ออกตัวก่อนเลยว่าไม่เคยดู The Equalizer ภาคแรกมาก่อน แต่เมื่อดูจากตัวอย่างหนังก็รู้สึกว่าคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง น่าจะดูรู้เรื่องแหละ
และฉากในตัวอย่างที่เดนเซล วอชิงตันจัดการผู้ชายยกโขยงในห้องโรงแรม ก่อนจะขับแท็กซี่ออกไป ก็เป็นฉากที่เท่ดี
ซึ่งก็ถือว่าโชคดี เพราะแม้ว่าจะไม่เคยดูภาคแรกแต่ก็ดูภาคสองได้รู้เรื่องจริงๆ แต่ถ้าได้ดูภาคแรกด้วยก็คงจะรู้ลึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นและความเชื่อมโยงที่มีมาถึงภาคนี้ได้สนุกไปอีก
The Equalizer 2 เล่าเรื่องของโรเบิร์ต แม็คคอลล์ อดีตสายลับที่ตอนนี้เกษียณแล้ว ผันตัวมาเป็นคนขับ Lyft (ไม่ใช่ Uber!!) รับส่งผู้โดยสาร แต่ชีวิตของลุงก็ไม่ได้น่าเบื่อ เพราะหากเจอคนไม่ดีเมื่อไร ลุงก็พร้อมจะงัดวิชาเก่ามาจัดการคนร้ายให้ตายตกกันไปตามๆ กัน อยู่มาวันหนึ่ง ลุงแม็คก็ได้รับข่าวว่าเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวซึ่งเคยทำงานสายลับด้วยกันอย่างซูซาน พลัมเมอร์ ถูกฆ่า แน่นอนว่างานนี้ผู้ผดุงความยุติธรรมอย่างลุงแม็คไม่ปล่อยให้ผู้ร้ายลอยนวลไปแน่ๆ ลุงแกจึงเข้าไปสืบคดีของซูซาน รวมถึงคดีที่ซูซานกำลังสืบด้วย ทั้งหมดทั้งมวลนี้โยงไปสู่ตัวร้ายที่แท้จริงที่ลุงแม็คต้องตามไปเก็บล้าง
จริงๆ พล็อตมันก็มีแค่นี้ละ ไม่ถือว่าแปลกใหม่ เป็นพล็อตแนวหนังแอ็กชั่นทั่วไป ที่พอมีคนรู้จักถูกฆ่าก็ต้องตามไปล้างแค้น อะไรเทือกนั้น แต่เสน่ห์ของหนังเรื่องนี้คือพระเอกอย่างเดนเซล วอชิงตันที่แสดงได้ดีมาก คาแรกเตอร์ของลุงจะเป็นนักฆ่าเลือดเย็น ฆ่าคนได้หน้านิ่งมากเหมือนไม่รู้สึกอะไรเลย เป็นนักสู้ที่โคตรเก่ง แบบโคตรเทพ ไม่รู้ว่านี่เป็นข้อดีหรือข้อเสีย เพราะพอเทพขนาดนี้เราแทบไม่ต้องลุ้นอะไรมากกับฉากบู๊ รู้ว่าลุงแกชนะแน่ๆ เนื่องจากลุงแทบไม่ได้รับบาดแผลเลย คือจะเก่งไปไหนอะลุง ผู้ร้ายดูกระจอกไปเลย อาจจะเป็นเพราะผู้ร้ายในภาคนี้เคยถูกสอนโดยลุงแม็คมาก่อน ลุงแม็คเลยรู้ทัน รึเปล่า?? ที่สำคัญคือลุงแม็คจะเน้นการสู้แบบประชิดตัว อาวุธหลักที่ (หากอยากจะ) ใช้คือมีด นอกนั้นคือใช้ร่างกายล้วนๆ จึงทำให้ได้ดูฉากบู๊ที่ดิบและสุดมาก กรีดคอเลือดสาด หักนิ้ว หักคอ ใส่มาหมด เสียงนี่ดังกรอบๆ กันเลยทีเดียว
นอกจากฉากบู๊แล้ว ทุกๆ กิริยาท่าทางของลุงแม็คก็ดูสุขุมเยือกเย็น คำพูดคำจาก็คมลึกเชือดเฉือน มีปรัชญาชีวิตมาเผยแพร่เรื่อยๆ เราชอบเป็นพิเศษเวลาลุงแม็คมีปฏิสัมพันธ์กับไมลส์ เด็กหนุ่มผิวสีที่อาศัยอยู่ในย่านเดียวกัน ผู้ซึ่งมีพรสวรรค์ด้านศิลปะแต่ติดที่ว่ามีประวัติไม่ดีเรื่องการค้ายา สองคนนี้มีความสัมพันธ์แบบพ่อลูกผสมเพื่อน บางทีลุงแม็คก็มีดุด่าข่มขู่ไมลส์บ้าง แต่บางทีก็พูดคุยหยอกล้อกันฉันท์เพื่อน เป็นความสัมพันธ์ที่อบอุ่นดี
ทางด้านการดำเนินเรื่อง มีติดนิดนึงตรงที่ช่วงแรกของหนังนั้นเป็นการปูพื้นตัวละครซะนาน กว่าจะเข้าพล็อตหลักก็ปาไปเกือบครึ่งเรื่องแล้ว ซึ่งการดำเนินเรื่องช่วงแรกก็แอบเฉื่อยๆ นิดนึงในความคิดของเรา มีฉากบู๊แค่ไม่กี่ฉาก ส่วนใหญ่จะเป็นการอธิบายถึงความสัมพันธ์ของลุงแม็คกับคนรอบข้าง และเล่าภารกิจกู้ความยุติธรรมของลุงแม็คมากกว่า ข้อดีคือทำให้เราในฐานะคนไม่เคยดูภาคแรกพอจะเข้าใจว่าลุงแม็คมี background ยังไง แต่ข้อเสียคือมันทำให้เราหลุดไปพักนึงว่าสรุปพล็อตหลักคืออะไร
ช่วงครึ่งหลังเข้าสู่พล็อตหลักแล้ว เริ่มต้นเมื่อซูซานถูกฆ่าตายนั่นแหละ หลังจากนั้นลุงแม็คก็เริ่มดำดิ่งสู่การสืบค้นข้อมูลและหาตัวร้าย เริ่มไล่ล่ากัน และไฮไลท์ฉากบู๊คือฉากสุดท้ายที่ลากยาวนานมาก แต่เป็นฉากที่ลุ้นและสนุกมากเช่นกัน อาจจะเพราะบู๊กันในฉากที่สภาพอากาศและ sound effect เป็นใจสุดๆ ยิ่งทำให้ฉากบู๊ดูสนุกยิ่งขึ้นไปใหญ่
สรุปคือ The Equalizer 2 ก็เป็นอีกหนึ่งหนังแอ็กชั่นที่สามารถเข้าไปดูเพลินๆ ได้ เราคงไม่สามารถรีวิวได้ลึกว่ามันดีหรือแย่กว่าภาค 1 ยังไง เอาเป็นว่าถ้าใครไปดูก็ทำใจไว้นิดนึงกับช่วงแรกๆ ของหนังที่จะยังไม่มีฉากบู๊สาดกระหน่ำมามากนัก แต่ถ้าใครชอบหนังแอ็กชั่นที่ไม่ได้แอ็กชั่นจ๋า มีปมดราม่าและ side story เสริมเข้ามา ก็ลองไปดูกันได้จ้า
ป.ล. ลุงเดนเซลดูไม่เหมือนคนอายุ 63 เลยอะ ทำไมดูเด็ก!!
Leave a Reply