เส้นทางวันนี้
- Crown Plaza Hotel
- กินมื้อเช้าที่ร้าน ЦЕХ 85
- Peter and Paul Fortress
- Chesme Church
- กินมื้อเที่ยงที่ร้าน GIACOMO
- Catherine Palace
- ห้าง Galeria – กินมื้อเย็นที่ร้าน Tepemok
https://goo.gl/maps/9v6XeSLCAqhtpftT8
ต่อจากตอนที่แล้ว นี่คือวันที่สองในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เราไปหาอะไรทานตอนประมาณ 9 โมงกว่าๆ ก็ไม่ใช่อะไรที่ไหนไกล กะเก็บร้านใกล้ๆ นี่ละ เมื่อวานตอนเย็นเดินผ่านร้านคาเฟ่ร้านนึงดูแล้วน่านั่ง เช้านี้เลยแวะมาที่นี่สักหน่อย มีชื่อว่า ЦЕХ 85
เปิดประตูเข้าไปก็เจอกับบรรยากาศร้านคาเฟ่สไตล์ฝรั่ง ที่มีเบเกอรี่น่ากินวางเรียงรายเต็มไปหมด ด้วยความที่เมนูมีแต่ภาษารัสเซีย (อีกแล้ว และยังไม่รู้จัก google translate โหมดกล้อง) เราก็เลยต้องพึ่งการชี้ที่ตัวอาหารแทน ซึ่งแค่นั้นก็เพียงพอละเพราะที่นี่เค้า display ของกินไว้เพียบ
แม่กับน้องเราเห็นอาหารแล้วรู้สึกเฉยๆ เลยกลับไปกินร้านข้าวแกงร้านเดิมเมื่อวาน ส่วนเรากับพ่อยังอยู่ที่เดิม
เบเกอรี่แนวหวานๆ มีเยอะมาก แต่มื้อเช้าเราอยากได้สารอาหารอะไรเข้าท้องบ้างสักหน่อย เลยมาลงเอยที่ครัวซองค์ไส้แซลมอนรมควันและครีมชีส โรลที่หน้าตาเหมือนซินนามอนโรลแต่โรยด้วยเมล็ดป๊อปปี้ และเอสเพรสโซ่หนึ่งช็อต
อยากจะบอกว่า ครัวซองค์อร่อยมากกกก เค้าอุ่นมาให้ร้อนๆ อีกแล้ว แม้ว่าหน้าตาจะแบนบี้ไปบ้าง ไม่สวยงามเหมือนตอน display ในตู้ตอนแรก แต่รสชาติคือที่สุด ความกรอบของแป้งครัวซองค์ที่กัดทีเศษกระจุย ความนมเนยของตัวแป้ง ผสมเข้ากับความนัวของครีมชีสและแซลมอน คือมันเข้ากันได้ดีมากๆ แทบจะละลายในปาก
ส่วนขนมเมล็ดป๊อปปี้นั้นก็โอเคอยู่ เราแบ่งกินกับพ่อคนละครึ่ง ตัวขนมไม่หวานเกินไป พอกินได้ ตบท้ายด้วยการล้างปากด้วยกาแฟก็เป็นอันเสร็จสิ้นพิธีกรรม
น้องเราฝากซื้อสมูธตี้ขวดนี้ด้วย ก็อร่อยดีนะ ใครชอบกล้วยน่าจะชอบ เพราะรสกล้วยแรงมาก แม้ว่าน้ำจะสีแดงก็ตาม
11.10 : Alexander Park
เดินกลับมาที่โรงแรมเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางสักครู่ ก็เรียกแท็กซี่ Yandex มาที่ป้อม Peter & Paul เดินทางประมาณครึ่งชั่วโมงก็มาถึง เราเดินข้ามสะพานเข้ามาในส่วนของสวนข้างๆ ตัวป้อม ที่ชื่อ Alexander Park
น้องเราบอกว่าตรงนี้เหมือนสวนใน The Sims มาก
เขียวขจีน่านั่งมากๆ โดยเฉพาะตรงที่มีต้นไม้บัง บอกเลยว่าถ้าไม่มีแดดนี่อากาศโคตรดี
ยืนอยู่ใต้ร่มไม้ มีเสียงใบไม้กระทบกัน เป็นบรรยากาศที่ชิลมาก ชอบๆ
ไม่มีเกสรดอกไม้ลอยมาเข้าจมูกด้วย
จากตรงนี้ เห็นแม่น้ำอยู่แวบๆ ก็คิดว่าถ่ายรูปกลับไปน่าจะสวย ปรากฏว่านี่คือสิ่งที่ได้
…เห็นวิหาร St. Isaac โดมทองอยู่ไกลๆ นู่นเลย ลิบตามาก ตรงนี้คงไกลไปจริงๆ นั่นแหละ อันที่จริงถ้าจะให้ถ่ายได้ใกล้กว่านี้น่าจะต้องให้แท็กซี่หยุดตรงจุดก่อนหน้า ซึ่งมันเป็นเหมือนเกาะที่คนเขาถ่ายรูปกันเยอะอยู่
อะแต่ไม่เป็นไร ตรงนี้ก็บรรยากาศร่มรื่นดี เดินเล่นสักพักหนึ่งค่อยไปต่อ
เราเดินลัดเลาะไปเลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ ก็เจอกับร้านอาหารน่านั่ง
พอเลาะไปอีกก็เจอกับ…หาดทราย!!
ไหนใครว่าไม่มีทะเลแล้วมีหาดทรายไม่ได้ เมืองนี้ขอเถียง แค่แม่น้ำก็มีได้ คนมานอนอาบแดดกันพอสมควร ไม่เยอะมาก
มีคนสวมจีสตริงมายืดเส้นยืดสายด้วย แต่ไกลไปถ่ายไม่ชัด เลยไม่ได้ถ่ายมา
เดินเลาะหาดทรายไปเรื่อยๆ แอบหวังว่ามันจะมีทางเข้าป้อมรึเปล่า สรุปคือไม่มีนะ เขากั้นไว้
เดินกลับสิ แล้วไปอ้อมด้านนอกแทน
เดินเลียบแม่น้ำแป๊บๆ ก็เจอกับเรือ Hydrofoil เรือที่เราวางแผนจะขึ้นขากลับจากปีเตอร์ฮอฟพรุ่งนี้ เรือแล่นฉิวได้แบบล้ำยุคมากๆ
แอบอยากซ่อนตัวอยู่ในร่มเงาไม้ แต่ก็ต้องเดินไปป้อมต่อแล้ว
เจอสนามเด็กเล่น เด็กผู้ชายเด็กผู้หญิงคุยกันกระหนุงกระหนิงน่าเอ็นดู
เดินเลียบถนนไปอีกนิด ข้างๆ ธารน้ำก็เจอคนนอนอาบแดดอีกหนึ่งเซ็ต
11.45 : Peter and Paul Fortress
เดินมาไม่นานก็เจอทางเข้าป้อมปีเตอร์แอนด์พอลจนได้ เห็นยอดวิหารสีทองมาแต่ไกลเลย
อันที่จริง มารู้ทีหลังว่านี่ไม่ใช่ทางเข้าหลักอะ ก็ว่าอยู่ว่ามันไม่อลังการเหมือนที่เห็นในรูป 555
ไม่เป็นไร ยังไงก็ถึงจุดหมายเหมือนกัน
เดินเข้ามาได้เลย เข้าได้ฟรี แต่ถ้าจะเข้าพวกวิหารหรือตึกอื่นๆ ต้องเสียตังค์ เรามารอบนี้กะมาเดินเล่นอย่างเดียวเลย มาดูบรรยากาศ
ลอดผ่านทางเข้าเข้ามา
ก็จะเจอกับลานกว้างๆ และวิหารยอดสูงๆ
พระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราชได้สร้างป้อมปราการนี้ขึ้นมาในปี 1703 เพื่อใช้ปกป้องเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ก่อนหน้านี้พื้นที่ตรงนี้เคยเป็นของสวีเดน แต่พระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราชก็ชนะการรบแล้วชิงมาได้
เห็นสีแบบนี้ ดูไม่ออกเลยว่าข้างในคืออะไร สรุปมันคือร้านเพชร
มีจัดเก้าอี้หน้าโบสถ์ด้วย คนมามุงกันเพียบ
เดินๆ ไปสักพักได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังลั่นชนิดดินสะเทือน พอดูเวลาก็เห็นว่าเที่ยงแล้ว
มุมนี้ก็เป็นอีกมุมที่สวย น่าจะมีงานนิทรรศการอะไรสักอย่างอยู่ข้างในตึกเช่นกัน
สังเกต ที่นี่จะมีประติมากรรมกระต่ายกระจัดกระจายไปทั่ว แสดงว่ากระต่ายต้องมีความหมายซัมธิง
ไปอ่านเพิ่มเติม ก็เจอว่าป้อมนี้สร้างขึ้นบนเกาะ Zayachy หรือเกาะกระต่าย
เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอตรงนี้ เดินทะลุออกไปชมแม่น้ำข้างนอกได้ เป็นทางเดินที่มีต้นไม้รายล้อมสองข้างทาง
ออกผ่านประตูมาแล้ว ก็จะเจอมุมข้างนอกตรงนี้ที่เจ๋งดี เจอคนเดินเลียบแม่น้ำ
พอเดินกลับเข้ามา ก็จะเข้ามาในส่วนที่เลียบเคียงกับวิหาร
มุมนี้เห็นยอดวิหารมาแต่ไกล
ใกล้ๆ จะมีมุมนึงสีแดงๆ อยู่ไกลๆ เห็นว่าน่าเข้าไปสำรวจ เลยเดินเข้าไปดู
ระหว่างทางก็เจอวงเก้าอี้รูปทรงแปลกๆ เอ นี่มันเกมออฟโทรนส์รึเปล่า
มุมนี้เป็นมุมรวบรวมปืนใหญ่ ไอ้อันที่ยิงตอนเที่ยงนั่นแหละ เราเดาว่าน่าจะเป็นปืนที่อยู่ข้างบน เพราะดูแล้วอันข้างล่างนี้เหมือนตั้งโชว์เฉยๆ มากกว่า
มีร้านขายของฝากด้วย
กระต่ายอีกแล้ว
เดินออกมาจากโซนสีแดง เยื้องๆ ผ่านถนนทางเดินไปนั้นก็จะเจอรูปปั้นที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจ
และนี่คือรูปปั้นท่านปีเตอร์มหาราช ซึ่งทำออกมาแบบผิดสัดส่วน ดูๆ ไปแล้วก็ตลกดี แต่ได้ยินมาว่าคนท้องถิ่นเค้าไม่ค่อยปลื้มเท่าไร
ส่วนนักท่องเที่ยวนี่ไปมุงดูกันสนุกสนาน ตรงมือขวาของท่านก็ลอกๆ เป็นสัญญาณบอกว่าคงมีคนมาลูบขอหวย เอ๊ย ขอพรกันเยอะ
และนี่คือ Grand Ducal Supulcher เป็นที่ฝังศพของเหล่าราชนิกุลราชวงศ์โรมานอฟ
ช่วงคอมมิวนิสต์ มีการย้ายโลงศพออกแล้วเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์แทน
เมื่อดูเวลา เดินออกมาดีกว่า สมควรแก่เวลา
คราวนี้ออกประตูหลักบ้างดีกว่า
จุดนี้ คือ St.Peter’s Gate
ออกมาก็จะยังเจอกับซีนคนอาบแดดชิลๆ สบายๆ
จากป้อมปีเตอร์แอนด์พอล เราก็เรียก Yandex ไปส่งที่โบสถ์ Chesme
โบสถ์นี้เป็นโบสถ์ที่เราอยากมามากที่สุดแล้วละมั้ง เพราะดีไซน์เหมือนเค้ก ดูแปลกตาดี เหมือนอยู่ในเทพนิยาย
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที คิดเป็นเงินประมาณ 300 กว่ารูเบิล เราก็มาถึงจุดหมาย
13.30 : Chesme Church
หรือเรียกอีกชื่อคือ Church of Saint John the Baptist
…ยาวไป เรียกสั้นๆ ว่า Chesme แบบเดิมละกัน
แต่อันที่จริง เราเรียกติดปากว่าโบสถ์เค้ก เพราะหน้าตาเหมือนเค้ก
เป็นโบสถ์ที่ตั้งแบบ out of nowhere มากๆ คือไม่มีอะไรรายล้อมเลย เหมือนจู่ๆ คิดอยากหย่อนโบสถ์ตรงนี้ก็หย่อน
นี่คือโบสถ์รัสเซียออร์โธดกซ์ที่สร้างตามคำสั่งของพระจักรพรรดินี Catherine II มหาราช เพื่อฉลองชัยชนะต่อกองทัพตุรกีในอ่าว Chesme
ด้านหลังโบสถ์ อ่านเจอมาว่ามีสุสานบุคคลสำคัญที่สละชีพเพื่อปกป้องเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
มีกอทิวลิปสีเหลืองอยู่หน้าโบสถ์ แต่ดูเหมือนคุณป้ากำลังจะถอนดอกไม้ออกไป เสียดายอะ
ว่าแล้วก็เข้าไปดูข้างใน
ข้างในเงียบ แทบไม่มีคนเลย ดูแล้วศักดิ์สิทธิ์ ให้ความรู้สึกเหมือนตอนเข้าวิหาร Kazan น่ะ มีคนเข้ามาทำพิธีอยู่ ส่วนเราก็ได้แต่เก็บบรรยากาศเงียบๆ ไป
ช่วงคอมมิวนิสต์ โบสถ์เคยเป็นแคมป์คนงาน แล้วค่อยกลายเป็นที่เก็บของ
เคยถูกทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ได้รับการซ่อมแซมในภายภาคหลัง
กลับออกมาข้างนอก เหลือบไปเห็นคุณป้าย้ายไปตรงริมกอทิวลิปแล้ว เราเลยย้ายตัวเองไปถ่ายรูปหลังม่านทิวลิปบ้าง ได้ภาพออกมาสวยเลย
ก็ไม่รู้ว่าป้าเอาทิวลิปออกไปแล้วจะมีดอกไม้อะไรมาแทนนะ
อย่าปล่อยให้มันโล่งเลย ขอเถอะ แค่นี้พื้นที่ก็โล่งเตียนพอแล้ว
เสร็จจากตรงนี้ เราก็เรียก Yandex ไปวังแคเธอรีนต่อเลย ตอนแรกก็ไม่แน่ใจว่าจะเรียกเจอไหมเพราะระยะทางมันก็ไกลอยู่ แต่ปรากฎว่าเรียกปุ๊บมาปั๊บเลย จนชวนให้นึกสงสัยว่าคนเมืองนี้เค้าฮิตขับรถรับส่งกันเหรอ กดแป๊บๆ ได้รถแล้ว
รอบนี้ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาทีเช่นกัน ส่วนค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 500 กว่ารูเบิล
ฟังดูเข้าท่า แต่ติดตรงที่ว่า…
พอมาถึงหน้าวังแคเธอรีน ณ เมืองพุชกิ้น พวกเราก็ยื่นเงินให้ตามนั้น แต่คนขับก็พูดกลับมาเป็นภาษารัสเซีย แล้วกดตัวเลขเหมือนกับว่าเงินที่เราต้องจ่ายน่ะ มัน 1,500 รูเบิลต่างหาก!
เอ้า ได้ไงอะ ไหนในแอปบอกว่า 500 กว่าๆ ไง
คนขับก็พูดอังกฤษไม่ได้ ก็พ่นรัสเซียต่อไป เห็นทีจะคุยกันไม่รู้เรื่องละ
น้องเราเลยโหลดแป้นพิมพ์ภาษารัสเซียมา แล้วจัดการให้คนขับพิมพ์ลงใน google translate ซะ
สรุปคือ คนขับบอกว่า “ออกนอกเมือง คิดเพิ่ม 1,000 รูเบิล”
หืมมม มีอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ ทำไมในแอปไม่บอก
ในใจตอนนั้นที่คิดคือ โดนฟันละจ้า
ซึ่งก็โดนฟันจริงๆ ละ เพราะพอถามรุ่นพี่ที่เรียนที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในภายหลัง ก็ได้ความว่าปกติในแอปฯ คิดค่าบริการยังไง ก็ต้องตามแอปฯ นั่นแหละ
ยังดีที่เดี๋ยวนี้มีแอปฯ มาช่วยกรองแล้ว เมื่อก่อนนี้แท็กซี่ขูดรีดกันถล่มทลาย
โอเค ยังไงตอนี้ก็คงต้องจ่ายๆ ไปละ เดี๋ยวมันไม่ให้ออกจากรถ ถือว่าเป็นค่าบทเรียนไป ว่าแท็กซี่ที่เรียกง่ายๆ และดูเหมือนจะถูกนั้น ก็ไม่ได้เป็นจริงเสมอไป
คงเพราะรอบนี้เราเดินทางไกลด้วยละ เลยหลอกง่ายหน่อย
14.15 : กินอาหารอิตาเลียน ที่ร้าน GIACOMO
ว่าแล้วก็ออกจากรถมาแบบมึนๆ กับ 1,000 รูเบิลที่ไม่ได้ร้องขอจ่าย หาอะไรกินแก้เครียดดีกว่า
มองไปรอบๆ ก็เจออยู่ร้านเดียวคือร้านนี้ เปิดดูภาพในอินเตอร์เน็ตก็ดูน่ากินดี เอาวะ เลือกง่ายๆ แบบนี้แหละ
ตอนแรกเห็นตัวหนังสือ PECTOPAH ก็เข้าใจว่านั่นคือชื่อร้าน เลยลองเสิร์ชในอินเตอร์เน็ต ปรากฏว่าหาไม่เจอ
มารู้ทีหลังว่ามันคือภาษารัสเซีย ที่แปลว่า “ร้านอาหาร”
ร้านอยู่ใกล้วังแคเธอรีนมากถึงมากที่สุด
พอเข้าไปมองรอบด้าน โอ ร้านสวยใช้ได้เลย
อาหารที่เสิร์ฟ เน้นเป็นอิตาเลียน แต่ก็มีชาติอื่นๆ หลุดมาด้วย เห็นต้มยำนั่นไหม?
เรารู้สึกไม่ค่อยหิวเท่าไร เลยสั่งแค่ซุป แม่กับน้องเราก็เหมือนกัน ส่วนพ่อสั่งทาร์ทาร์เนื้อกับแกงกะหรี่ไก่
อาหารออกมารสชาติดีนะ ซุปฟักทองที่เราสั่งก็กลมกล่อมดี ติดแค่ว่าปริมาณแอบน้อยไปหน่อย
ค่าเสียหาย… ถือว่าไม่แพงมากถ้าเทียบกับความอร่อยและบรรยากาศ แถมทำเลดีมากเพราะติดกับที่เที่ยวชนิดที่กะต้อนรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ
15.10 : Catherine Palace & Park
กินเสร็จก็ถึงเวลาเข้าวังแคเธอรีน ส่วนที่เราเดินเข้ามานั้นจะเจอทางเข้าวังสำหรับทัวร์
ถ้ามากันเองแล้วยังไม่ซื้อตั๋ว ต้องเดินไปทางซ้าย ลอดซุ้มตึกไป ก็จะเจอกับโซนขายตั๋ว
ผ่านซุ้มนี้ออกไป
ด้านขวาจะเจอบูธขายตั๋วหน้าตาแบบนี้
สื่อสารกับป้าขายตั๋ว ก็ได้ความมาว่า ตรงนี้ขายแต่บัตรเข้าชมสวนแคเธอรีนนะ ต้องซื้อบัตรนี้ก่อน แล้วค่อยไปซื้อบัตรเข้าวังที่อยู่ในสวนอีกที เออเข้าใจคิด ขายมันทั้งคู่นี่แหละ
ถัดจากบูธขายตั๋ว เดินมาอีกนิดก็จะเจอทางเข้าสวน
หน้าตาตั๋วเป็นแบบนี้ ตั๋วเข้าชมสวน ราคา 150 รูเบิล ถือว่าคุ้มอยู่นะเพราะสวนใหญ่มาก เดินได้ทั้งวัน
เดินเข้ามาเรื่อยๆ ก็จะพบเจอกับความร่มรื่น ต้นไม้เยอะมาก ข้างๆ ก็วังแคเธอรีนเนี่ยแหละ
พระราชวัง Catherine แห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1717 พระเจ้าซาร์ปีเตอร์มหาราชพระราชทานเป็นของขวัญให้พระชายา หรือก็คือพระจักรพรรดินี Catherine I (พระมเหสีองค์ที่ 2)
แต่ต่อมา พระจักรพรรดินี Elizabeth Petrovna ผู้เป็นธิดาของทั้งสองท่าน ก็สั่งให้สถาปนิกรื้อวังออกเพราะล้าสมัยไม่ถูกใจ สั่งให้สร้างใหม่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม
เอ๊ะ นั่นคิวเหรอ!!
วังแคเธอรีน ณ เวลาประมาณบ่าย 3 คนยังต่อคิวเยอะมาก
เห็นแบบนี้เราไม่สู้ละกัน ขอไปเดินเล่นในสวนก่อนดีกว่า
ข้างหน้าวัง มีบึงน้ำกับตึกเล็กๆ ดูน่ารักดี เรียกว่าโซน The Upper Bathhouse
ตามชื่อเลย คือเคยเป็นพวกห้องอาบน้ำ ห้องต้มน้ำ ห้องอบไอน้ำมาก่อน
มองขวาไป ก็จะเห็นอาคารใหญ่โตอะไรสักอย่าง มีคนขึ้นไปเดินด้วย แต่แปะไว้ก่อนเดี๋ยวค่อยมา
เดินทะลุโซนบึงหน้าไป แล้วมองย้อนกลับไป ก็จะเห็นวังอยู่ลิบๆ
เดินตรงมาอีก ก็เจอมุมนี้ ดูเหมือนเขาวงกตเลย
เดินทะลวงสวนมาเรื่อยๆ ก็เจอกับ Hermitage ดูแล้วเหมือนวังแคเธอรีนเวอร์ชั่นโดนไฟฉายย่อส่วน
ตอนแรกไม่แน่ใจว่าเข้าไปเดินรอบๆ ได้ไหม แต่พอเห็นเด็กขี่สกู๊ตเตอร์ออกมา ก็ได้คำตอบละ
เราเลยเข้าไปเดินเล่นวนรอบๆ ตึกแอบเก่าอยู่เหมือนกัน
เสิร์ชหาข้อมูล เจอว่านี่เป็นที่ใช้ปลีกวิเวก พักผ่อนทานอาหารกันเป็นกลุ่มเล็กๆ ของพระราชวงศ์
เดินเล่นชมสวนไปเรื่อยๆ
เห็นอาคารสวยๆ อยู่ไกลๆ เดาว่าน่าจะเป็น Grotto (รึเปล่า) ตั้งอยู่ติดกับสระน้ำที่ใหญ่ที่สุดในสวนแห่งนี้
แผนที่สวนแคเธอรีน กว้างใหญ่มาก ถ้ามีเวลา (และอากาศไม่ร้อน) ก็อยากเดินให้ทั่ว
พอเริ่มเมื่อยก็หาที่นั่งนั่ง ใกล้ๆ กับ Hermitage มีที่นั่งที่ค่อนข้างร่ม เลยนั่งอยู่ตรงนั้นจนถึงประมาณ 16.15 เราก็ลุกไปต่อคิวเข้าวัง
ปรากฏว่า คิวหดสั้นลงมากกกกก
งานนี้ต้องขอบคุณรุ่นพี่ที่เรียนอยู่ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ที่แนะนำมาว่าให้ไปต่อคิวช่วงบ่ายๆ เย็นๆ นี่ละ คนน้อย ซึ่งก็คนน้อยจริงๆ
ไม่งั้นถ้ามาตั้งแต่เที่ยง คิวยาวเฟื้อย กว่าจะได้เข้า
ป.ล. ถ้าไม่ได้มากับทัวร์ จะได้เข้าวังหลังเที่ยงนะ ก่อนหน้านั้นเค้าให้ทัวร์เข้า
พุ่งเข้าไปต่อสิ อันนี้คือคิวสำหรับทัวร์ 1 ซึ่งเป็นทัวร์ที่เราหมายตาไว้
ระหว่างที่ยืนรอ ก็มีกรุ๊ปทัวร์นึงเดินผ่านมา คาดว่าเป็นทัวร์ที่ทางวังจัดขึ้นเอง หัวหน้าทัวร์ชี้ให้เห็นคิวของเราแล้วบอกกับลูกทัวร์ว่า “นี่คือคิวสำหรับพวกคนธรรมดา (ordinary people)”
ใช่ซี้ พวกพี่มีคิวพิเศษที่ fast pass เข้าวังได้เลยนี่
รอประมาณ 40-50 นาทีก็ได้เข้า พอเข้ามาในตัววังได้ก็เลี้ยวซ้าย จะเจอกับบูธขายตั๋ว เข้าไปซื้อได้เลย
ผู้ใหญ่คนละ 1,000 รูเบิล ส่วนเด็กนักเรียนนักศึกษาสามารถยื่นบัตรให้พนักงานดูได้นะ สถาบันไทยเค้าก็โอเค บัตรจะเหลือเพียง 350 รูเบิลเท่านั้น ลดลงไปเยอะมาก
ได้ตั๋วแล้ว ก็เลี้ยวซ้ายต่อ ไปยังมุมฝากกระเป๋า ของเราเป็นแบ็กแพ็กเลยต้องฝากสถานเดียว เลยไปอีกมีห้องน้ำ แต่คิวยาวมากเลยไม่เอาดีกว่า
ฝากกระเป๋าเสร็จ ก็เดินออกไปยังอีกฝั่งที่คนเขามุงๆ กัน ก็รอสักพักเพราะทางวังจะปล่อยให้คนเข้าเป็นกลุ่มๆ
คนอัดกันเยอะมากกกก
เมื่อทะลุเข้ามาได้แล้ว ก่อนจะเข้าตัววัง ก็ต้องใส่ถุงครอบรองเท้าก่อน
เข้าไปแล้วสิ่งแรกที่จะเจอคือ The Main Staircase เป็นบันไดโอ่โถง ม่านสีแดงตัดกับห้องสีขาวได้สวยดี
อ่านเจอมาว่า บันไดตรงนี้คือเวอร์ชั่นที่ 3 แล้ว หลังจากมีการถอนรื้อและปรับปรุงไปก่อนหน้านี้
จากนั้นก็เป็นห้องรับประทานอาหาร ยังธรรมดาอยู่ใช่ไหม รอแป๊บ
และแล้ว ก็มาถึงห้องยอดฮิตอย่างห้องโถง The Great Hall ที่เต็มไปด้วย ทอง ทอง และทอง
นี่ยังไม่ใช่ Amber Room ที่เขาห้ามถ่ายรูปนะ
แต่ห้องนี้ก็โอ่โถงจริงๆ ละ เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในวังแล้ว รอบด้านเต็มไปด้วยทอง ด้านบนก็เป็นภาพวาด
The Antechambers ห้องนี้ใช้สำหรับรับรองแขกก่อนเข้าไปใน The Great Hall
ตรงแถบเทาๆ นั่นคือเตาผิงกระเบื้องเคลือบ
คนเยอะ ต้องค่อยๆ เดิน บางทีก็เจอกลุ่มทัวร์หยุด ทำให้เราเดินต่อไม่ได้เฉย
แต่บางครั้งก็แอบเนียนๆ ออกไปได้ ตีหน้ามึนไป
พอเอาจากห้องโถง ก็กลับมาที่ห้องรับประทานอาหาร
ย้อนกลับมาที่โถงบันไดอีกครั้ง รอบนี้ได้ถ่ายจากมุมสูงเดินต่อไปเรื่อยๆ
ห้องมีเยอะมาก ดูซุ้มประตูนั่นสิ มาเป็นภาพซ้อน (คนก็เช่นกัน)
The White State Dining Room เป็นห้องงานเลี้ยงรับรอง
เดินมาสักพัก ก็จะเจอกับป้ายที่บ่งบอกว่าห้ามใช้แฟลชในห้องนี้ โอเคอันนี้ยังพอรอด คือถ่ายรูปได้แต่ห้ามเปิดแฟลช
แต่พอถึงหน้าห้อง Amber Room เท่านั้นแหละ ป้ายขึ้นว่าห้ามถ่ายรูปเลย ป้าพนักงานที่ดูแลเค้าก็ตาเหยี่ยวนะ สอดส่องตลอด
ป้าๆ ผู้ดูแลนี่เฉียบจริง เพราะก่อนหน้านี้แค่ถุงครอบรองเท้าหลุดไปครึ่งนึงป้าก็ยังเห็นจนต้องมาสะกิดเตือน
ห้อง Amber Room ถ่ายรูปไม่ได้ เราขออธิบายแค่ว่ามันมีความทองเพิ่มขึ้นจากห้องโถง คือทั้งผนังเนี่ยมีทองประดับอยู่เต็มไปหมด ดูอร่ามมากๆ
ภาพจิ๊กมาจาก Saint-Petersburg.com
พอดูเสร็จ ก็มีผ่านห้องนู้นนี้อีกนิดหน่อย
The Green Dining Room ห้องนี้น่ารักดี ดูคุณหนูมากๆ
ห้องโถงสุดท้ายก่อนลงบันไดออก
จบด้วยการลงบันได
เดินออกไปตามทาง
ออกมาเจอกับร้านขายของที่ระลึก อยากจะมีอำพันเก็บไว้ก็มาซื้อได้นะ
ทัวร์วังค่อนข้างสั้นทีเดียว ใช้เวลาประมาณ 45 นาที ห้องที่ได้ดูก็ไม่ได้เยอะมากมาย เดินแป๊บๆ ก็จบละ ถ้าไม่ติดทัวร์ที่คอยขัดขวางการเดินเร็วคงใช้เวลาเร็วกว่านี้
เสร็จจากทัวร์ก็อยากเข้าห้องน้ำ แต่พอหวนกลับไปมองห้องน้ำใกล้ๆ ที่เก็บกระเป๋าแล้วก็ท้อ คิวมันงอกกว่าเดิมอีก
เราเลยแลกกระเป๋ากลับ แล้วเดินออกมาจากวัง ด้านขวามือจะเจอป้าย WC ให้เดินไปตรงนั้นเลย คนน้อยกว่า
โถงทางเดินใกล้ห้องน้ำต้องสวยขนาดนี้เลย
ใกล้ๆ กันก็ทะลุไปยังสะพานหิน
พอเรียบร้อยแล้วเราก็เดินกลับมาทางสวนหน้าวังอีกครั้ง คราวนี้ลัดเลาะไปทางด้านข้างบ้างที่เคยเห็นตึกอยู่ลิบๆ บ้าง ที่ตรงนี้เป็นสวนดอกไม้และตึก Cameron Gallery ที่สามารถขึ้นไปดูชั้นสองได้
ดอกไม้สวยดี มีหลายมุมให้เลือกถ่าย
ขึ้นบันไดไปข้างบนตึกข้างๆ บ้าง เพราะเล็งมาตั้งแต่ตอนแรกแล้ว
ขึ้นมาข้างบนแล้วก็ขอถ่ายรูปวิวข้างล่างไว้หน่อย มุมสูงก็สวยดี
ข้างบนมีรูปปั้นมากมาย โถงตรงกลางดูเหมือนเขาจะไม่ให้เข้า เราก็เลยเดินแค่ด้านนอก
มีมุมสวยๆ เยอะอยู่นะข้างบน ถ่ายรูปไปเห็นวังด้วย
พอได้รูปจนหนำใจ ก็เป็นเวลาประมาณ 1 ทุ่มที่แดดยังจ้าอยู่ กลับดีกว่า
เราเดินลงมาข้างล่าง เดินกลับทางเดิม ก่อนออกขอถ่ายรูปวังอีกครั้ง
ถามว่าคราวนี้จะกลับยังไง?
คิดหนักเหมือนกันนะ เพราะเพิ่งโดนหักหลังจากแท็กซี่มา แต่คิดไปคิดมาแล้ว รอบนี้เราเรียกกลับโรงแรม ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันอีก งั้นเดี๋ยวเรียกพนักงานโรงแรมมาคุยให้รู้เรื่องไปละกัน
สุดท้ายก็เลยลองเสี่ยงเรียก Yandex อีกรอบ
ตอนเรียกนี่ สัญลักษณ์รถในแอปพุ่งมาทางเราเหมือนฉลามพุ่งเข้าหาเนื้อ อดคิดแบบนี้ไม่ได้จริงๆ หลังเจอเหตุการณ์เมื่อเที่ยง
และแล้วก็ได้เจอคนขับ รอบนี้เมกชัวร์ด้วยการโชว์ออเดอร์ให้เห็นเลยว่าราคานี้นะ ห้าร้อยกว่าๆ รูเบิลนะ คนขับก็โอเค
ใช้เวลาประมาณ 50 นาทีก็มาถึงห้าง Galleria ตรงข้ามโรงแรม เรารู้สึกว่ารอบนี้เดินทางเร็วแฮะ อาจจะเพราะรถมาตรงถนนเส้นหลักตรงๆ เลย ไม่มีเลี้ยวอะไร
พอมาถึงห้าง ก็แวะขึ้นไปชั้นบนตรง food court เพื่อหาอะไรกินหน่อย วันนี้เรารู้สึกล้ากว่าเมื่อวานอีกทั้งๆ ที่เดินน้อยกว่า ไม่รู้ทำไม อาจจะเพราะตอนเที่ยงกินน้อย
19.45 : กินเครปรัสเซีย (Bliny) ที่ร้าน Tepemok
และแล้วเราก็มาลงเอยมื้อเย็นที่ร้าน Tepemok เป็นร้านที่ตามหลอกหลอนตั้งแต่เท้าเหยียบเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ร้านนี้มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งจริงๆ จนแม่เราทนไม่ไหวเอ่ยปากบอกอยากลองสักครั้ง
ร้านนี้เราจะสั่งตรงเคาน์เตอร์แล้วนั่งกินใน food court ก็ได้ หรือจะเข้าไปนั่งในร้านเค้าเลยก็ได้
ฝั่งทางเข้าร้านจะอยู่ตรงข้ามเยื้องๆ กับร้าน Disney
ร้านดูกว้างดี ดูนั่งสบาย
ตรงเคาน์เตอร์มีช่องใส่วัตถุดิบต่างๆ ที่พ่อครัวแม่ครัวจะใช้ใส่ไส้อาหาร
เหลือบไปเห็นเมนู… เริ่มคิดหนักละ มีแต่ภาษารัสเซีย จะสั่งยังไงวะ (ตอนนั้นยังไม่รู้จัก google translate โหมดกล้อง)
ลองถามคนขายไปดูว่ามีเมนูอังกฤษไหม โชคดีว่ามี คนขายยื่นใบเมนูเวอร์ชั่นอังกฤษมา เราก็เริ่มดูกันอย่างสนุกสนาน
ร้านนี้เค้าเน้นขายเครปรัสเซียที่เรียกว่า bliny มีทั้งคาวทั้งหวานเลย หลักๆ จะเป็นคาวมากกว่า นอกนั้นก็จะเป็นอาหารอื่นๆ เช่นซุป สลัด
เราสั่งเครปกับซุปมาลอง เป็นเครปไข่แซลมอน เครปแซลมอนรมควัน เครปนมข้น และซุป borsch ที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ อันประกอบไปด้วยส่วนผสมหลักอย่างบีทรูตและครีมเปรี้ยว
เครปอร่อยมาก แป้งนุ่มเนียนกินเพลินสุดๆ กินกับไส้แซลมอนแล้วอร่อยมาก ส่วนไส้ไข่แซลมอนนั้นเค็มไป ก็คาดเดาได้แหละ
อันที่เป็นนมข้น ก็ราดมาแบบพอดีๆ นะ ไม่โชกเกินไปจนหวานปรี๊ด
ซุปก็กลมกล่อมใช้ได้เลย ไม่ได้เปรี้ยวปรี๊ดเหมือนที่คาดหวังไว้
สัญญาไว้แล้วจากเอนทรี่ก่อนว่าเอนทรี่นี้จะพามาเยี่ยมชมซูเปอร์มาร์เก็ต อะจัดไป
เสร็จจากทานข้าว เราก็เดินลงบันไดเลื่อนห้างมายังชั้นแรก ที่ที่มีซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่
แหม มีห้างใกล้ๆ โรงแรมนี่มันดีจริงๆ จะซื้อของกลับห้องก็ทำได้ง่ายๆ
ว่าแล้วเราก็ไปหอบน้ำดื่ม และขนมต่างๆ มาตุนไว้ ที่นี่ของถูกมากจริงๆ ขอคอนเฟิร์มอีกรอบ
อะดูตัวอย่าง นี่โยเกิร์ต ขายแพ็กด้วยนะ เห็นตัวเลขเท่าไรก็หารสองไป จะได้ราคาไทย
ความแปลกคือทำไมตรงนี้โยเกิร์ตไม่แช่ช่องเย็นไว้อะ 555
เนี่ย ตรงนี้ก็มีช่องเย็น
ขนมหวานตั่งต่าง ถูกมาก นี่มันแดนสวรรค์ของคนรักขนมหวานชัดๆ
อันนี้เป็นบิสกิต ดูแห้งๆ แต่ก็น่ากินอยู่ดี
ช็อกโกแลตรูปปืน! คิดไอเดียถ่ายรูปออกเลย เอาช็อกโกแลตจ่อปาก
มีช็อกโกแลตว้อดก้าด้วย น่าลองงง
บรรยากาศโซนเบเกอรี่ คนเดินคึกคักอยู่นะ
และนี่!! ช็อกโกแลต Lindt ที่เรากินบ่อยๆ มาที่นี่ลดเหลือ 50 บาทเอง พระเจ้า!! ตุนสิรอไร
พอซื้อของเรียบร้อยแล้ว เรากับพ่อก็แยกไปห้อง ส่วนน้องกับแม่เราไปช้อปปิ้งต่อ
นี่ละคืออีกข้อดีของห้างใกล้โรงแรม คือเราสามารถแยกทางกันได้ง่ายๆ ไม่ต้องมาคอยรอคนอื่นช้อปปิ้ง สำหรับตอนนี้คือเราล้ามาก ขอกลับไปพักที่ห้องและเตรียมแพลนสำหรับการไปปีเตอร์ฮอฟวันพรุ่งนี้ละ
เอนทรี่ต่อไป
Peterhof Palace
State Hermitage Museum
อ่านตอนก่อนหน้านี้ของ “รัสเซียร้อนมาก”
รัสเซียร้อนมาก #1: แดดแรงๆ ใน St.Petersburg เลยต้องหนีเข้าโบสถ์