ในฐานะคนที่เคยอ่านเว็บตูนต้นฉบับของ All of Us Are Dead หรือชื่อไทยคือ “มัธยมซอมบี้” มาแล้ว ค่อนข้างตั้งหน้าตั้งตากับเวอร์ชั่นซีรีส์เลย
โดยตัวเว็บตูนที่มีชื่อว่า “ตอนนี้…โรงเรียนของเรา” (ชื่อดั้งเดิม) นั้น เราอ่านจบเมื่อปีที่แล้ว (ต้นปี 2021) สารภาพว่ารายละเอียดบางอย่างของเว็บตูนก็ลืม ๆ ไปบ้างแล้ว พอมาดูเวอร์ชั่นซีรีส์ เลยเหมือนได้รื้อความทรงจำกลับมาอีกครั้ง แม้ว่าบางส่วนจะไม่เหมือนกับในเว็บตูนเลย

โพสนี้เลยอยากจะมีรีวิวในเชิงความรู้สึกหลังจากดูซีรีส์ เทียบกับเว็บตูนแล้ว อย่างไหนดีกว่ากัน แบบไหนที่เราชอบกว่า
–มีการสปอยล์เนื้อหาสำคัญทั้งของเว็บตูนและซีรีส์–
เนื้อเรื่องโดยคร่าว

ขอเล่าพล็อตของซีรีส์ละกัน เรื่องเกิดจากอีบยองชาน (Byeong-cheol Kim) ครูสอนวิทย์ฯ โรงเรียนมัธยมปลายฮโยซัน ฉีดสารบางอย่างเข้าร่างลูกชายที่มักจะโดนบูลลี่ โดยหวังว่าสารนี้จะทำให้ลูกชายแข็งแกร่งกล้าสู้คนมากขึ้น ปรากฏว่าสารนี้ดันทำให้ลูกกลายเป็นซอมบี้ซะงั้น ซึ่งสารที่ว่านี้ก็ถูกฉีดเข้าหนูทดลองในห้องแล็บที่โรงเรียนด้วย
ต่อมาหนูทดลองก็ไปกัดนิ้วเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งที่เข้ามาในห้องวิทย์ฯ เมื่อครูวิทย์มาเห็นอย่างนั้นก็เลยกักตัวเด็กคนนี้ไว้ แต่ไม่นานเด็กนี่ก็หนีออกไปได้และเริ่มกลายร่างเป็นซอมบี้กัดคนในโรงเรียน ก่อนจะถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล
ทีนี้ก็เดาได้ไม่ยากละ คนที่โดนกัดในโรงเรียนก็เริ่มกลายเป็นซอมบี้ ไล่กัดคนในโรงเรียนแบบไม่เลือกหน้า เชื้อระบาดอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง ไหนจะเชื้อที่หลุดออกไปจากนอกโรงเรียนอีก
แก๊งตัวเอกอย่างกลุ่มนักเรียน ม.5 จึงต้องหาทางต่อกรกับซอมบี้ ขณะเดียวกันก็ต้องคอยพยายามเอาชีวิตรอด หาทางหนีไปหลบในที่ปลอดภัยเรื่อย ๆ และติดต่อหาความช่วยเหลือจากข้างนอกที่วุ่นวายไม่แพ้กัน
ในแง่ของความสนุก
เว็บตูน: ช่วงแรก ๆ เนื้อเรื่องเฉื่อยมาก เฉื่อยจนคนอ่านแซวว่าอีก 10 ปีน่าจะจบ เราเริ่มรู้สึกว่าเรื่องมันสนุกก็ปาไปตอนที่ 40 แล้ว ตอนที่เริ่มมีตัวละครเฟี้ยว ๆ กล้า ๆ โผล่มา ทำให้เรามีตัวละครที่อยากเอาใจช่วย
ซีรีส์: สนุกตั้งแต่ตอนแรกยันตอนสุดท้าย ยิ่งช่วงตัดจบแต่ละตอนก็คือค้างคาใจอยากกดดูต่อให้รู้แล้วรู้รอด ถึงอย่างนั้นซีรีส์ก็มีช่วงพักบ้างเหมือนกัน ไม่ได้บู๊ไปตลอด และในซีรีส์ก็มีจุดที่งี่เง่าไม่สมเหตุสมผล ตัวละครทำเรื่องโง่ ๆ อยู่บ้าง แต่ถ้าดูแบบไม่คิดมากก็สามารถปล่อยผ่านไปได้
สรุปคือ เราให้คะแนนซีรีส์ในแง่ของความสนุกมากกว่า เพราะสนุกอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เหมือนเว็บตูนที่เพิ่งจะมาสนุกตอนกลาง ๆ ท้าย ๆ เรื่อง เราจำไม่ค่อยได้เท่าไรว่าเว็บตูนมีจุดไม่ make sense ในเชิงของพฤติกรรมตัวละครมั้ย แต่ในซีรีส์ก็มีหลายจุดที่ชวนให้อิหยังวะ อยากทึ้งหัวตัวเอง
ในแง่ของตัวละคร
เว็บตูน: ตัวละครเยอะ หนำซ้ำหน้าตาแต่ละคนมีความคล้ายกันราวกับเกิดจากท้องแม่เดียวกัน ผู้หญิงไว้ผมทรงเดียวกันหมด เป็นเรื่องยากที่จะจำหน้าจำชื่อใครได้แม่นหากคนคนนั้นไม่ได้มีวีรกรรมเด็ดดวงจริง ๆ ที่เราจำได้หลังอ่านจบมา 1 ปีก็มีแค่ อนโจ นายอน ซูฮยอก สาวแก๊งยิงธนู 2 คน ควีนัม ครูวิทย์ฯ ครูประจำชั้น เท่านั้นเอง
ซีรีส์: ตัวละครเยอะเหมือนกัน แต่ด้วยความที่ไม่ใช่ลายเส้นการ์ตูนอะเนอะ เป็นคนแสดงจริง ๆ เลยจำชื่อจำบทได้ค่อนข้างง่ายกว่า ดูตอนเดียวก็จำแต่ละคนได้แล้ว นอกจากนี้ในซีรีส์ก็มีตัวละครอื่น ๆ นอกรั้วโรงเรียนด้วย เช่น แก๊งตำรวจ แก๊ง ส.ส. หรือพ่อแม่ตัวเอก ก็เพิ่มมาจากเว็บตูนเหมือนกัน
สรุปคือ เราให้คะแนนซีรีส์ในแง่ของตัวละครที่จำง่าย และมีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ได้มีแค่ในรั้วโรงเรียนอย่างเดียว
ในแง่ของพล็อตต้นกำเนิดซอมบี้
เว็บตูน: ไวรัสมาจากท้องทะเล โดยคนแรกที่ติดก็คือลูกครูวิทย์ฯ นี่ละ ไปตกปลาแล้วติดมาแบบงง ๆ ครูวิทย์ก็พยายามหาทางช่วย ในเว็บตูนก็คือครูวิทย์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับไวรัสเลย
ซีรีส์: ไวรัสเป็นการคิดค้นมาจากครูวิทย์ฯ เอง โดยสกัดจากสารที่ทำให้สัตว์แข็งแกร่ง สู้กลับ เขาฉีดเข้าตัวลูกชายโดยหวังว่าลูกชายจะกลับไปจัดการพวกอันธพาลได้
สำหรับเรา เราให้คะแนนเว็บตูนในฝั่งของพล็อตต้นกำเนิดซอมบี้มากกว่า เพราะเวอร์ชั่นซีรีส์เรามองว่ามันแปลกมากที่พ่อซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์จะเสี่ยงเอาเชื้อฉีดเข้าลูกชายตัวเองสุ่มสี่สุ่มห้า ควรเอาไปทดลองกับสัตว์ให้ชัวร์ก่อนรึเปล่า
ในแง่ของตอนจบ
เว็บตูน: จบค่อนข้างสวย ตัวเอกบางคนรอดชีวิต โรงเรียนโดนระเบิด และแอบส่งท้ายนิดนึงว่าไวรัสกำลังจะแพร่ไปยังญี่ปุ่น เพราะมีชาวประมงโดนเชื้อจากทะเล เป็นการจบที่แฮปปี้แต่ก็ไม่แฮปปี้แบบ 100% ตามสไตล์พล็อตแนวนี้
ซีรีส์: ตัวเอกรอดชีวิตเยอะกว่าในเว็บตูน โรงเรียนโดนระเบิดเหมือนกัน แต่ด้วยความที่พล็อต origin ของไวรัสไม่เหมือนกัน เลยเล่นตอนจบแบบในเว็บตูนไม่ได้ ซีรีส์จบแบบงง ๆ ด้วยการที่ให้คนรอดไปเจอนัมรา (Yi-Hyun Cho) แล้วนัมราก็กระโดดตึกไปหาใครก็ไม่รู้
สำหรับเรา เราให้คะแนนเว็บตูนในฝั่งของตอนจบ เรารู้สึกว่ามันกลมกล่อม ฝั่งตัวเอกก็แฮปปี้เอนดิ้ง แต่ก็มีความตลกร้ายตรงที่ไวรัสยังจะไปโผล่ประเทศอื่น ในฝั่งซีรีส์เรารู้สึกว่า ถ้าไม่มีภาคต่อ มันจะงงโคตรงงว่าจบอะไรของมันวะ
ในแง่ของประเด็นทางสังคม
เว็บตูน: ไม่ได้เจาะลึกมาก เน้นไปที่การเอาชีวิตรอดของเด็กนักเรียนมากกว่า
ซีรีส์: มีทั้งเรื่องการบูลลี่ การท้องในวัยเรียน การทำงานล่าช้าของรัฐบาล การละเลยปัญหาของเยาวชน ซึ่งซีรีส์ใช้จุดนี้แหละเป็นตัวต้นเหตุซอมบี้แทน และในระหว่างการเดินเรื่องก็ทำให้เราหัวร้อนได้หลาย ๆ ครั้ง ที่ความช่วยเหลือไม่ส่งมาถึงเด็ก ๆ ตัวเอกสักที
เราให้คะแนนซีรีส์ในแง่ของประเด็นสังคมมากกว่า จุดนี้ทำให้พล็อตเรื่องมีมิติมากขึ้น มีอะไรให้เอากลับมาถกเถียงกันมากขึ้น สะท้อนความจริงในสังคม ในขณะที่เว็บตูนจะไม่ได้แตะตรงนี้มากนัก
มารีวิวในฝั่งของซีรีส์เพียว ๆ บ้าง

เราน่าจะคุ้นเคยกับพล็อตซอมบี้ของหนังเกาหลีพอสมควร ไม่ว่าจะเป็น Train to Busan, Kingdom, #ALIVE ในแวบแรกหลายคนอาจจะไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องนี้เท่าไรนัก เพราะมันก็ซอมบี้ซ้ำ ๆ กัน เพียงแต่เปลี่ยนฉากมาอยู่ในโรงเรียนมัธยม และตัวละครหลักก็เป็นเพียงกลุ่มนักเรียนมัธยมแทน
ตัวซอมบี้นั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่ เลือดท่วมตัวยังไงก็อย่างงั้น ขยับเหมือนเต้นป๊อปปิ้งยังไงก็อย่างนั้น ภาพลักษณ์ของซอมบี้จึงไม่ใช่อะไรที่ว้าวนัก เพราะคงเห็นกันจนชินตาแล้ว
ที่น่าสนใจสำหรับเรื่องนี้ก็คงเป็นการเปลี่ยนสถานที่ระบาดมาเป็นโรงเรียนนี่แหละ เราว่าโรงเรียนเป็นโลเกชั่นที่หลาย ๆ คนรู้สึก relate ได้ค่อนข้างเยอะ ไม่ได้รู้สึกว่ามันห่างไกลตัว และการที่ตัวละครเป็นเพียงเด็กมัธยม มันจึงยิ่งน่าสนใจว่าเด็กกลุ่มนี้จะหาทางเอาตัวรอดยังไงในสถานการณ์ที่ผู้ใหญ่ไม่ยื่นมือมาช่วยเลย
ซึ่งด้วยความที่ยังเป็นเด็ก ยังไม่บรรลุนิติภาวะ อีกทั้งอารมณ์ยังแปรปรวน การตัดสินใจหลาย ๆ อย่างเลยมีความมุทะลุ ขาดเหตุผลอยู่บ้าง หลาย ๆ ครั้งก็ชวนกุมหัวว่าแกจะทำแบบนั้นทำม้ายยย ไหนจะคนที่เห็นแก่ตัวแบบได้โล่อีก ถ้าใครดูแบบจริงจังก็คงหัวร้อน แต่ถ้าดูเอาสนุกก็…หัวร้อนอยู่ดี 555
นอกจากจะมีตัวละครแบบข้างต้นแล้ว ยังมีตัวละครแนวไม่รู้ร้อนรู้หนาว ทำตัวเฉื่อยทั้งที่อยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน มันเลยทำให้เรารู้สึกตะหงิด ๆ แกมรำคาญใจว่าน้องอย่ามัวแต่อึ้งโว้ยยย ถ้าไม่ใช่ตัวเอกก็คงโดนซอมบี้จับกินไปแล้ว
และด้วยความที่ซีรีส์เพิ่มมิตินอกเหนือจากซอมบี้เข้ามา มันเลยกลายเป็นซีรีส์ที่สะท้อนสังคมได้อย่างเนียน ๆ ตั้งแต่ประเด็นบูลลี่ละ ที่ไม่มีใครไยดีสนใจลูกชายครูวิทย์ฯ แม้กระทั่งครูใหญ่ก็ปล่อยให้เรื่องเงียบ ๆ ไปเพราะห่วงหน้าตาโรงเรียน จนสุดท้ายครูวิทย์ฯ ก็แค้นแทนลูก เป็นจุดกำเนิดให้เกิดซอมบี้ เรียกได้ว่าปัญหาเพียงนิดเดียวที่คนมองข้ามก็กลายร่างเป็นปัญหาระดับชาติได้ภายในแวบเดียว
ส่วนเหยื่อของการโดนบูลลี่นั้น นอกเหนือจากลูกชายครูวิทย์ฯ ก็ยังมีคนอื่น ๆ อีกที่ต้องจมจ่อมอยู่กับความ insecure และความเกลียดชังโลก บางคนก็คิดจะฆ่าตัวตาย บางคนก็หนีเอาตัวรอดคนเดียวไม่สนเพื่อนร่วมโลกคนอื่น ๆ หากพวกเขาถูก treat เหมือนมนุษย์คนหนึ่ง พวกเขาก็คงจะได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข ไม่ต้องรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนชายขอบที่เข้ากับใครก็ไม่ได้
ในฟากฝั่งของกลุ่มผู้บังคับบัญชา และทีมหน่วยกู้ภัย ก็มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเชื่องช้าในการรับมือสถานการณ์ ไหนจะการละเลยสถานที่สำคัญอย่างโรงเรียนอีกทั้ง ๆ ที่เหล่าเด็ก ๆ ก็พยายามส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกไปทุกทาง จนถึงกับกุมหัวว่าผ่านไปอีพีขนาดนี้แล้วพวกพี่ ๆ เพิ่งนึกถึงโรงเรียนกันเหรอ ทั้ง ๆ ที่โรงเรียนเป็นจุดกำเนิดของเชื้อด้วยซ้ำ แต่กลับไม่มีใครเหลียวแล แล้วพวกเฮลิคอปเตอร์ที่บินโฉบไปโฉบมาเหนือโรงเรียนนั่นอีก ทำไมถึงไม่ลงมาช่วยโรงเรียนสักทีฟะ
ดราม่าเล็กน้อยพอให้ไม่เหนื่อยเกิน
เห็นเป็นซีรีส์วิ่งสู้ฟัดอย่างนี้ แต่เรื่องนี้ก็มีความดราม่าอ่อนไหวเหมือนกันนะเออ เริ่มตั้งแต่บทรักสี่เส้าที่ใส่เข้ามาตั้งแต่ตอนแรกเริ่ม ไล่มาจนถึงความรักของพ่อแม่ที่เป็นห่วงลูกจนต้องพยายามตามหาลูก (ทั้งแม่ของชองซาน และพ่อของอนโจ) ต่อด้วยความเศร้าที่เหล่าตัวเอกต้องเห็นคนในครอบครัวกลายเป็นซอมบี้ไปต่อหน้าต่อตา เสียกำลังใจในการฮึดไปพอสมควร เรียกได้ว่าฉากนั้นน่าจะเป็นหนึ่งในฉากที่สะเทือนใจที่สุดแล้ว ไหนจะต้องเศร้า ไหนจะต้องหนี ผสมปนเปกันไปหมด
การใส่ความดราม่าเข้ามาในซีรีส์ก็ถือว่าทำได้ค่อนข้างโอเคนะ โดยเฉพาะจุดที่เล่นกับครอบครัว แต่ถ้าเป็นเรื่องเชิงชู้สาวยังไม่ค่อยอินเท่าไรนัก อาจจะเพราะมันไม่ค่อยมีฉากที่ทำให้รู้สึกว่าพวกเขาผูกพันกันเท่าไร และเส้นเรื่องโรมานซ์ก็ไม่ได้สำคัญกับเส้นเรื่องหลักขนาดนั้น น้ำหนักเลยค่อนข้างเบาบางไปมากเลย
ป.ล. ในเว็บตูนไม่มีโรมานซ์ไลน์นะ แค่วิ่งหนีซอมบี้หลายฉากยังเฉื่อยเลย อย่าใส่เข้ามาแหละดีแล้ว xD
ฉากโหดมั้ย

ต้องบอกว่า ไม่มีตอนไหนที่ไม่มีเลือดเลย ถ้าใครแพ้เลือดหรือความรุนแรง อาจจะต้องหลับตาข้างนึงดู เพราะฉากกัดแทะคนชนิดเห็นไส้เห็นพุงนั้นมีมาไม่ขาดสาย ไหนจะความรุนแรงตอนต่อสู้กับซอมบี้ในระยะประชิดอีก มุมกล้องก็คือไม่อ่อนโยนเลยจ้า
ตัวละครในดวงใจของเรา
ส่วนตัวเราชอบซูฮยอก (Park Solomon) กับชานซอง (Chan-Young Yoon) ซูฮยอกน่าจะเป็นหนึ่งในตัวละครที่น่ารำคาญน้อยที่สุดแล้ว เป็นคนใจ ๆ ที่พร้อมจะช่วยเพื่อน ไม่ค่อยสติแตกเท่าไร และหล่อ (เออ…ยอมรับก็ได้) ส่วนชานซองก็ใจ ๆ พอ ๆ กับซูฮยอก แม้จะไม่ได้มีสกิลบู๊เตะต่อยเท่ ๆ แบบซูฮยอก แต่ความว่องไวและสกิลการเอาตัวรอดก็ต้องยกให้ชานซองเลยที่ฉายเดี่ยวเองหลายรอบ และรอดมาได้แบบหวุดหวิด เรียกได้ว่าเป็น 2 คนที่โคตรหนังเหนียว และรักเพื่อนมากแบบไม่กลัวตัวเองตาย
อีกคนที่แทบจะซูฮกกราบเท้าคือ นัมโซจู (Jeon Bae-soo) พ่อของอนโจ (Ji-hu Park) ที่เสี่ยงชีวิตออกมาบู๊แหลกเพื่อตามหาลูกสาว ทางนี้คือลุ้นกับคุณพ่อทุกซีน คุณพ่อแทบจะกลายร่างเป็นซูเปอร์ฮีโร่ไปแล้ว
ตัวร้ายที่ไม่รู้จะเกลียดหรือขำดี
ยุนควีนัม (In-soo Yoo) อดีตลูกกระจ๊อกแก๊งนักเลงที่สามารถเอาชนะเชื้อไวรัสได้ กลายเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม มีพละกำลังแบบซอมบี้แต่ก็ยังมีสติสัมปชัญญะแบบมนุษย์ แค้นเคืองชานซองเป็นพิเศษเพราะสู้ 1 on 1 กับชานซองแล้วแพ้ เสียลูกกะตาไปข้างนึง เลยกลายร่างเป็นเงาแค้นตามหาชานซองทั่วโรงเรียน พวกเพื่อน ๆ ของชานซองเลยโดนหางเลขไปด้วย
ที่เรารู้สึกว่าควีนัมเป็นตัวร้ายที่ไม่รู้จะเกลียดหรือขำดี ก็เพราะนางมีความพยายามแปลก ๆ ที่ขนาดตกตึกมา 3 รอบแล้วก็ยังไม่ลดละ จนมีความรู้สึกว่า พี่เปลี่ยนมุกมั่งดีมะ ไหนจะการที่นางมักจะช้ากว่าแก๊งตัวเอกไป 1 สเต็ป เค้าไปไหนต่อไหนแล้ว แต่ควีนัมก็ตามไม่ทัน มันเลยให้ความรู้สึกบันเทิง ๆ ดีเหมือนกันที่ตัวร้ายวิ่งต้อย ๆ ตามกลุ่มตัวเอกไป
กับอีกจุดนึงที่เรารู้สึกว่า ควีนัมยังไม่สุด ก็ตรงเวลาต่อสู้กับกลุ่มตัวเอก ทั้งที่มันน่าจะง่ายมากกับการกัดทุกคนให้เหวอะ แต่ควีนัมเหมือนจะยั้ง ๆ มือ ทำให้สุดท้ายพวกตัวเอกก็เอาชนะตนได้ทุกที
ตัวร้ายในกลุ่มตัวเอกที่อยากถีบให้ตกหน้าต่าง
อีนายอน สาวสเว็ตเตอร์ชมพูที่รับบทโดย Lee Yoo-mi ที่เคยเล่นบทเรียกน้ำตาจากใน Squid Game มาแล้ว รอบนี้คาแรคเตอร์อีนายอนคือตัวร้ายในกลุ่มตัวเอกที่ทำให้เราอยากจะทะลุเข้าไปในจอ แล้วเขวี้ยงนางออกหน้าต่างให้จบ ๆ ไปซะ เพราะนางคนนี้คือที่สุดของความเห็นแก่ตัวจริง ๆ
นายอนถือเป็นคนที่ self-centered มาก คิดถึงแต่ตัวเองอย่างเดียว ไม่ออกแรงช่วยคนอื่น เอาแต่โทษคนอื่น ในสถานการณ์แบบนี้เลยถือว่ากลุ่มตัวเอกซวยมากที่มีนายอนโผล่มาร่วมวงด้วย หนำซ้ำนอกจากจะพฤติกรรมชวนปวดหัวที่กล่าวมาแล้ว นางยังแคร์อีโก้ตัวเองมากกว่าชีวิตของเพื่อนร่วมกลุ่ม ทำให้เพื่อนร่วมกลุ่มอย่างกยองซูต้องกลายเป็นซอมบี้ เพียงเพราะนางต้องการรักษาหน้าและโน้มน้าวเพื่อน ๆ ว่าตัวเองถูก แค่ฉากนี้ฉากเดียวเชื่อว่าหลาย ๆ คนแบนตัวละครนี้ไปเลย
โดยสรุปแล้ว…

เราว่ายังไง All of Us Are Dead ก็ถือเป็นซีรีส์ที่ดูแล้วสนุก ลุ้นทุกตอน ไม่น่าเบื่อ แม้จะมีจุดที่ชวนให้หัวร้อนบ้าง แต่ถ้ามองผ่าน ๆ ไปก็พอรับได้อยู่
โปรดักชั่นถือว่าดี ฝูงซอมบี้ใช้คนแสดงจริงเลยดูสมจริงมาก ไหนจะฉากต่าง ๆ ที่ตอนแรกเราดูแล้วไม่นึกว่าเป็นซีจี แต่จริง ๆ แล้วเป็นซีจี ก็ถือว่าทำได้เนียนดี
เสียดายที่ลืมหลาย ๆ ส่วนของเว็บตูนไปแล้ว เลยไม่สามารถเปรียบเทียบได้อย่างละเอียดเท่าไร จำได้แค่ว่า ซีรีส์บิดหลาย ๆ จุดให้ต่างจากเว็บตูน ตอนดูซีรีส์เราเลยเดาไม่ออกว่าซีรีส์จะดำเนินเรื่องไปทางไหนบ้าง
สำหรับใครที่กำลังตามหาซีรีส์ลุ้นระทึกชนิดกด skip แทบจะไม่ได้ แนะนำให้ลองดู All of Us Are Dead ได้เลย ยิ่งในสถานการณ์โควิดกำลังพีคแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้อินตามมากขึ้นไปอีก
Leave a Reply