DARK เป็นซีรีส์ที่เราได้ยินคำกล่าวขานมานานแล้ว ส่วนตัวก็แอบสนใจอยู่เหมือนกันด้วยหน้าหนังที่ดูเป็นแนว Thriller Sci-Fi ดูลึกลับ ๆ ดาร์ก ๆ สมชื่อ พอมีโอกาสเหมาะ ๆ เลยไล่ดูตั้งแต่ซีซั่น 1 จนถึงซีซั่น 3 ซึ่งเป็นซีซั่นสุดท้ายเลย
โดย DARK นั้นเป็นซีรีส์สัญชาติเยอรมันเรื่องแรกที่ได้ลงใน Netflix โลเกชั่นหลัก ๆ ของซีรีส์ตั้งอยู่ที่เมืองวินเดน เมืองเล็ก ๆ ท่ามกลางป่าเขาในเยอรมนี เรื่องเกิดขึ้นเมื่อมีเด็กทยอยหายตัวไปอย่างลึกลับ เหล่าตัวละครหลักพยายามสืบค้นและพบว่าถ้ำแห่งหนึ่งใกล้ ๆ โรงงานนิวเคลียร์มีความเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของเด็ก ๆ และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการค้นพบว่าพวกเขาสามารถเดินทางข้ามเวลาได้! ซึ่งปรากฏการณ์การข้ามเวลานี้เกี่ยวโยงกับคนจาก 4 ครอบครัว พัวพันกันวุ่นวายไปหมดหลายยุคหลายสมัย
ภาพรวมของซีรีส์

ซีรีส์มีทั้งหมด 3 ซีซั่นอย่างที่บอกไป แต่ละตอนมีความยาวเฉลี่ย ๆ ประมาณ 1 ชั่วโมง สามารถดูเพลิน ๆ ยาว ๆ ได้ แต่ต้องขอเตือนว่าโดยภาพรวมซีรีส์ไม่ได้ดำเนินเรื่องแบบกระชับฉับไวขนาดนั้น หลายครั้งมีความอืด ๆ เอื่อย ๆ ชวนหลับได้เหมือนกัน ต้องใช้ความอดทนกันนิดนึง บวกกับปมต่าง ๆ ที่ประดังประเดมาไม่หยุด ชนิดที่ว่าถ้าเผลอใจลอยคิดถึงเรื่องอื่นแป๊บเดียว อาจจะตามเรื่องไม่ทันแล้วก็ได้ ฉะนั้นก่อนจะดูซีรีส์ขอให้มั่นใจว่าอยู่ในสภาวะตาสว่างฮะ
ในด้านการดำเนินเรื่อง ด้วยความที่ซีรีส์มีพล็อตเป็นเรื่องการเดินทางข้ามเวลาอะเนอะ ซีรีส์จะตัดสลับทามไลน์ไปมา เดี๋ยวอยู่ปัจจุบันบ้าง เดี๋ยวย้อนอดีตบ้าง เดี๋ยวย้อนอดีตของอดีตบ้าง ซึ่งภาคแรกอะไม่เท่าไรหรอก ยังมีหลัก ๆ แค่ 3 ยุคสมัย แต่พอมาซีซั่น 2-3 นี่เริ่มจะมีหลายยุคละ หลาย scenario อีก
แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องชื่นชมเลยคือถึงแม้ว่าซีรีส์จะเล่าเรื่องจากหลายยุคสมัย สลับกันไปมาเป็นว่าเล่น แต่ซีรีส์ออกแบบฉากและตัวละครแบบที่ช่วยให้เรา recognize ได้ง่ายว่าตอนนี้ซีรีส์เล่าเรื่องของยุคไหน ในฝั่งของตัวละคร ตรงนี้ขออวยยศทีมงานแคสติ้งมากที่สามารถหาคนที่หน้าตาคล้ายกัน มาเล่นบทบาทของตัวละครในแต่ละช่วงอายุได้แนบเนียนมาก แบบดูแล้วเชื่อเลยว่าคนนี้พอแก่แล้วจะหน้าตาแบบนี้จริง ๆ ซึ่งจำนวนตัวละครของเรื่องนี้ถือว่าค่อนข้างเยอะเลย ช่วงแรก ๆ อาจจะจำหน้าจำชื่อกันไม่ได้ แต่พอดูไปสักพักก็จะเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตาเอง
อีกสิ่งที่ชอบคือภาพและเสียง เกรดสีของหนังออกแบบมาได้ Dark สมชื่อ มีความหม่น ๆ มัว ๆ ดูแล้วรู้สึกเย็นเยียบ ให้ความรู้สึกไม่ชอบมาพากลเหมือนเรื่องราวในเรื่อง ส่วน Sound Effect ก็มีความบิ้วด์ คือถ้าขาดเสียงนี่อรรถรสหายเกินครึ่งเลย
ในฝั่งของแต่ละซีซั่นนั้น ก็มีความแตกต่างกันระดับนึง โชคดีที่เราได้ดูติดต่อกันสามซีซั่นเลยไม่มีเว้น ทำให้ยังพอตามเรื่องทันอยู่ คิดว่าถ้าเว้นช่วงนี้ต้องลืมรายละเอียดแน่ ๆ
สรุปความเด่นของแต่ละซีซั่นแบบไว ๆ
ซีซั่นแรกนั้นจะเหมือนการปูเรื่อง หลาย ๆ อย่างยังคงเป็นปริศนา ระหว่างทางซีรีส์ทยอยโยนปมมาเรื่อย ๆ และยังไม่แก้ปมซะทีเดียว เราจะยังไม่เห็นภาพใหญ่ของเรื่องราวเท่าไร
ซีซั่นที่สอง เป็นซีซั่นที่เราชอบที่สุด และคิดว่าสนุกที่สุด เพราะซีรีส์เริ่มจะเผยข้อมูลบางอย่างออกมาแล้ว บวกกับการเล่าเรื่องที่ countdown ก่อนถึงวันสิ้นโลก ทำให้ตื่นเต้นทุกตอนว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
ซีซั่นสุดท้าย เป็นซีซั่นที่ซับซ้อนและงงที่สุด เพราะมีโลกคู่ขนานโผล่มาอีกหนึ่ง ทำให้ทามไลน์ในการเล่าเรื่องเพิ่มขึ้นรัว ๆ ตัวละครเดิมก็มีหลายเวอร์ชั่นอีก เป็นซีซั่นที่ถ้าไม่ตั้งใจดูอาจจะหลุดไปเลย
เก็บตกประเด็นที่น่าสนใจในซีรีส์ (มีสปอย)

การข้ามเวลา
เรื่องนี้คือตัวละครข้ามเวลากันเป็นว่าเล่น ง่ายอย่างกับแค่ขับรถไปมา ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ย้อนอดีตเท่านั้น แต่ยังสามารถไปในอนาคตได้ด้วย เรียกได้ว่าข้ามไปข้ามมาในห้วงเวลาได้อย่างอิสระเสรีสุด ๆ
ซึ่งการข้ามเวลานี่แหละ ทำให้เกิดเรื่องราววิปลาสขึ้นมากมาย และไม่ว่าเหตุการณ์จะเกิดในช่วงเวลาไหน จะในอนาคตหรืออดีต มันล้วนส่งผลกระทบต่อช่วงเวลาอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน เกิดเป็น “ลูปเวลา” ที่วนเวียนไปเรื่อย ๆ ไม่สิ้นสุดสักที
การวนลูป
นอกจากเรื่องข้ามเวลาแล้ว เรื่องการวนลูปของสถานการณ์ก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ซีรีส์ให้ความสำคัญ โดยลูปนี้จะเรียกได้ว่ามีหลายลูปก็ได้ เพราะมันจะมีบางสถานการณ์ที่ตัวละครทำในสิ่งที่ต่างกันออกไป แยกออกมาเป็นอีกลูปนึง
อันนี้โดยส่วนตัวนะ เราคิดว่าการวนลูปนี้ ชวนให้นึกถึงการเวียนว่ายตายเกิดชอบกล คือตัวละครจะต้องเจออะไรซ้ำ ๆ พบความเจ็บปวดซ้ำ ๆ เหมือนมนุษย์ที่พอตายแล้วเกิดใหม่ก็ต้องเจอการเกิดแก่เจ็บตายซ้ำไปซ้ำมา
ซึ่งสุดท้ายแล้ว การจบลูปไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าตัวละครเปลี่ยนแปลงจุดไหนของช่วงเวลาไหน แต่กลับเชื่อมโยงไปถึงอีกโลกหนึ่งซึ่งเป็นโลก Original โลกที่สร้างโลกของตัวละครขึ้นมา และการจบลูปทั้งหมด คือการทำลายต้นตอที่ทำให้เกิดโลกของตัวละคร นั่นหมายความว่าตัวละครที่เราติดตามความเป็นอยู่เขามาตลอดก็จะต้องสลายร่างไปกลายเป็นเพียงฝุ่นละอองราวกับไม่เคยมีอยู่จริง ชวนให้ใจหายแวบ
ดูแล้วเหมือนหลักของศาสนาพุทธในจุดที่หากอยากหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ก็จะต้องสามารถละทิ้งตัวตนของเราได้ ปล่อยวางกับทุกสิ่งอย่าง ไม่ยึดติดกับของรอบกาย
ก็คล้าย ๆ กับตอนสุดท้ายของหนังที่ตัวละครต้องยอมรับความจริงว่าตัวเองไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่ตั้งแต่ต้น และพร้อมที่จะละทิ้งตัวตนและสิ่งที่ตนเองรัก เพื่อจบลูปนรกนี่สักที
ความวิปลาสในครอบครัว
ในซีรีส์จะมีตระกูลที่เกี่ยวข้องกันหลัก ๆ 4 ตระกูล ซึ่งตัวละครล้วนแล้วแต่ไปมาหาสู่กันในแต่ยุคสมัยได้
สิ่งหนึ่งที่ซีรีส์ท้าทายจิตใจคนดูมาก คือการหย่อนสถานการณ์ที่เรามักจะคิดว่าหนังทั่วไปไม่กล้าเล่นหรอก มันสุ่มเสี่ยงชะมัด แต่กับ Dark งัดมาหมดทุกอย่างที่เราคาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นการฆ่ากันเองในครอบครัว การมีสัมพันธ์สวาทกับเชื้อสายตัวเอง ซึ่งพออ่านอย่างนี้อาจจะร้องยี้ แต่เอาเข้าจริงหนังนำเสนอในรูปแบบที่ไม่ได้น่าเกลียดอะไร ออกจะเป็นในเชิง “โห เล่นงี้เลยเหรอ” มากกว่า

ความเปลี่ยนแปลงของตัวละคร
โดยเฉพาะตัวละครอย่าง “โยนาส” พระเอกหน้าใสที่ต่อมากลายเป็นลุงอำมหิตที่ฆ่าได้แม้กระทั่งแม่และคนรักของตัวเองเพียงเพื่อให้ตัวเองบรรลุจุดประสงค์ มันยิ่งตอกย้ำว่าคนเราสามารถโดนกาลเวลาเปลี่ยนแปลงได้จริง ๆ แม้ว่า ณ ตอนนี้เราอาจจะคิดว่าเราไม่มีทางกลายเป็น “คนแบบนั้น” ได้หรอก แต่อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
ความเจ็บปวดสิ้นหวังของตัวละคร
หนึ่งในตัวละครที่เรารู้สึกเศร้าแทนมาก ๆ คือ “อูลริค” นายตำรวจที่ย้อนเวลาตามหาลูกชายที่หายไป แต่ดันย้อนไกลไปหน่อยจึงคลาดกัน แถมยังไปก่อคดีทำให้ตัวเองติดคุกซะนาน กว่าจะได้เจอลูกที่ย้อนเวลามาก็ 33 ปีให้หลัง คือแก่ไปมากแล้ว มันหดหู่นะที่รู้ว่าตัวเองจะต้องแก่ตายในช่วงเวลาที่ไม่ใช่ยุคตัวเองด้วยซ้ำ แถมยังไม่ได้อยู่กับคนที่รักอีก ต้องโดดเดี่ยวมาก ๆ
สรุปรวม

DARK เป็นซีรีส์ที่ดีสมคำร่ำลือ นับถือคนเขียนบทมากที่สามารถผูกโยงเรื่องราวและปมต่าง ๆ ไว้ได้ เล่นเอางงไปหลายตลบ ดูจบแล้วยังต้องมาหาสปอยอ่านเพิ่ม เพราะยอมรับเลยว่าบางช่วงของหนังเราก็หลุด ๆ ตามไม่ทัน ได้สปอยช่วยไว้เลยเข้าใจมากขึ้น
ซีรีส์จะดำเนินเรื่องแบบเนิบ ๆ เนือย ๆ นิดนึง ถ้าใครคาดหวังความลุ้นระทึกตื่นเต้นแบบหัวใจเต้นแรงอาจจะผิดหวัง เพราะหลาย ๆ ช่วงก็เอื่อยจนจะหลับได้เลย แต่ถ้าใครสู้ไหวก็อยากให้ลองดูสักตั้ง เพราะนี่เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ท่องเวลาคุณภาพดีที่ไม่อยากให้พลาดเลย
Leave a Reply