รีวิว Simon VS. The Homo Sapiens Agenda (2015): ความสัมพันธ์ลับผ่านอีเมลของ 2 หนุ่ม

ใครไม่คุ้นชื่อยาวเฟื้อยอย่าง Simon VS. The Homo Sapiens Agenda จะบอกว่ามันคือชื่อหนังสือต้นฉบับของหนังเรื่อง Love, Simon ซึ่งรีวิวนี้จะขอพูดถึงหนังสืออย่างเดียว

แม้ว่านิยายเรื่อง Simon VS. The Homo Sapiens Agenda (ฟังก์ชั่นก๊อปปี้เพสต์นี่มันดีจริงๆ) จะมีชื่อยาว แต่ความยาวของนิยายนั้นไม่ยาวตาม เป็นพ็อกเก็ตบุ๊กขนาดประมาณ 300 กว่าหน้า พกถือไปไหนก็ได้สบายๆ

ดูแวบแรก อาจจะนึกว่าเรื่องนี้เป็นนิยาย YA สไตล์ไฮสคูลทั่วไป ไม่ก็เรื่องรักวัยรุ่นของชายหญิง แต่เปล่าเลย เพราะเรื่องนี้เป็นนิยาย LGBT มีตัวเอกเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่เป็นเกย์ และต้องเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ อันวุ่นวายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยตัวเอง การตกหลุมรักชายหนุ่มนิรนาม และการโดนเพื่อนแกล้ง

Simon VS. The Homo Sapiens Agenda เป็นนิยายแนว Coming-of-Age ที่พาเราไปสำรวจความคิดความรู้สึกของชาว LGBT

ตัวเอกอย่างไซมอน สเปียร์ คือเด็กหนุ่มวัย 16 ปีที่เป็นเกย์ เขาตกหลุมรักบลู (นามแฝง) เด็กหนุ่มปริศนาที่คุยกับเขาผ่านอีเมล สองคนนี้รู้จักกันเพราะกลอนที่บลูเขียนออนไลน์นั้นไปเตะตาไซมอนเข้า ไซมอนจึงไปโพสคอมเม้นท์ชื่นชม บลูจึงทักไซมอนไปทางอีเมล ทั้งคู่พบว่าต่างฝ่ายต่างมีความคิดคล้ายๆ กัน และสามารถคุยกันได้เข้าขามาก จึงดำเนินความสัมพันธ์ลับๆ ผ่านอินเตอร์เน็ตเรื่อยมา

อยู่มาวันหนึ่ง ไซมอนเผลอลืมล็อกเอ้าต์จากอีเมลตัวเองในคอมที่โรงเรียน มาร์ติน ผู้ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของไซมอนมาเห็นความลับนี้เข้า จึงขู่ไซมอนว่าถ้าไซมอนไม่ช่วยเขาจีบแอ๊บบี้ เพื่อนสาวที่ไซมอนสนิทด้วย เขาจะแบล็กเมลความลับนี้ ไซมอนจะทำอะไรได้ล่ะนอกจากทำตามคำสั่ง ใครจะอยากให้ความลับที่ว่าตัวเองเป็นเกย์ แอบคุยอยู่กับหนุ่มที่ไหนไม่รู้ รั่วออกไปก่อนที่จะทำใจได้ล่ะ จริงมั้ย

เนื้อเรื่องในหนังสืออ่านเพลินๆ ไม่หวือหวาแต่ก็ไม่น่าเบื่อ เหมาะสำหรับอ่านสบายๆ ไม่เร่งรีบ เนื้อหาสลับไปมาระหว่างสถานการณ์จริงที่มีไซมอนเป็นผู้บรรยาย กับ อีเมลที่ไซมอนคุยกับบลู จึงทำให้เราได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของไซมอนในชีวิตประจำวัน และ เห็นความสัมพันธ์ของไซมอนกับบลูที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้นผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ที่สำคัญคือเราจะได้พยายามเดาไปด้วยว่าแท้จริงแล้วบลูคือใคร ใช่คนที่ไซมอนรู้จักมั้ย

ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ จะเดากันออกรึเปล่า แต่เราเดาไม่ออกแหละ (จริงๆ คือไม่พยายามเดามากกว่า เพราะอยากเซอร์ไพรส์ ฮ่าๆ) ตอนที่รู้ว่าบลูคือใคร แม้จะเซอร์ไพรส์แต่ก็เป็นเซอร์ไพรส์ที่มาพร้อมกับความรู้สึกที่ว่า เออ ก็จริงอยู่นะ คือไม่ได้รู้สึกว่า เฮ้ย มาจากไหน ไม่มีใบ้กันมาก่อนเลย เพราะพอมองย้อนกลับไป เอาจริงๆ ผู้เขียนก็แอบหย่อนคำใบ้ว่าบลูคือตัวละครนี้ไว้พอสมควร เราเลยรู้สึกว่าคำเฉลยไม่ได้ขัดกับความรู้สึกเราแต่อย่างใด พอรู้ปุ๊บนี่อยากกลับไปอ่านอีกรอบเลย

ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ตัวเอก

นิยายเรื่องนี้มีประเด็นให้คุยเยอะมาก เรามาเริ่มที่ความสัมพันธ์ของไซมอนกับบลูก่อนละกัน ขอเตือนก่อนว่าถ้าใครคาดหวังความสัมพันธ์ Yaoi ร้อนแรงไฟลุก คงต้องผิดหวังกันไปตามระเบียบนะ เพราะความสัมพันธ์ของคู่นี้กว่า 90% ดำเนินผ่านตัวหนังสือในอีเมล และเป็นความสัมพันธ์ที่ค่อยเป็นค่อยไป เรียบง่าย แต่ก็ละมุนและอ่อนโยนในตัวของมัน อ่านแล้วรู้สึกเลยว่าทั้งคู่รู้สึกว่าอีกฝ่ายต่างเป็น comfort zone ของกันและกัน คือชายฝั่งที่ควรค่าแก่การว่ายน้ำข้ามผ่านมหาสมุทรไปหา คงเพราะเป็นเกย์เหมือนกันด้วย เลยสามารถแชร์ความคิดความรู้สึกต่างๆ กันได้ พวกเขาแชร์เรื่องราววัยเด็ก ประสบการณ์ในชีวิตที่น่าประทับใจ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันให้กันและกันฟัง ดูๆ แล้วมันก็น่าพิศวงดีที่คนเราสามารถเปิดใจให้คนแปลกหน้ามากขนาดนี้ มากกว่าคนที่อยู่ในชีวิตจริงๆ ของเราซะอีก แต่ก็นะ…บางทีมันอาจจะง่ายกว่า เพราะความสัมพันธ์เฉกเช่นแบบนี้ เริ่มจากการรู้จักตัวตนของอีกฝ่ายแบบ Inside Out หรือก็คือรู้จักความรู้สึกนึกคิดและตัวตนของเขาก่อน ก่อนที่จะรู้จักหน้าตาหรือนิสัยท่าทางที่แสดงออกมา อาจเรียกได้ว่าเป็นความสัมพันธ์ที่เริ่มต้นด้วยการตัดตัวแปรที่จะทำให้เกิดความ Bias ทิ้งไป หลงเหลือแต่ตัวตนที่เป็นของจริง เมื่อรู้จักของจริง ก็ทำให้ลดความคาดหวังต่างๆ นานาอันเป็นบ่อเกิดแห่งความขัดแย้งลงไปได้ระดับหนึ่ง

มาที่หัวใจหลักของนิยายเรื่องนี้บ้าง นั่นก็คือการเป็นกระบอกเสียงของชาว LGBT

เป็นกระบอกเสียงที่บอกให้คนรอบด้านรู้ว่าพวกเขาเป็นมีหัวจิตหัวใจ เป็นคนธรรมดาที่มีความรักได้เหมือนกัน ไซมอนและบลูได้แลกเปลี่ยนความคิดเรื่องนี้กันอย่างน่าสนใจ ตัวอย่างเช่น ทำไมคนที่เป็น LGBT ถึงต้องรู้สึกอึดอัด? ต้องรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะเผยตัวตน? ถ้า LGBT รู้สึกแบบนี้ ชายหญิงทั่วไปก็ต้องรู้สึกแบบเดียวกันสิ ทำไมถึงได้อภิสิทธิ์? โลกนี้ช่างไม่แฟร์เลย แล้วมาตรฐานคืออะไรเหรอ? ใครเป็นคนกำหนดว่าชายหญิงเป็นมาตรฐาน? แล้วคนชอบเพศเดียวกันคือคนแปลก? ความจริงแล้วมันไม่ควรมีมาตรฐานด้วยซ้ำหรือเปล่า? เพราะแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกันไป เราไม่ควรใช้ความแตกต่างเหล่านี้มาเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าใครถูกใครผิด มาทำให้คนที่แตกต่างต้องรู้สึกอัดอัดกับตัวตนของเขา จริงๆ ก็ไม่ใช่แค่ LGBT หรอก แต่รวมถึงคุณลักษณะอื่นๆ ด้วย ตัวอย่างเช่น ทำไมคนผิวขาวถึงเป็นมาตรฐาน? อันนี้แม้แต่ตัวไซมอนเองก็อดไม่ได้ที่จะถามตัวเอง เพราะไซมอนก็ได้แสดงความคิดหลายๆ อย่างที่นึกถึงคนผิวขาวเป็นหลัก นึกถึงคนผิวขาวก่อน สุดท้ายเขาถึงเข้าใจว่าไม่ใช่แค่คนอื่นหรอกที่วางมาตรฐานในตัวตนของเขา แต่เขาก็เผลอไปวางมาตรฐานกับตัวตนของคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจเช่นกัน

การเปลี่ยนผ่าน

นิยายให้ความสำคัญกับคอนเซ็ปต์ของการเปลี่ยนผ่านมาก ช่วงที่ไซมอนและบลูตัดสินใจว่าจะเปิดเผยว่าตัวเองเป็นเกย์ มันช่างน่าลุ้นและน่าเอาใจช่วยมากๆ เราได้เห็นเลยว่าพวกเขารู้สึกว้าวุ่นใจมากแค่ไหน สับสนแค่ไหน ย้อนถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมาว่าควรบอกออกไปมั้ย? ถ้าบอกออกไปแล้วคนรอบตัวรับไม่ได้จะทำยังไง? ครอบครัว เพื่อน จะยังรับได้มั้ย? มันเหมือนกับว่าพวกเขากำลังจะก้าวข้ามผ่านเส้นเส้นหนึ่งไป และเป็นการก้าวผ่านที่จะไม่สามารถกลับมาที่เดิมได้อีกแล้ว ยิ่งครอบครัวของไซมอนเป็นครอบครัวที่เห็นทุกอย่างเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าจะทำอะไร จะมีแฟนสาว จะกินเบียร์ จะขับรถ จะดื่มกาแฟ พ่อแม่จะให้ความสนใจตลอด และมักจะสื่อสารออกมาในทำนองที่ว่า “เธอไม่เคยทำแบบนี้นี่” จนบางทีไซมอนก็รู้สึกอึดอัด และรู้สึกเหนื่อยหากต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองในสายตาพวกเขาอีกครั้ง ถามว่าการที่พ่อแม่ทำแบบนี้มันผิดมั้ย? มันก็ไม่ผิดหรอก เพราะอย่างที่แม่ของไซมอนบอก คนเป็นพ่อเป็นแม่เลี้ยงลูกมากับมือตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้น พอเห็นการเปลี่ยนแปลงนิดๆ หน่อยๆ ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น ซึ่งก็เป็นที่เข้าใจได้แหละ แต่พ่อแม่ก็ต้องอย่าลืมว่าหากลูกรู้สึกว่าตัวเองถูกจับตามากเกินไป ลูกก็จะไม่กล้าเปิดเผยออะไรกับพ่อแม่มากเท่าที่ควร และจะรู้สึกอึดอัดในที่สุด

นอกจากการให้ความสนใจที่มากเกินควรแล้ว ความคาดหวังของคนอื่นก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่เปรียบเสมือนเขตกั้นไม่ให้ไซมอนเลือกบอกความจริงกับคนสนิทๆ อย่างครอบครัวและเพื่อนสนิทเป็นคนแรกๆ แต่กลับไปบอกแอ๊บบี้ ผู้ซึ่งเพิ่งเริ่มมาเป็นเพื่อนไซมอนเมื่อไม่นานมานี้ก่อน นั่นเป็นเพราะไซมอนรู้สึกว่าการเพิ่งได้รู้จักกับแอ๊บบี้ ทำให้แอ๊บบี้ยังไม่ได้ร่างความคาดหวังในตัวไซมอนมากนัก ยังไม่มีไอเดียเป็นชิ้นเป็นอันว่าไซมอนต้องเป็นคนแบบนี้ นี่คือไซมอนที่ฉันรู้จัก เป็นต้น ซึ่งแตกต่างกับครอบครัวหรือเพื่อนสนิทอย่างนิคและลีอาห์ ตรงที่พวกเขาเห็นไซมอนมาตั้งแต่เด็กๆ และเข้าใจว่าไซมอนเป็นชายแท้มาตลอด พวกเขามีไอเดียชัดเจนว่าไซมอนคือใคร ดังนั้น การบอกความจริงต่อคนกลุ่มนี้ย่อมเป็นเรื่องน่าลำบากใจกว่า เพราะไซมอนกลัวว่าคนใกล้ตัวจะรับไม่ได้ที่เขาทำลายความคาดหวังหรือไอเดียที่คนใกล้ตัวสร้างขึ้นมาเนิ่นนาน ซึ่งจุดนี้ก็คล้องกับความสัมพันธ์ที่เปิดใจกันของไซมอนและบลู เพราะทั้งคู่ต่างไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ไม่ต้องกลัวว่าจะไปทำลายไอเดียของอีกฝ่ายที่มีต่อเรา

ตรงนี้เน้นย้ำให้เห็นเลยว่าสังคมรอบด้านสำคัญมาก แม้ว่าสมัยนี้ผู้คนจะเริ่มเปิดกว้างขึ้น ไม่ต่อต้านหนักเท่าสมัยก่อน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางสังคมยังคงไม่เข้าใจ ดังนั้น หากสังคมยอมรับ เข้าใจ ไม่กดดัน ก็จะช่วยให้คนกลุ่มนี้รู้สึกสบายใจขึ้น และรู้สึกว่าได้อยู่ร่วมเป็นหนึ่งในสังคมจริงๆ ไซมอนโชคดีมากที่มีครอบครัวและเพื่อนที่เข้าใจ ประเด็นดราม่าในจุดนี้จึงไม่เกิดขึ้น ถึงอย่างนั้น ไซมอนก็ยังต้องเผชิญกับการบูลลี่ของคนกลุ่มหนึ่งอยู่ดี ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากสังคมยังคงมองนำความแตกต่างระหว่างคนมาเป็นอาวุธทำร้ายซึ่งกันและกัน

Simon VS. The Homo Sapiens Agenda จึงเป็นหนังสือที่แฝงประเด็นทางสังคมไว้ได้อย่างดีเยี่ยม เป็นกระบอกเสียงที่ทำให้เราเข้าใจชาว LGBT มากขึ้น ได้เห็นกระบวนการเปลี่ยนผ่านของคนกลุ่มนี้ที่ยังอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้ Becky Albertalli ผู้เขียนที่เป็นจิตแพทย์ ที่สามารถเจาะลึกความรู้สึกของตัวละครได้อย่างเฉียบคม นอกจากประเด็นทางสังคมแล้ว ความสัมพันธ์ของตัวละครก็น่ารักกุ๊กกิ๊กและมีอารมณ์ขันชวนให้อ่านเรื่อยๆ เช่นกัน ใครที่ชอบนิยาย YA แนวไฮสคูลซึ่งมีประเด็น LGBT มาเป็นตัวดำเนินเรื่องหลัก แนะนำเลย 🙂

ส่งท้าย: ประโยคเด็ดๆ ที่อยากคัดเก็บไว้

“He talked about the ocean between people. And how the whole point of everything is to find a shore worth swimming to.”
ไซมอนอธิบายถึงกลอนที่บลูเขียน บทที่ 3 หน้า 18

“As far as I know, coming out isn’t something that straight kids generally worry about.”
ความคิดเห็นของไซมอนต่อการเผยตัวตน บทที่ 5 หน้า 55

“But I’m tired of coming out. All I ever do is come out. I try not to change, but I keep changing, in all these tiny ways. I get a girlfriend. I have a beer. And every freaking time, I have to reintroduce myself to the universe all over again.”
ไซมอนแสดงความเหนื่อยหน่ายใจต่อการเปลี่ยนผ่านในแต่ละครั้ง บทที่ 5 หน้า 56

“I mean, I feel secure in my masculinity too. Being secure in your masculinity isn’t the same as being straight.”
ไซมอนยืนยันว่าเขาก็มั่นในความเป็นชายของเขา แม้ว่าเขาจะเป็นเกย์ บทที่ 7 หน้า 65

“I guess it feels like I’m a part of something.”
ความรู้สึกของไซมอนเมื่อได้ห้อมล้อมไปด้วยเพื่อนและแสงสีเสียง ในงานพาเหรดของโรงเรียน บทที่ 7 หน้า 72

“People are shameless when it comes to cake. It’s a beautiful thing to see.”
ไซมอนอธิบายถึงเพื่อนที่เข้ามารุมล้อมเขาเพื่อแย่งกันกินเค้กวันเกิด บทที่ 9 หน้า 84

“Anyway, thanks for listening. Thanks for everything. It was such a strange, surreal weekend, but talking to you about it made it so much better.”
บลูพิมพ์แสดงความขอบคุณที่ไซมอนรับฟังเรื่องราวช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่เขาเจอเรื่องน่าอึดอัด บทที่ 14 หน้า 119

“A bigger part of me feels like I jumped over some kind of border, and now I’m on the other side realizing I can’t cross back.”
ไซมอนอธิบายความรู้สึกหลังเปิดตัวว่าตนเป็นเกย์ครั้งแรกกับแอ๊บบี้ บทที่ 16 หน้า 128

“You’re the hero tonight, Blue. You brought your own wall down. Maybe mine, too.”
ไซมอนอธิบายถึงกำลังใจที่ได้รับเมื่อรับรู้ว่าบลูได้เผยตัวตนกับแม่ของเขาไปแล้ว บทที่ 16 หน้า 128

“Once you come out, you can’t really go back in. It’s a little bit terrifying, isn’t it? I know we’re so lucky we’re coming out now and not twenty years ago, but it’s still really a leap of faith. It’s easier than I thought it would be, but at the same time, it’s so much harder.”
ความเห็นของบลู ต่อคำเปรียบเปรยที่ว่าการเผยตนเหมือนการก้าวข้ามเส้นแบ่งเขต บทที่ 16 หน้า 129

“Trying not to think about something is like playing freaking Whac-a-Mole. Every time you push one thought down, another one nudges its way to the surface.”
ไซมอนอธิบายถึงความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง บทที่ 17 หน้า 134

“As a side not, don’t you think everyone should have to come out? Why is straight the default? Everyone should have to declare one way or another, and it should be this big awkward thing whether you’re straight, gay, bi, or whatever.”
ความเห็นของไซมอนต่อการเผยตัวตน บทที่ 18 หน้า 146

“It is definitely annoying that straight (and white, for that matter) is the default, and that the only people who have to think about their identity are the ones who don’t fit that mold.”
ความเห็นของบลูต่อมาตรฐานของสังคม บทที่ 18 หน้า 147

“They put me in a box, and every time I try to nudge the lid open, they slam it back down. It’s like nothing about me is allowed to change.”
ไซมอนอธิบายความอัดอั้นตันใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของตัวเองในสายตาพ่อแม่ บทที่ 19 หน้า 162

“Nick and I look at each other.
“”I’m not holding your hand,” I tell him, smiling a little.
“”All right” – he nods – “but know that I would.””
บทสนทนาของไซมอนและนิค หลังจากที่ไซมอนเผยตัวกับนิค บทที่ 21 หน้า 178

“It’s like eleven o’clock on the night of your birthday, when you realize no one’s throwing you a surprise party after all.”
ความรู้สึกผิดหวังของไซมอนหลังจากที่คาดหวังว่าจะได้เจอบลู แต่ก็ไม่เจอ บทที่ 25 หน้า 205

“The problem is, I’m beginning to realize I hardly know anything about anyone.”
ไซมอนเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ค่อยใส่ใจรายละเอียดของคนรอบข้างเท่าไรนัก บทที่ 27 หน้า 211

“I guess I’m getting a little fucking tired of this. I’m trying not to let it touch me. I shouldn’t care if stupid people call me a stupid word, and I shouldn’t care what people think of me. But I always care.”
ไซมอนเผยให้เห็นถึงความเสียใจหลังโดนเพื่อนแกล้งเรื่องเป็นเกย์ บทที่ 27 หน้า 220

“I know I didn’t make it easy for you to come out. We’re very proud of you. You’re pretty brave, kid.”
ความรู้สึกของพ่อไซมอน หลังไซมอนเผยตัวกับครอบครัว บทที่ 30 หน้า 247

“You guys are so freaking obsessed with everything I do. It’s like I can’t change my socks without someone mentioning it.”
ไซมอนเผยถึงความอึดอัดที่พ่อแม่ให้ความสนใจกับเขามากเกินไป บทที่ 30 หน้า 248

“See, but you’re not a parent yet, so you can’t understand. It’s like – you have this baby, and eventually he starts doing stuff. And I used to be able to see every tiny change, and it was so fascinating.”
แม่ไซมอนอธิบายถึงเหตุผลที่พวกเขาให้ความสนใจกับไซมอน บทที่ 30 หน้า 249

“Because who you like can’t be forced or persuaded or manipulated. If anyone knows that, it’s me.”
ไซมอนรู้สึกผิดต่อแอ๊บบี้ หลังจากที่ช่วยมาร์ตินจีบแอ๊บบี้ บทที่ 30 หน้า 255

“The way I feel about him is like a heartbeat – soft and persistent, underlying everything.”
ไซมอนอธิบายถึงความรู้สึกที่มีต่อบลู บทที่ 30 หน้า 255

“And I like that we got to know each other from the inside out.”
ไซมอนเผยถึงความรู้สึกที่เขาและบลูได้รู้จักตัวตนของต่างฝ่ายก่อน บทที่ 31 หน้า 258

“White shouldn’t be the default any more than straight should be the default. There shouldn’t even be a default.”
ไซมอนแสดงความคิดเห็นถึงมาตรฐานทางสังคม บทที่ 32 หน้า 269

“And no, I don’t have that kind of a history with Abby. But that’s what made it easier. There’s this huge part of me, and I’m still trying it on. And I don’t know how it fits together. How I fit together. It’s like a new version of me. I just needed someone who could run with that.”
ไซมอนอธิบายให้ลีอาห์ฟังว่าทำไมเขาถึงเลือกเผยตัวกับแอ๊บบี้ก่อน แทนที่จะเป็นลีอาห์ บทที่ 33 หน้า 284

“It’s like the longer you sit with some shit, the harder it is to talk about.”
ลีอาห์แสดงความเข้าใจต่อความอึดอัดใจของไซมอน บทที่ 33 หน้า 285

“People really are like houses with vast rooms and tiny windows. And maybe it’s a good thing, the way we never stop surprising each other.”
ไซมอนสะท้อนมุมมองของบลู หลังเจอคนใกล้ตัวทำเรื่องเซอร์ไพรส์ บทที่ 35 หน้า 293

“I mean, that’s my family. Everything’s a freaking secret, because everything’s a big deal. Everything is like coming out.”
ไซมอนทบทวนนิยามของครอบครัวตนอีกครั้ง หลังเป็นฝ่ายได้รับรู้ความลับของน้องสาวเสียเอง บทที่ 35 หน้า 293

One thought on “รีวิว Simon VS. The Homo Sapiens Agenda (2015): ความสัมพันธ์ลับผ่านอีเมลของ 2 หนุ่ม

Add yours

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Blog at WordPress.com.

Up ↑

%d bloggers like this: