App War แอปชนแอป เป็นอีกหนึ่งหนังไฮไลต์ในช่วงปี 2018 ที่เพิ่งเข้า Netflix เมื่อไม่นานมานี้
จุดเด่นของหนังคือเป็นหนังไทยเรื่องแรก ๆ (น่าจะเรื่องแรก รึเปล่า) ที่เอาเรื่องสตาร์ตอัปมาเป็นพล็อตหลักของเรื่อง นั่นจึงทำให้หลาย ๆ คนโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่สนใจกัน และตัวหน้าหนังก็ดูฉูดฉาดสะดุดตา พอรู้ว่าเข้า Netflix เราที่ยังไม่ได้ดูก็เลยต้องรีบหาเวลาเปิดดูสักหน่อย
App War เล่าเรื่องของสตาร์ตอัปเจ้าของ 2 แอปพลิเคชั่นที่มีจุดขายเหมือนกันเดี๊ยะ คือเป็นแอปฯ หาเพื่อนตี้ที่ดึงเอาคนที่สนใจอะไรเหมือน ๆ กันให้มาเจอกัน ตัวละครหลักคือ “บอมบ์” (ณัฏฐ์ กิจจริต) หนุ่มโปรแกรมเมอร์ฝั่งแอปฯ Inviter และ “จูน” (จิงจิง ยู) สาว Co-Founder ฝั่งแอปฯ Amjoin
ทั้งคู่บังเอิญได้เจอกันตอนแข่งสตาร์ตอัปรอบก่อนที่จะมาทำแอปฯ เพื่อนตี้ และทั้งคู่ก็ถูกชะตากันและกันมาก ประมาณว่าเจอคนชอบอะไรแปลก ๆ เหมือนกันก็เลยคลิก นับจากนั้นมา ดูเหมือนว่าจุดนี้จะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ทั้งคู่หันมาสร้างแอปฯ เพื่อนตี้ และนั่นก็ทำให้ 2 แอปฯ นี้ต้องแข่งขันกันเพื่อชิงเงินลงทุนจากเหล่านักลงทุนให้ได้

ซึ่งไอ้การ “แข่งขัน” ที่ว่านี่ จะให้เล่นตามสไตล์สุจริตทั่วไปก็อาจจะจืดไปหน่อย ทั้งคู่เลยคิดกลโกงมาโค่นล้มอีกฝ่าย นั่นก็คือการส่งไส้ศึกไปแฝงตัวอยู่ในสตาร์ตอัปคู่แข่ง โดยฝั่ง Inviter ส่ง “ไต๋” (ทู สิราษฎร์) หนุ่ม UI Designer ท่าทางติสต์ ๆ มึน ๆ ไป ส่วนฝั่ง Amjoin ก็ส่ง “น้องมายด์” (อร BNK48) น้องนักศึกษาฝึกงานสาววัยใสไปเป็น PR ให้อีกฝั่ง
ความเข้มข้นของการแข่งขันทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะที่ความสัมพันธ์ของบอมบ์และจูนก็เข้มข้นไม่แพ้กัน เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทั้งคู่รู้สึกดี ๆ ต่อกัน แต่ด้วยสถานะที่เป็นคู่แข่งทางธุรกิจอย่างนี้ มันเลยมีความท้าทายมากว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะรอดมั้ย
ตัวหนังมีความยาวประมาณ 2 ชั่วโมงนิด ๆ ซึ่งเป็น 2 ชั่วโมงที่ให้ความบันเทิงดีมาก หนังดำเนินเรื่องได้อย่างสนุกไม่มีแผ่ว มีการเล่าเรื่องที่รวดเร็วทันใจ เนื้อหาย่อยง่ายไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก พวกศัพท์เฉพาะวงการสตาร์ตอัปก็มีหลุดมาบ้าง แต่ก็จะมาพร้อมคำอธิบายให้คนนอกวงการเข้าใจกันได้
ตัวนักแสดงส่วนใหญ่นั้นไม่ได้เป็นเบอร์ใหญ่ แต่ก็คุ้นหน้าคุ้นตาหลายคนเหมือนกัน ที่คุ้นสุดคงหนีไม่พ้นเจ้าของบทน้องมายด์อย่าง อร BNK ซึ่งเรื่องนี้เธอก็เล่นบทน้องฝึกงานได้คิกขุอาโนเนะ ฉากที่ต้องออเซาะออดอ้อนก็เชื่อว่าโอตะหลายคนน่าจะเคลิ้มกันไปเลยทีเดียว อีกหนึ่งคนที่มาสร้างความชูรสให้หนังได้ แม้จะไม่ได้มีฉากเยอะ ก็คือพี่เอ็ด 7 วิ หัวหน้าทีมแก๊งยิงเลเซอร์ ที่โผล่มาทีก็สร้างความครึกครื้นได้ตลอดจริง ๆ

หนังเล่าประเด็นสตาร์ตอัปด้วยการบอกตรง ๆ ไม่โลกสวยเลยว่า สตาร์ตอัปนั้นไม่ง่าย มีเพียง 2% เท่านั้นที่จะอยู่รอดและประสบความสำเร็จ วงการนี้มันเสี่ยงมาก แต่เด็กรุ่นใหม่หลายคนก็มองว่ามันเป็นอีกทางเลือกที่แสนจะว้าวเมื่อเทียบกับการทำงานในออฟฟิศ อีกทั้งเทคโนโลยีต่าง ๆ ในยุคนี้ก็เอื้อให้เกิดโอกาสการสร้างธุรกิจมากมาย จึงไม่แปลกที่จะมีหลายคนเข้ามาเล่นในวงการนี้
สำหรับประเด็นทางธุรกิจนั้นไม่ได้หนักมาก ไม่ได้เครียด คงเพราะตัวหนังค่อนข้างวางตัวเองให้เป็นสไตล์คอมเมดี้บวกโรแมนติกนิด ๆ ด้วย การดูหนังเรื่องนี้จึงเป็นการผ่อนคลายแบบ 100% ไม่ได้มีความวิชาการเข้ามา ใครที่คาดหวังว่า พล็อตสตาร์ตอัปจะต้องเข้ม ๆ ห้ำหั่นกัน อาจจะผิดหวังกันไป
พอหนังมาแนว Romcom แบบนี้ อีกจุดนึงที่ขาดไม่ได้เลยก็คือความสัมพันธ์ของพระนางที่เกิดท่ามกลางสงครามแอปฯ

บอมบ์กับจูนเจอกันโดยบังเอิญ และค้นพบว่าทั้งคู่ต่างก็ชอบอะไรคล้าย ๆ กัน ชอบกินอาหารอินเดียเหมือนกัน ชอบไปยิงเลเซอร์เหมือนกัน ซึ่งการจะเจอคนที่ชอบอะไรเหมือนกัน และคุยกันได้ถูกคอขนาดนี้ มันไม่ง่ายเลย
แต่เมื่อทั้งคู่ต้องกลายเป็นคู่แข่งกัน มิตรภาพที่ก่อตัวขึ้นก็ค่อย ๆ โดนกีดกันด้วยหน้าที่การงาน แม้ทั้งคู่จะพยายามประคองมันไว้ ด้วยการทำสนธิสัญญาจับมือว่าจะแยกงานกับเรื่องส่วนตัวออกจากกัน แต่สุดท้ายเพราะการที่ทั้งคู่เล่นกลโกงมาตั้งแต่ทีแรก มันก็ส่งผลให้ความสัมพันธ์ในจุดหนึ่งไปต่อไม่ไหว
ซึ่งเราว่าเอาเข้าจริง ๆ ทั้งคู่สามารถแยกงานกับเรื่องส่วนตัวได้นะ แต่เพราะมันมีเรื่องของการเล่นไม่ซื่อโผล่มา เลยทำให้เสียความรู้สึกตาม ๆ กันไป ถ้าทีมแข่งขันกันแบบสุจริต ก็คงไม่มีเรื่องให้บาดหมางกัน
ในฝั่งของสมาชิกทีมคนอื่น ๆ ก็สร้างสีสันให้หนังได้ดี โดยฝั่ง Inviter มี “บิ๊ว” (หรั่ง อภิวิชญ์) หนุ่ม Marketing ผู้มีคารมคมคาย มีความทะเยอทะยานอยากเอาชนะสูง ในขณะที่ฝั่ง Amjoin ก็มี “ฝ้าย” (ธิชา วงศ์ทิพย์กานนท์) สาวโปรแกรมเมอร์ที่ต้องการเอาชนะไม่แพ้กัน สองคนนี้เป็นตัวละครที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ จนบางทีก็ก้าวล้ำเส้นความถูกต้องไป ทำให้เกิดเรื่องฉิบหายแบบไม่น่าให้อภัย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไอ้พฤติกรรมเหมือนเด็ก ๆ ไม่บรรลุนิติภาวะนี่แหละ ทำให้หนังสนุกและมีรสชาติมากขึ้น กระตุ้มต่อมด่าได้ดี

จุดที่เรายังคิดว่าเป็นจุดด้อยของหนัง เราคิดว่าบางฉากมีความ emotional เทเข้ามาเยอะไปหน่อย ทำให้หนังดราม่าเกินเบอร์ และลีดไปสู่พฤติกรรมที่เว่อร์ ๆ เกินชีวิตจริง (หรือเป็นความตั้งใจของหนังนะ?) กับอีกจุดคือตัวละครมีพฤติกรรมก้าวร้าว หักหน้าคนในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสมเท่าไรในความคิดเรา ซึ่งถ้าใครดูก็น่าจะพอรู้ว่าเราหมายถึงฉากไหน

โดยรวมแล้ว App War เป็นหนังที่ทำได้ดีนะ ดีใจที่ได้เห็นหนังไทยมีพล็อตใหม่ ๆ แหวกแนวกับเค้า (แม้เราจะดูช้ากว่าชาวบ้านเค้าไป 4 ปีก็เถอะ ฮา) เนื้อเรื่องไหลลื่นดูแล้วสนุก ใครยังไม่ค่อยเข้าใจวงการสตาร์ตอัปก็สามารถดูได้ แต่ไม่แนะนำสำหรับใครที่คาดหวังเรื่องราวธุรกิจเข้ม ๆ นะ
Leave a Reply