ยุโรปกับเดือนพฤษภาคมเป็นอะไรที่ต้องหลีกเลี่ยง…
นี่คือบทเรียนที่เราได้รับจากการไปออสเตรียและเช็คเมื่อปีที่แล้ว ที่อากาศร้อนบรรลัย แดดดุยิ่งกว่าเมืองไทย
ก่อนหน้านั้น ตอนเราเรียนอยู่ที่สก๊อตแลนด์ ก็จำได้ว่าเดือนพฤษภาคมนี่ละที่ร้อนที่สุด แม้ว่าจะร้อนสุดๆ แค่ หนึ่งสัปดาห์ก็ตาม
ทั้งหมดทั้งมวลนี้สรุปได้ว่า เราไม่ควรไปไหนในยุโรปช่วงเดือนพฤษภาคม!
แต่จนแล้วจนรอด ปีนี้ก็ยังอยากลองของอีกจนได้ ทริปรัสเซียนี้เป็นทริปแบบไฟไหม้มากเพราะเพิ่งมาตัดสินใจว่าจะไปก็แค่เดือนที่แล้วนี่เอง เนื่องจากว่าไปกันเองโดยไม่พึ่งทัวร์ การวางแผนทุกอย่างเลยเร่งรีบ เพิ่งซื้อตั๋วชมไฮไลต์ทั้งหมดเสร็จก็ช่วงบ่ายของคืนที่จะเดินทางอะ ฮ่าๆๆ
ตัวเราเองนั้นตอนแรกก็ยังกังขาว่าจะไปดีเหรอ มันจะร้อนนะ คุ้มค่าการเดินทางเหรอ แต่ก็พยายามกล่อมตัวเองว่ารัสเซียเป็นเมืองหนาว หน้าร้อนของเขาก็ยังเย็นอยู่ดีนั่นแหละ อีกอย่างคือตอนนี้ประเทศไทยร้อนสัสๆ ยังไงหนีไปรัสเซียก็ต้องเย็นกว่าแน่นอน
** หมายเหตุ:: นี่เป็นการบันทึกการเดินทางของเรากับครอบครัว มีทั้งหมด 8 เอนทรี่ 8 วัน จะไม่ได้ละเอียดมากขนาดไกด์ทัวร์แนะนำเที่ยว แต่ถ้าใครอยากได้ไปเป็นไอเดียประกอบทริป เราก็ยินดี เตือนก่อนว่าเราเที่ยวกันแบบชิวๆ ไม่เร่งรีบ มีติดขัดนู่นนี่บ้าง ฉะนั้นโปรดใช้วิจารณญาณก่อนเที่ยวตามนะ 555
19 พ.ค. 2019 / 9.00 : เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
เรามาถึงสนามบินเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กตอนประมาณ 9 โมงเช้าของที่นี่ ก่อนหน้านั้นเราไปเปลี่ยนเครื่องที่เฮลซิงกิ ฟินแลนด์ ก็เพราะสายการบินที่นั่งมาคือ Finnair สายการบินที่ทุกอย่างดูมินิมอลดูมีดีไซน์ไปหมด สายการบินที่ใช้ทิชชูและแก้วน้ำแบรนด์ Marimekko อย่างชิคๆ
พอเรามาถึงสนามบิน แน่นอนว่าด่านแรกที่เจอก็คือตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) แต่ขอบอกเลยว่าตม. ที่นี่ทำเราอึ้งไปพักนึง เพราะหน้าตามันไม่เหมือน ตม. ทั่วไป
ลองนึกถึง ตม. ทั่วไปดู เราจะนึกภาพเคาน์เตอร์เรียงกันหลายๆ อัน มีเจ้าหน้าที่นั่งหลังเคาน์เตอร์ ข้างหน้าเคาน์เตอร์ก็คือคิวต่อแถวของผู้เข้าเมือง พอถึงคิว เราก็เดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อทำการตรวจเช็กปกติ
แต่ที่นี่ไม่ใช่แบบนั้น สิ่งแรกที่เราเห็นคือห้องดำเนินการแบบกล่องๆ อารมณ์แบบห้องของเจ้าหน้าที่เก็บเงินบนทางด่วน คือเจ้าหน้าที่อยู่ในกล่องนั่น เราก็ต้องเดินเข้าไปในโซนของกล่องนั้น ที่มันก็จะมีหลังคาคลุมทับ
ฟีลตอนนั้นนี่รู้สึกเหมือนนักโทษกำลังจะถูกตรวจสอบปากคำมากๆ
ตม. ที่นี่ก็จะหน้าบึ้งๆ นิ่งๆ ถามเราว่าเป็นนักท่องเที่ยวเหรอ แล้วก็ดูพาสปอร์ตอยู่พักหนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะคนไทยไม่ต้องใช้วีซ่ารึเปล่านะ เค้าเลยดูนานหน่อย เพราะปกติถ้าไปประเทศไหนที่มีวีซ่า การตรวจจะเร็วกว่านี้
…แต่สรุปแล้วก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
นอกเหนือจากพาสปอร์ตที่จะได้คืนมา เราก็จะได้รับกระดาษใบเล็กๆ เป็นเหมือนใบคนเข้าเมือง เป็นใบที่ต้องรักษาเยี่ยงชีพ ใจจริงอยากจะเย็บติดพาสปอร์ตไว้เลย กลัวหล่น
เมื่อเสร็จสิ้นก็เดินออกมาจากกล่องด้วยความโล่งอกเช่นเคย
อยากเห็นหน้าตากล่องทางด่วนใช่ไหม เราไม่ได้ถ่ายรูปมา ตอนนั้นกลัวว่าหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายแล้วจะโดนเข้าชาร์จ มันเข้มงวดประมาณนั้นเลย
แต่ความดีงามคือด้วยความที่เราออกมาเร็ว เราก็พุ่งตรงไปยัง ตม. เลย ไม่ต้องรอคิว แป๊บเดียวก็เสร็จ
พอมารอกระเป๋าก็เช่นกัน ด้วยความที่สนามบินมันไม่พลุกพล่าน คนในไฟลท์ก็ไม่เยอะเท่าไร กระเป๋าออกมาค่อนข้างเร็วเลย ไม่ต้องรอลุ้นว่ามันจะปลิวไปกลางทางตอนที่เปลี่ยนเครื่องรึเปล่า นี่แหละคือข้อดีของการมาแลนดิ้งในเมืองรองของประเทศ ไม่ใช่เมืองใหญ่ที่คนพลุกพล่าน ทุกอย่างมันดูสบายหูสบายตา รวดเร็วไปหมด
เมื่อได้กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปที่ร้านขายซิม Beeline เพื่อซื้อซิมท้องถิ่นใส่เข้ามือถือ ได้ยินมาว่าซิมที่นี่ถูก ซึ่งก็ถูกอย่างว่าจริงๆ เพราะด้วยราคา 600 รูเบิล (ประมาณ 300 บาท) เราได้อินเตอร์เน็ตแบบไม่มีลิมิต ได้โทร 500 นาที ได้ข้อความ 300 ข้อความ มีระยะเวลาการใช้อยู่ที่ 2 สัปดาห์ สำหรับเราเราว่ามันโคตรคุ้ม คุ้มมาก แค่อินเตอร์เน็ตไม่จำกัดก็คุ้มแล้ว
อ้อ ตอนจะซื้อซิม อย่าลืมถามคนขายด้วยว่าเป็นซิมที่ใช้ได้ครอบคลุมทุกเมืองรึเปล่า ไม่งั้นอาจจะมีเคสที่ว่าซิมนี้ใช้ได้แค่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ซิมนี้ใช้ได้แค่ที่มอสโคว
ตัวอย่างร้าน Beeline เนื่องจากถ่ายรูปไม่ทัน ขอจิ๊กรูปมาจากอินเตอร์เน็ต
(source: traveltomtom.net)
เปลี่ยนซิมเสร็จก็ออกมาลองเทสสัญญาณเล่นๆ โหลดเร็วอยู่ เราลองเปิด LINE ก็ใช้ได้ปกติ แต่ก็แค่ตอนนั้นแหละเพราะหลังจากนั้นพอเปิดอีกรอบก็โหลดไม่ติดละ ต้องเปิดผ่าน VPN ใครจะไปรัสเซียก็โหลดแอป VPN ติดเครื่องไว้เลย ได้ใช้แน่นอน อย่างน้อยก็กับ LINE เพราะที่นี่เค้าบล็อกแอปฯ นี้
ของเราใช้แอปฯ ชื่อ Hotspot Shield VPN วิธีใช้ก็ไม่ยากอะไร เปิดแอปฯ แล้วกดที่ปุ่มใหญ่ๆ ตรงกลางนั่นเลย จากนั้นก็เข้า LINE ตามปกติ


เรานั่งรอคนขับแท็กซี่ที่จองคิวไว้ล่วงหน้าให้มารับตอนใกล้ๆ 10 โมง ซึ่งเขามาก่อนเวลา ถึงประมาณ 9.30 ได้มั้ง พวกเราเลยออกเดินทางกันเลย ระหว่างทางคนขับก็ไม่ได้คุยอะไร ขับเงียบๆ นี่ไม่ใช่ว่าเขาไม่เฟรนด์ลี่หรืออะไร เขาแค่พูดอังกฤษไม่ได้
ระหว่างทางเข้าเมืองนี่แอบมีความรู้สึกว่าตึกมันแห้งแล้ง ดูไม่สวยเหมือนในรูป ไอ้เราก็เริ่มตระหนกว่าแย่ละ ของจริงไม่สวยว่ะ
แต่ช้าก่อน พอเข้ามาในเมือง ทุกอย่างเปลี่ยนไป คือตรงนั้นเป็นชายขอบเมืองมั้ง ในเมืองนี่ตึกดูสวยขึ้น ดูอลังการขึ้น
ใช้เวลาประมาณเกือบๆ หนึ่งชั่วโมง เราก็มาถึงโรงแรม Crown Plaza ตรงถนน Ligovsky
ประตูเป็นแบบเปิดอัตโนมัติ ล้ำๆ
เข้าไปตรงเคาน์เตอร์ก็จะเจอกับตู้โชว์ตุ๊กตาแม่ลูกดกวางเรียงรายกัน
ความโชคดีคือสามารถเช็กอินเข้าห้องได้เลย ไม่ต้องรอบ่ายสองเหมือนที่คิด ทำให้สามารถขึ้นไปเก็บของเตรียมตัวบนห้องได้ก่อน ที่สำคัญคือขึ้นไปเปลี่ยนชุดด้วย เพราะขามาใส่สเว็ตเตอร์แขนยาวมาเผื่อเย็น แต่ดันเจอแดดจ้าและอุณหภูมิประมาณห้องแอร์ เลยเปลี่ยนเหลือแค่ทีเชิ้ตกับคาร์ดิแกนแทน สบายขึ้นเยอะ
ห้องน้ำของที่นี่มีความแปลกอย่างนึง คือตรงสายฉีดอะ แทนที่จะมีที่กด ก็เป็นสายฉีดโล่งๆ แต่มีที่เปิดปิดเหมือน shower ก็จะมีความทุลักทุเลนิดนึงตอนใช้
เส้นทางของวันนี้
- เช็กอินที่ Crown Plaza Hotel
- เดินเล่นบนถนน Nevsky Prospekt
- ผ่านสะพานและวัง Anichkov, ตลาด Gostiny Dvor
- กินข้าวเที่ยงที่ Cafe Singer
- Savior on the Spilled Blood
- Mikhailovsky Garden
- Kazan Cathedral
- St. Isaac’s Cathedral
- ห้าง Galeria
https://goo.gl/maps/zoCj84ZFacB4CDV17
11.35 : เดินเล่นบนถนน Nevsky Prospekt
เราตัดสินใจเดินตรงตลอดถนน Nevsky Prospekt เพราะเห็นว่าเป็นถนนเส้นหลักซึ่งจะพาเราไปเจอจุดไฮไลต์ต่างๆ สองข้างทางก็เต็มไปด้วยตึกสีสันพาสเทล ร้านรวงมากมาย แดดร้อนจัดเลยทีเดียว โชคดีที่ฟากที่เราเดินนั้นไม่เจอแดด ค่อยเย็นขึ้นมาหน่อย
เดินอยู่ฟากนี้ ร่มๆ
ระยะทางค่อนข้างไกลอยู่กว่าจะเจอจุดที่เป็นไฮไลต์ ไกลจากที่คิดไว้ ดูใน google maps เหมือนจะไม่ไกล
จุดแรกที่เจอคือสะพาน Anichkov ซึ่งพาดผ่านแม่น้ำ Fontanka ตรงนี้ได้วิวสวยดีเหมือนกัน
ผ่านสะพานไปก็จะเจอสถาปัตยกรรมสวยๆ แห่งหนึ่ง เปิดกูเกิ้ลดูจึงเห็นว่ามันเป็นเหมือนศูนย์การศึกษาด้านศิลปะและกิจกรรมนอกเวลาอื่นๆ ซึ่งแต่ก่อนนั้นเคยเป็นวังมาก่อน มีชื่อว่า Anichkov เหมือนชื่อสะพาน
ดอกไม้ตรงนี้สวยมาก ตัดกับตัวตึกสุดๆ
เจอเด็กสายดนตรีแล้ว แต่งตัวกันเต็มยศ เห็นน้องๆ แล้วนึกถึงหมีแฮร์ร็อด
ถ่ายรูปกันไปพักนึง ก็ออกมาเดินเลียบถนนต่อ มองไปไกลๆ ก็เจอตึกดีไซน์แปลกตา มีรูปปั้นยื่นออกมา ที่นี่คือ Eliseyev Emporium เป็นห้างที่เล็งๆ ว่าอยากเข้าไปเดินเหมือนกัน
ตรงชั้นแรกเรามองผ่านกระจกจะเห็นของเล่นมากมาย ดูไปดูมาก็ให้บรรยากาศคลาสสิก เข้ากับตัวตึกดี
แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ร้านของเล่น และไม่ใช่ห้างด้วย จะเป็นอะไรนั้นเดี๋ยวมาเล่าให้ฟังในเอนทรี่ถัดๆ ไป
เดินมาอีกสักพักก็เจอสวนที่มีรูปปั้น Catherine II แล้วก็เริ่มเจอคนแต่งตัวสวยๆ งามๆ เป็นมาสค็อต คนแก๊งนี้จะเชิญชวนให้เราถ่ายรูปกับเขา แต่ถ้าเราไม่ได้อยากถ่ายด้วยจริงๆ ก็ระวังไว้ละกัน เพราะการถ่ายรูปนี่คิดตังค์ บางทีอาจจะเหมือนเขาเต็มใจเชิญชวนโดยไม่คิดตังค์ แต่ก็นั่นแหละ อารมณ์เหมือนเด็กเช็ดกระจกรถ ที่ไม่ได้ขอก็จะให้ แต่พอให้แล้วก็เอาตังค์ด้วย
ใกล้ๆ กันนั้นก็แอบแวบไปเดินเล่นใน Gostiny Dvor สักหน่อย เป็นเหมือนโซนตลาด เรายังไม่ได้เดินสำรวจเท่าไร แค่แวบมาถ่ายรูปแล้วก็ไป
มีคนโยนอาหารไปที ฝูงนกก็จะกินกันอย่างดุเดือดมาก
ป.ล. นกที่นี่อ้วนมาก
เดินเลาะถนนมาเรื่อยๆ ตามเดิม สำรวจบ้านเมืองรอบๆ และแล้วก็มาเจอตึกรูปร่างสะดุดตาอีกตึกหนึ่ง ค้นในอินเตอร์เน็ตก็เจอว่าเป็นคล้ายๆ ห้าง ตอนนั้นเป็นเวลาช่วงเที่ยงๆ เริ่มหิวข้าวแล้ว เลยคิดว่างั้นเข้าห้างไปหาอะไรกินละกัน
12.40 : มื้อเที่ยงที่ Cafe Singer
ปรากฏว่า มันไม่ใช่ห้างแฮะ แต่เป็นร้านหนังสือที่มีหลายชั้น ชื่อว่า Dom Knigi ร้านหนังสือที่ใหญ่และดังที่สุดในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ชื่อของร้านแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า House of the Book หรือบ้านแห่งหนังสือ
นอกจากหนังสือ ร้านนี้ยังขายของจำพวกของฝาก และขนมของกินอีกด้วย
ชั้นสองจะมีคาเฟ่ยอดฮิตของคนไทยอย่าง Cafe Singer อยู่ เราเลยลองไปสำรวจเมนู ก็พบว่านอกจากของหวานแล้วก็มีของคาวหน้าตาน่ารับประทานอีกด้วย งั้นก็มาฝากท้องที่นี่ซะเลย
ในรีวิวบอกว่ารสชาติอาหารเฉยๆ แต่วิวและบรรยากาศดีมาก อันนี้เห็นด้วย เพราะตัวร้านตั้งอยู่ตรงข้ามมหาวิหาร Kazan ทำให้พอมองลอดผ่านหน้าต่างไปก็ได้วิวมหาวิหารพอดี
แต่ตอนนั้นคือแดดแรงมากเลย ถ้าแดดหุบกว่านี้หน่อยจะงามมาก
ว่าแล้วก็สั่งอาหาร พวกเราสั่งจานหลักเป็นสลัดเนื้อวัว ปลาแซลมอนย่างบนข้าว แล้วก็พวกเกี๊ยวของที่นี่ มีไส้หมู กับไส้มันฝรั่งและเห็ด
รอประมาณ 15-20 นาที อาหารก็มาเสิร์ฟ เริ่มด้วยสลัดเนื้อวัวที่เราไม่ได้กิน ต่อด้วยแซลมอนย่าง ปริมาณโอเคเลย อร่อยดี ตัวข้าวแอบคล้ายๆ ข้าวไรซ์เบอร์รี่ของบ้านเรา
ข้าวแอบจืดไปหน่อย ถ้าปรุงรสสักหน่อยจะยอดมาก แต่รสสัมผัสคือเคี้ยวเพลินดี
แอบสังเกตว่าสองจานนี้เขาปรุงรสด้วยน้ำสลัดซอสบัลซามิก ซอสสีดำๆ นั่นน่ะ เราชอบซอสนี้ ช่วยให้อาหารอร่อยขึ้นมาก
สักพักเกี๊ยวก็มาเสิร์ฟ เราได้กินอันที่เป็นไส้มันฝรั่งกับเห็ดไปเยอะมาก เกี๊ยวก็อร่อยดีนะ เหมือนเกี๊ยวบ้านเราแต่แค่ไส้ข้างในที่แปลกไป ไส้มันฝรั่งบดผสมกับเห็ดนั้นจะออกเค็มๆ มันๆ หน่อย อร่อยดี ปริมาณให้เยอะอยู่
เกี๊ยวที่นี่เสิร์ฟพร้อมครีมเปรี้ยว หรือ Sour Cream ละ ช่วยให้อร่อยขึ้นไปอีก ถ้าใครไม่รู้ว่าครีมเปรี้ยวรสชาติยังไง เราว่ามันคล้ายๆ โยเกิร์ต ที่เหลวกว่าโยเกิร์ตนิดนึง
มาคาเฟ่ทั้งทีขาดของหวานไม่ได้ เราไปเดินดูที่ตู้เค้กแล้วก็เลือกอยู่นาน น่ากินไปหมด สุดท้ายก็มาลงเอยด้วยชีสเค้กหน้าตาธรรมดาๆ
แต่บอกเลย รสชาติไม่ธรรมดาเว้ย อร่อยมากกกกก
ทีเด็ดอยู่ตรงชั้นครีมชีสหนาๆ นั่น มันดีมากๆ รสสัมผัสเข้มข้นไม่เบาโหวง กินแล้วแบบ นี่แหละคือชีสเค้กในอุดมคติ อย่าเอาไปรวมกับชีสเค้กเบาๆ สไตล์ญี่ปุ่นนะ อันนั้นคนละหมวด อันนี้เป็นชีสเค้กแบบฝรั่งที่เนื้อแน่นๆ
แต่ตรงฐานครัมเบิ้ลแอบเละๆ ไปหน่อย ไม่ได้กรอบกรุบเหมือนบ้านเรา
กินคู่กับกาแฟเอสเพรสโซ่สักช็อต ครบเลยมื้อนี้
14.00 : Church of the Savior on Spilled Blood
พอกินอิ่มแล้ว ก็มุ่งหน้าไปยังจุดหมายต่อไป คือโบสถ์แห่งหยดเลือด หรือ Church of the Savior on Spilled Blood
โบสถ์นี้ไม่ได้อยู่ริมถนนใหญ่นะ หากเดินจากทางเดิมก็ต้องเลี้ยวขวา เข้ามาในถนนที่มีคลองคั่น ง่ายๆ ก็คือ ถนนที่มี Dom Knigi อยู่ตรงหัวมุมนั่นละ
ในคลองมีเรือสัญจรผ่านไปเรื่อยๆ
เรือแล่นได้เอื่อยมาก รู้ว่าอยากชมวิว แต่แล่นเร็วกว่านี้ก็ได้นะ
เราเดินเข้ามาใกล้โบสถ์เรื่อยๆ แอบเสียดายที่ด้านบนของโบสถ์มีการซ่อมแซม แต่ไม่เป็นไร ช่วยไม่ได้ ขอซึมซับเท่าที่มีละกัน
โดยส่วนตัว คิดว่าสีโบสถ์ดูหม่นๆ ทึมๆ กว่าในรูปที่เราเห็นกัน ในรูปนี่แต่งซะสีสันฉูดฉาดเลย
แอบรู้สึกว่าโบสถ์นี้คล้ายๆ มหาวิหาร St.Basil ในมอสโคว
มาค้นพบว่า จริงๆ แล้วสถาปนิกก็ได้แรงบันดาลใจมาจาก St.Basil นั่นละ
ใกล้ๆ โบสถ์ก็มีแผงขายของฝาก ให้ฟีลคล้ายๆ เมืองไทย แต่ก็ไม่ได้ตั้งเยอะแยะจนรก
บางทีก็รู้สึกรำคาญไอ้สายไฟที่มันพาดระโยงระยางไปทั่วเมือง แต่ทำไงได้ 5555
เดินมาถึงหน้าโบสถ์แล้ว เราจะเจอว่ามีคนเดินออกมาจากประตูตรงโบสถ์ ตรงนั้นเป็นทางออกละ ทางเข้าจะอยู่ข้างหลังตัวโบสถ์ ที่ขายตั๋วก็ด้วย
ตั๋วใบละ 350 รูเบิล เมื่อได้ตั๋วแล้วก็ผ่านประตูเข้ามาเลย
เข้ามาข้างในโบสถ์ ก็จะบรรยากาศมืดๆ หน่อยแม้จะมีแชนเดอเลียร์ช่วยส่องแสงอยู่บ้าง
มีภาพโมเสกเต็มไปหมด
ได้ยินมาว่าช่วงยุคคอมมิวนิสต์ สตาลินใช้โบสถ์นี้เก็บมันฝรั่ง โธ่ถัง… หมดกันความขลัง
หลังจากที่ถูกสตาลินปล่อยให้ทรุดโทรม ก็มีการบูรณะถึง 27 ปี ก่อนจะเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี 1997
มีโมเสกอยู่บนเพดานด้วย อลังการ
เพดานสูงมาก โบสถ์โอ่โถงสุดๆ
ศาลานี้สร้างทับจุดที่พระเจ้าซาร์ Alexander II ถูกลอบปลงพระชนม์ เพราะแบบนี้แหละถึงมีคำว่า Spilled Blood อยู่ในชื่อ ตอนแรกเห็นชื่อก็รู้สึกว่าทำไมฟังดูโหดร้ายจัง จริงๆ มันมีที่มา
โดยโบสถ์นี้สร้างขึ้นโดยคำรับสั่งจากพระเจ้าซาร์ Alexander III ผู้เป็นพระโอรส ใช้เวลาสร้าง 25 ปี
เดินสำรวจในโบสถ์สักพัก เราก็ออกมาด้านนอก มีรถม้าให้บริการอยู่หน้าโบสถ์ด้วย
14.50 : Mikhailovsky Garden
ถัดมาเราลองเดินเลาะไปในสวน Mikhailovsky ข้างๆ โบสถ์ เป็นสวนสาธารณะที่คนมาเดินเล่นไม่เยอะไม่น้อย วันนี้เป็นวันอาทิตย์ก็คึกคักดี ที่นั่งถูกจับจองไปหมด
ที่น่าสังเกตคือไม่มีใครปิกนิกหรืออาบแดดบนสนามหญ้าเลย เหลือบไปดูที่พื้นก็เห็นว่าเค้ากั้นไว้อยู่ เออ ก็เป็นระเบียบดีนะ
แอบรู้สึกว่าอากาศในนี้ปะปนไปด้วยละอองเกสรดอกไม้ ถ้าสูดเข้าไปก็อาจจะเกิดอาการคัดจมูกแบบออโตเมติกได้
โดยรวมแล้วตัวสวนไม่ได้มีจุดอะไรโดดเด่นเตะตา เป็นสวนทั่วๆ ไปนี่แหละ
ต้นไม้ต้นนี้ฟอร์มสวยดี
สวนอยู่ติดกับ Russian Museum ด้วย ดูใหญ่โตมากๆ
เดินไปสักพักก็จำได้ว่าเคยเห็นมุมหนี่งของสวนนี้ที่ถ่ายรูปออกมาสวย เป็นมุมที่มีตึกเล็กๆ สีเหลืองอ่อน และธารน้ำไหลผ่านข้างหน้า มีเรือด้วย ดูเป็นมุมที่สงบๆ ดี มองไปรอบๆ ก็ยังไม่เห็นว่าตรงไหนจะมีธารน้ำ เราเลยลองไปถามป้าคนขายไส้กรอกแถวนั้น เค้าก็ชี้ทางให้เจอกับตึกสีเหลืองๆ ที่ว่า
ตึกตรงนี้อยู่ใกล้ๆ กับอีกถนนนึง มีธารน้ำคั่นตรงกลาง ตอนแรกเดินเลาะธารในเขตบริเวณสวน จึงพบว่าไม่สามารถข้ามไปอีกฝั่งธารน้ำเพื่อถ่ายรูปได้ จึงต้องเดินออกมานอกเขตสวน
ทีนี้แหละ จะสามารถถ่ายกลับไปยังสวน ตรงมุมที่มีตึกสีเหลือง และธารน้ำพร้อมเรือแล่นไปมาได้
เอาจริงๆ นี่ไม่ใช่มุมสงบเท่าไร ค่อนข้างพลุกพล่านเลย รูปที่เราเห็นนี่ถ่ายออกมาซะดูเงียบเหงาเชียว
ตรงตึกสีเหลืองๆ มีคนนั่งชิวอยู่ ดูเป็นมุมที่สบายๆ ดี
16.25 : Kazan Cathedral
นั่งพักขาสักพักนึง เราก็เดินกลับไปที่ร้านหนังสือ Dom Knigi เพื่อเข้าห้องน้ำที่ชั้นสอง แล้วเดินออกมาเพื่อไปถ่ายรูปมหาวิหาร Kazan ที่อยู่ตรงกันข้าม
มหาวิหารนี้สร้างอ้างอิงมาจากมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในวาติกัน ดูแล้วก็คล้ายกันจริงๆ นั่นละ
ที่นี่เขาให้เข้าฟรี เลยขอไปสำรวจข้างในหน่อย
ข้างในเงียบและมืดมาก มองไปรอบๆ ดูเหมือนผู้หญิงส่วนใหญ่จะคลุกผ้าโพกหัวกัน ไอ้เราที่ไม่ได้เตรียมผ้ามาเพราะไม่รู้ล่วงหน้าก็ตีมึนเนียนๆ ไปกับคนอื่นที่ไม่ได้โพกหัว
มีคิวต่อแถวกันยาวเพื่อทำพิธีกรรมอะไรสักอย่าง แลดูศักดิ์สิทธิ์ น่าจะเป็นการสักการะรูป Our Lady of Kazan
เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเค้าห้ามถ่ายรูป แต่ช้าไปละ กดชัตเตอร์ไปแล้ว แฮ่
17.30 : St.Isaac’s Cathedral
เสร็จจากมหาวิหาร Kazan เราก็เดินกลับมายังถนนเส้นหลักอย่าง Nevsky ตรงไปเรื่อยๆ ทางเดิม แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนรองเพื่อไปมหาวิหาร St.Isaac
ระหว่างทาง จะเจอตึก Admiralty Building หรือตึกทหารเรือ อยู่ไกลออกไป ถ่ายจากถนนแล้วก็สวยดี รอตอนไฟแดงที่รถหยุดแล้วพุ่งไปกลางถนนเลย
เดินมาสักพักนึงก็เจอ มีบูธขายตั๋วอยู่ข้างๆ พอลองไปถามเค้าก็บอกว่าอีก 10 นาทีจะปิดแล้วนะ ตอนนั้นมันก็ประมาณ 5 โมงแล้วแหละ ตรงตามที่เราหาข้อมูลมา
เราเลยถามไปว่าถ้าเข้าหลัง 6 โมงได้ไหม ค่าตั๋วแพงขึ้นใช่รึเปล่า เจ้าหน้าที่ก็ตอบว่าใช่ ต้องมาซื้อหลัง 6 โมงนะ แล้วเข้าหลัง 6 โมง
ราคาตั๋วเข้าชมมหาวิหาร ขึ้นจาก 350 เป็น 400 รูเบิล ส่วนตั๋วขึ้นไปชมวิวข้างบน ขึ้นจาก 200 รูเบิลเป็น 400 รูเบิล
โอเค ตามนั้น เราเลยไปนั่งเล่นในสวน Alexander ที่อยู่ตรงข้ามกับด้านหลังมหาวิหาร ได้วิวมหาวิหารจากด้านหลัง
มีรถม้าผ่านมาแล้วเข้าธีมดี
ในสวนมีมุมดอกทิวลิปสีเหลือง คนถ่ายรูปกันเยอะ เราเลยไปถ่ายมั่ง
จากตรงนี้ ถ่ายไปเห็นมหาวิหารแล้วสวยสุดๆ
ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง โดมทั้งหมดถูกทาเป็นสีเทาเพื่อไม่ให้เครื่องบินรบของศัตรูเห็นด้วย
และสวนด้านนอกก็เคยถูกใช้ปลูกกะหล่ำปลี ช่วงที่กองทัพนาซีล้อมเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก
พอ 6 โมงกว่าๆ ก็ไปซื้อตั๋ว
ตั๋วก็ดันหน้าตาเหมือนตั๋วที่เข้า Savior on Spilled Blood อีก เกือบหยิบสลับกันแล้ว
เราเข้ามหาวิหารก่อน ไม่รู้ว่ารอบกลางวันคนเยอะรึเปล่านะ แต่รอบเย็นคนน้อยมากกกกก มากแบบวังเวงเลยละ ถ่ายรูปได้สบาย เดินสำรวจได้สะดวก
ที่นี่เป็นมหาวิหารในนิกายรัสเซียนออร์โธดอกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
มีขนาดใหญ่อันดับ 4 ของโลก รองจาก St.Peter ในโรม, St.Paul ในลอนดอน และ Santa Maria de Fiore ในฟลอเรนซ์
มุมนี้ส่องอยู่นาน ว่ามันสะท้อนโคมไฟในวิหาร หรือว่าข้างในผนังนั้นมันมีโคมไฟอีกอัน ดูจากโครงรอบๆ โคมไฟนั้น น่าจะเป็นอีกอัน
ตรงนี้เป็นฉากศักดิ์สิทธิ์ ที่มีเสามาลาไคต์ (Malachite) สีเขียวมรกตสวยงาม และราคาแพงมากกกประดับไว้
ภาพโมเสกเยอะมากๆ
พอเสร็จจากมหาวิหาร ก็เดินทะลุออกทางออกด้านหลัง จะออกมาฝั่งตรงข้ามกับสวน Alenxander เราก็ต้องเดินย้อนกลับไปข้างหน้า เพื่อเข้าทางขึ้นไปข้างบนยอดโดม ที่นี่เขาจะแยกทางเข้าสองอย่างนี้ออกเป็นสองทาง เข้ามหาวิหารก็ทางซ้าย เข้าทางขึ้นก็ทางขวา
ก่อนจะขึ้น เค้ามีคำเตือนแปะไว้ด้วยว่าบันไดที่ขึ้นไปเนี่ยมีจำนวน 262 ขั้น ถ้าใครมีโรคประจำตัวก็ล่าถอยไปเสีย
แต่ถ้าร่างกายปกติไม่มีเจ็บป่วยอะไรก็ขึ้นไปได้เลย
ทางขึ้นก็จะเป็นบันไดวนไปเรื่อยๆ
ระหว่างทางก็มีตัวเลขบอกด้วยว่าอีกกี่ขั้นจะถึงจุดหมาย เป็นอะไรที่ชโลมใจดี ทำให้รู้ว่าการเดินขึ้นครั้งนี้ยังมีจุดหมายรออยู่อีกไม่ไกล
เราเดินขึ้นมาคนเดียว มีคนตามหลังอยู่ห่างๆ ให้บรรยากาศอึมครึมดี อากาศก็จะเย็นหน่อย
จากตอนแรกบันไดมีความกว้าง ขึ้นไปถึงประมาณครึ่งทาง บันไดก็เริ่มแคบลง
จากแคบลง ก็กลายเป็นแคบมาก ขึ้นไปนิดนึงก็จะเจอบันไดที่เปิดโล่ง เชื่อมไปยังชั้นบนของมหาวิหารที่ให้เราไปชมวิว ตรงนี้ใครกลัวความสูงก็อาจจะเสียวๆ หน่อย แต่ถ้ากลัวความสูงก็อาจจะไม่ขึ้นมาตั้งแต่แรกแล้วละมั้ง
ขึ้นไปข้างบน ก็จะมองวิวเมืองได้แบบ 360 องศา แต่เราว่าจุดที่สวยมีอยู่ 2 จุด คือจุดที่มองไปเห็นจตุรัส St.Isaac (ที่ไม่มีอนุเสาวรีย์พระเจ้าซาร์ Nicholas I T^T สงสัยปิดไว้เพื่อทำการบูรณะ รึเปล่า) กับจุดที่มองผ่านแม่น้ำไปเห็นฝั่งตรงข้าม
แดดเริ่มหุบแล้วจริงๆ อากาศดีงามมาก ถ้าไม่มีแดด มันคืออากาศในอุดมคติเลย
ข้างบนนี่อากาศเย็นสบายเลย คงเพราะเริ่มเป็นตอนเย็นด้วยแล้วละ แดดก็หุบลงแล้ว
เดินสำรวจพักนึงก็เดินลง ขาลงนี่มีคนเดินมาพร้อมกันเยอะอยู่ เลยไม่ได้บรรยากาศเหงาๆ แบบตอนแรกละ
เมื่อเสร็จจากตรงนี้เราก็ลองเรียกแท็กซี่ของที่นี่กลับไปยังห้างใกล้ๆ โรงแรม เจอว่า Uber ที่เราตามหานั้น โดนแอปท้องถิ่นอย่าง Yandex กินไปแล้ว ก็เลยใช้แอป Yandex เรียกแท็กซี่แทน วิธีใช้ก็เหมือนเดิม ปักหมุดว่าเราอยู่ตรงไหน อยากไปที่ไหน แล้วระบบก็แมตช์คนขับให้
ค่าโดยสารค่อนข้างถูกเลย ประมาณ 100 กว่ารูเบิล เลยคิดว่างั้นเดี๋ยวคงได้ใช้บริการบ่อยๆ ละ
19.20 : Galleria Shopping Mall
มาถึงที่หมายนั่นก็คือห้าง Galleria เป็นห้างที่ดูใหญ่โตคึกคักดี ดูไม่เหมือนห้างยุโรปทั่วไปที่มักจะเหงาๆ เหมือนห้างใกล้เจ๊ง
ชั้นแรกเหมือนจะจัดนิทรรศการอะไรสักอย่างเกี่ยวกับยุคโซเวียต ไม่รู้ใช่รึเปล่า เดาเอานะ เพราะเห็นดาวสีแดงๆ (ถ่ายรูปไม่ทันอีกแล้ว)
เราเดินตรงมาเรื่อยๆ ก็เจอกับร้านขายของไอที เลยเข้าไปดูว่ามี Adaptor รึเปล่า เพราะเราไม่ได้พกมาจากเมืองไทย กะมาหาดาบหน้าเอาที่โรงแรม แต่ของโรงแรมก็ใช้ไม่ได้
สุดท้ายก็ได้อันนี้มา เป็นหัวปลั๊กที่ให้เราเสียบสาย USB ต่อเข้ากับมือถือหรือ Power Bank เลย เสียบได้ 2 สาย ราคาประมาณ 900 รูเบิล เลยจัดอันนี้มาลอง
คำเตือน ให้เช็กข้อมูลด้านหลังกล่องดีๆ เพราะเราเจอว่าซื้อมาสองอัน หน้ากล่องเหมือนกันเด๊ะ แต่ข้างหลังมีจุดที่ต่างกัน อันนึงบอกว่าสองรูนี้เสียบมือถือได้ทั้งคู่ แต่อีกอันนึงบอกว่ารูนึงเสียบมือถือ อีกรูเสียบแท็บเล็ตได้เท่านั้น
ก็ไม่รู้ว่ามันจะแยกมาทำแมวอะไรเหมือนกัน ทำให้เสียบได้ทุกอย่างไปเหมือนๆ กันก็จบเรื่อง
ในรูปที่แปะไว้ คือเสียบมือถือได้ทั้งคู่ หรืออยากจะเสียบชาร์จ Power Bank ก็ได้
พอซื้อเรียบร้อยแล้ว ก็แวะไปเดินสำรวจ Food court ชั้นบน ส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด พวก KFC McDonald’s Burger King อะไรพวกนี้
ลงมาชั้นล่างไปดูซูเปอร์มาร์เก็ตต่อ ซูเปอร์ฯ ที่นี่กว้างขวาง ของเยอะดี แถมของถูกมากๆ ด้วย วันแรกเลยจัดบลูเบอร์รี่มา 3 กล่อง
ส่วนมุมต่างๆ ของซูเปอร์ฯ จะเป็นยังไง เดี๋ยวเอนทรี่หน้าจะมาเล่าให้ฟังต่อ
20.25 : กินข้าวแกงรัสเซีย
ออกมาจากซูเปอร์ฯ ก็ไปหาข้าวเย็นทานกัน ตอนกลางวันจำได้ว่าเดินผ่านร้านที่มีความคล้ายๆ ข้าวแกงบ้านเรา คือใส่อาหารไว้ในถาดแล้วก็ให้เราชี้ๆ เอา เห็นว่าน่ากินดีเลยไปลอง
บรรยากาศร้านน่ารักดี มีความไม่ข้าวแกงบ้านๆ
อาหารเค้าก็มีหลากหลาย ทั้งของคาวของหวาน เราก็ชี้ๆ เลยว่าจะเอาอันไหนบ้าง ไม่แน่ใจว่าเค้าชั่งน้ำหนักรึเปล่า ดูไม่ทัน พอตักเสร็จก็คิดตังค์
อาหารเค้าอร่อยเลยละ เราสั่งอันที่เป็นเห็ดผัดกับผัก รสชาติเข้มข้นดีมาก
ไม่ทันได้ถ่ายรูปข้างในร้านมา แต่นี่คือหน้าร้าน เผื่อใครจะตามไปทาน ตั้งอยู่เลียบถนน Ligovsky ฝั่งตรงข้ามจากห้าง Galleria
กลับมาถึงห้องก็ลองแกะบลูเบอร์รี่กิน ปรากฏว่าหวานมาก หวานฉ่ำเลย ไม่เปรี้ยว ประทับใจ
สำหรับวันแรกก็พอแค่นี้ก่อน เจอกันเอนทรี่ต่อไปจ้า
เอนทรี่ต่อไป (20/5/2019)
ป้อม Peter & Paul (Peter & Paul Fortress)
วัง Catherine (Catherine Palace)
ช่วงเก็บตก
จะหาว่าเราตกเทรนด์ก็ได้ แต่เราเพิ่งรู้ว่า google translate สามารถแปลภาษาผ่านกล้องได้!
ปกติเราจะใช้แค่แปลประโยค แปลคำ พิมพ์มือเอา แต่วันนี้น้องเราเปิดโลกด้วยการโชว์มือถือที่แปลภาษารัสเซียบนฉลากสินค้าให้กลายเป็นภาษาอังกฤษ
ตอนที่รู้ว่าแอปฯ ซึ่งเปิดใช้เป็นประจำนั้นสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ ยอมรับเลยว่าโคตรทึ่ง นี่โลกเราหมุนไปไกลจนเราตามไม่ทันแล้วจริงๆ
วิธีใช้ก็ง่ายมาก เลือกภาษาที่ต้องการจะแปล (เคสนี้เราก็จิ้ม Russian > English) จิ้มที่ปุ่ม Camera แล้วแอปฯ ก็ให้เราใช้กล้องสแกนภาษารัสเซียแบบ real-time เลย
แม้ความเป๊ะจะไม่ได้ถูก 100% แต่ก็สามารถพอเอาตัวรอดได้ อย่างน้อยก็พอเข้าใจศัพท์หลักๆ ของประโยคนั้นๆ ละ
อย่างก้อนนี้ ตอนแรกก็ดูไม่ออกว่าคืออะไร พอสแกนผ่านแอปฯ เท่านั้นแหละ ก็รู้เลยว่ามันคือชีส
ไอ้ขนมก้อนชีสนี่ก็เป็นขนมประจำชาติอีกอันของที่นี่ อร่อยมาก เหมือนชีสเค้กก้อน ราคาไม่แพงด้วย ประมาณ 37 รูเบิล หรือประมาณเกือบๆ 20 บาทเอง

