The Adam Project หนังที่เลือกดูแบบแรนด้อม ๆ ในบ่ายวันเสาร์ที่ต้องการดูหนังสักเรื่อง พอเห็นว่ามี Ryan Reynolds ก็พอเดาได้ว่าหนังจะมาสไตล์ไหน ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเพราะหนังมีความกวนตีนสไตล์พี่แก แถมด้วยความลุ้นระทึกแบบหนัง Sci-Fi & Action ก็ช่วยให้หนังสนุกขึ้นมาก
The Adam Project เล่าเรื่องในปี 2050 ที่การเดินทางท่องเวลาเป็นเรื่องธรรมดาเหมือนขับเครื่องบิน พระเอก “อดัม” (Ryan Reynolds) ขโมยยานมาเพื่อตั้งใจจะย้อนเวลาไปในปี 2018 เพื่อตามหา “ลอร่า” (Zoe Saldana) แฟนสาวของเขาที่หายตัวไป แต่เกิดเหตุขึ้นทำให้พลาดตั้งช่วงเวลาผิด วาร์ปไปปี 2022 แทน ซึ่ง ณ ที่นั่นเขาก็ได้เจอ “อดัม” (Walker Scobell) ตัวเขาเองในวัย 12 ปีที่ปากซ่าไม่แพ้กัน การผจญภัยของอดัมสองวัยจึงเริ่มต้นขึ้น

สปอยล์เล็กน้อย ไม่มาก
หนังมีความยาวประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที ซึ่งถือว่ากำลังดี ดำเนินเรื่องได้กระชับ มีหลายฟีล ทั้งบู๊แอ็กชั่น ทั้งดราม่าซึ้งแนวครอบครัว ทั้งไดอะล็อกกัดจิกหน้านิ่ง ๆ โดยรวมถือว่ากลมกล่อมดีเลย ซึ่ง Ryan Reynolds ก็เก่งกับบทแนวนี้อยู่แล้ว
จุดที่เราชอบของหนังคือการให้พระเอกในวัยผู้ใหญ่มาปะทะกับตัวเองในวัยเด็ก ซึ่งก็ไม่ใช่แค่เพียงสบตาแล้วจากไป แต่มีปฏิสัมพันธ์ราวกับเป็นคนในยุคเดียวกัน ถึงขั้นหอบข้าวของข้ามเวลาไปด้วยกันอีก เป็นเหมือนคู่ซี้ที่ตะลุยไปด้วยกัน ซึ่งมันสนุกดีที่ได้เห็นคนคนเดียวกันแต่ต่างวัยได้มาปะทะฝีปาก ต้องขอบอกว่าพระเอกนั้นปากจัดตั้งแต่เด็ก ตอนโตก็ยังปากจัด มันเลยสนุกตรงนี้
น้อง Walker Scobell ในบทอดัมรุ่นเล็กนั้นเล่นได้ดีทีเดียว แอบคิดว่าน้องมีความหน้าตาละม้ายคล้าย ๆ Ryan อยู่ด้วย อีกทั้งการแสดงที่เข้าขากัน ตบมุกกันได้ลื่น ๆ ต้องทำบุคลิกเหมือนกัน ก็แสดงได้ดีจนทำให้เราเชื่อได้ว่าเด็กนี่จะโตไปเป็นอดัมร่างบึ้กจริง ๆ

ในฝั่งของฉากแอ็กชั่นนั้นก็ถือว่าทำได้เพลินตา ซีจีมาครบ พระเอกมีเครื่องไม้เครื่องมือในอนาคตที่ดูล้ำสมัย แถมศัตรูที่มาก็แสดงความเล่นใหญ่ด้วยการส่งทหารชุดเกราะมาบ้าง เอายานแม่มาไล่ยิงบ้าง จนทำให้ลุ้นแทนพระเอกที่ดูเหมือนไม่ค่อยได้เตรียมตัวอะไรเท่าไร ไหนจะมีเด็กติดสอยห้อยตามอีก
และถึงแม้หนังจะเริ่มเรื่องด้วยการตามหาแฟน แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ค่อยมีฉากสวีตอะไรมากมาย ลอร่าที่แสดงโดย Zoe Saldaña โผล่มาแค่แป๊บเดียวเท่านั้น และส่วนใหญ่ก็มาแสดงสกิลบู๊มากกว่าจะมาโปรยความโรแมนติกกับพระเอก พล็อตเรื่องในฝั่งความรักจึงไม่ค่อยเด่นเท่าไรในความรู้สึกของเรา

สิ่งที่เด่นและเหมือนจะมาแย่งซีนทีหลังคือความซึ้งแบบครอบครัว ซึ่งหนังพลิกไปให้พระเอกตามหาพ่อที่ตายไปแล้วแทน ตรงนี้ฉากที่ Mark Ruffalo ในบทพ่อได้มาเจอลูก ๆ ทั้งสองวัยนั้นเป็นอะไรที่บันเทิงดีมาก เหมือนงานรวมญาติดี ๆ นี่เอง และยิ่งต่อยอดความซึ้งไปอีกเพราะลูก ๆ ล้วนรู้ว่าพ่อจะตายในอนาคตอันใกล้ ฉากท้าย ๆ ที่พ่อกับลูกเปิดใจต่อกันก็คือน้ำตาซึมเลย อ้อ แล้วก็ต้องไม่ลืมความสัมพันธ์ของอดัมกับแม่ (Jennifer Garner) ด้วย ที่ตอนเด็ก ๆ อดัมก็มักจะปากหมาใส่แม่ ต้องให้อดัมรุ่นโตมาสั่งสอน ทำให้ตอนหลัง ๆ อดัมเด็กก็แสดงความรักกับแม่มากขึ้น

ทางด้านพล็อตเดินทางข้ามเวลาและกลไกเบื้องหลัง สารภาพว่ามีตามไม่ทันรายละเอียดหลายจุด อาจจะเพราะมันค่อนข้าง sciencific มาก ๆ บวกกับหนังไม่ได้เล่าแบบชัดแจ้งเท่าไรนัก บางจุดจึงอาจจะยังไม่เคลียร์เท่าไร แต่โดยรวมถ้าดูผ่าน ๆ ก็ถือว่าโอเค
สรุปคือ The Adam Project เป็นหนังสไตล์ Action + Sci-fi ที่ให้ความบันเทิงได้ดี ยังมีกระตุ้นต่อมน้ำตาด้วยดราม่าครอบครัวด้วยนิดนึง ใครชอบแนวเดินทางข้ามเวลาน่าจะถูกใจ โดยเฉพาะคนที่มักจะลุ้นให้คนในอนาคตไปปะฉะดะกับคนในอดีตแบบโดยตรง (เราคนนึงแหละ) อีกทั้งไดอะล็อกคำพูดสไตล์กวน ๆ นั้นก็ทำให้หนังหยอดความตลกไว้เรื่อย ๆ แม้จะในสถานการณ์ที่เข้มข้นสุด ๆ เป็นหนังเบาสมองย่อยง่ายที่ใคร ๆ ก็น่าจะดูได้ 🙂
Leave a Reply