูส่วนใหญ่เป็นเมนูเนื้อ แต่ก็ยังมีพวกซีฟู้ดอยู่ เรารอดแล้ว
พ่อกับน้องเราสั่งจานเนื้อ เนื่องจากว่าเย็นแล้วและไม่อยากทานอะไรหนักๆ ก็เลยสั่งแบบเบาๆ ไม่ได้สั่งสเต็ก
(แล้วนางก็มาบ่นทีหลังว่าน่าจะสั่งสเต็ก)
เมนูที่สั่งก็ตามชื่อร้านนั่นแหละ Stroganoff ซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของร้านที่ดังไปทั่วโลก กับ ซุปหางวัว (ซึ่งได้รับฟีดแบ็กมาว่ากินร้านอาบังบ้านเราอร่อยกว่า ;_;)
แม่เราสั่งซุป ส่วนเราสั่งเป็นสลัดเซียร์ทูน่า จานละ 690 รูเบิล ปริมาณไม่เยอะเท่าไร ฟีลเหมือนสตาร์ตเตอร์มากกว่า แต่รสชาติอร่อยดี
ค่าเสียหายทั้งหมด
เมื่อทานเสร็จ ก็ออกมาเรียก Yandex เพื่อตรงไปยัง Eliseyev Emporium ห้างที่เราหมายตาไว้ตั้งแต่แรกๆ แต่ยังไม่ได้เข้า
เดินทางผ่านการวกวนไปมาในถนนสายเล็กๆ ประมาณ 35 นาที ก็มาถึงจนได้
19.35: Eliseyev Emporium
มาดูตัวตึกใกล้ๆ นึกว่าเป็นร้านขายของเล่น
ที่ไหนได้ พอเข้ามาข้างใน ถึงได้รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ห้างอย่างที่คิด แต่เป็น Food Hall ขายอาหารและของฝากต่างหาก
เดินไปรอบๆ ก็จะเห็นว่ามีขนมหน้าตาสะสวยวางเรียงรายในเคาน์เตอร์เต็มไปหมด บนชั้นวางของก็มีพวกขนมลูกกวาดสีสวยวางประดับประดาอย่างเป็นระเบียบ
ตรงกลางของห้องเป็นต้นไม้ใหญ่ที่รายล้อมด้วยโต๊ะและเก้าอี้สำหรับคนมานั่งจิบชากาแฟแกล้มขนม
และพวกเราก็คือหนึ่งในนั้น
ไหนๆ มาทั้งทีแล้ว ก็ขอกินขนมหวานที่นี่สักหน่อย ไปดูอยู่นานเลยกว่าจะเลือกได้ เหตุเพราะหน้าตามันสวยน่าลองไปหมด
มาจบลงที่เค้กหน้าตากลมๆ สองชิ้น คือเค้กราสเบอรี่ และเค้กแคริบเบียน
เค้กราสเบอรี่นี่เตะตาเราเพราะสีแปร๋นๆ สวนเค้กแคริบเบียนนั้นชอบตรงที่มีดีไซน์เป็นทะเล ทำให้สงสัยว่ารสชาติเป็นยังไง
เค้กที่นี่ เทียบกับหน้าตาความสวยงามแล้ว ถือว่าราคาคุ้มค่าเลยนะ ตกชิ้นละประมาณ 240-260 รูเบิล หรือแปลงเป็นค่าเงินบาทก็ 120-130 บาทเท่านั้นเอง โดยปกติแล้วขนมหน้าตาแบบนี้ เราว่าต้องอย่างต่ำ 150 บาทละ หรือเผลอๆ บางที่อาจจะขาย 200 บาทเลย
รอแป๊บนึงขนมก็มาเสิร์ฟ รสชาติอร่อยดีงามเลย ตัวราสเบอรี่นั้นข้างในเป็นมูสช็อกโกแลตราสเบอรี่ หวานน้อย และสะใจคนชอบช็อกโกแลตแบบเรามาก มีความเปรี้ยวของราสเบอรี่มาช่วยตัดเลี่ยน
ส่วนเค้กแคริมเบียนนั้น ตักเข้าปากคำแรกก็รู้สึกได้ถึงความเป็นชีสเค้ก แต่พอตักอีกคำก็เจอกับไส้เสาวรส ออกมาเปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยดี เป็นการเลือกแมตช์รสชาติขนมหวานที่ออกมาลงตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ
ความจริงมีสั่งน้ำ Sea Buckthorn เพิ่มด้วย แต่ถ่ายรูปไม่ทัน เป็นน้ำสีส้มเหลืองๆ รสชาติหวานเปรี้ยวนิดๆ ไม่ปรี๊ดมาก
ที่นี่เปิดเพลงเพราะด้วย บรรยากาศดีมาก อยากนั่งแช่นานๆ เลย
แต่สุดท้ายก็ต้องกลับจนได้ โดยเราก็เรียก Yandex ให้ไปส่งที่ห้างตรงข้ามโรงแรมอีกครั้ง เพื่อไปซื้อของที่ซูเปอร์มาร์เก็ต
หนึ่งในนั้นที่ซื้อคือครัวซองค์ 7 Days ที่อ่านรีวิวมาว่าอร่อย เราซื้อไส้นมข้นหวานมา
รสชาติหวานๆ เข้ากันกับขนมปังดีนะ เหมาะเอาไว้กินเล่น
โอเค ตอนนี้ขอเตรียมตัวสำหรับการเดินทางบนรถไฟพรุ่งนี้เพื่อไปยังมอสโคว
จะเป็นยังไงรอติดตามกันนะ 🙂
Next Entry – Moscow
Red Square
St. Basil’s Cathedral
ห้าง GUM
อ่านตอนก่อนหน้านี้ของ “รัสเซียร้อนมาก”
รัสเซียร้อนมาก #1: แดดแรงๆ ใน St.Petersburg เลยต้องหนีเข้าโบสถ์
รัสเซียร้อนมาก #2: เยือนเกาะกระต่าย วังแคเธอรีน และโดนแท็กซี่โกง