ถ้าหากว่าในโลกนี้มีเครื่องที่สามารถลบความทรงจำได้ เราจะเลือกลบอะไร?
อย่างแรกเราก็คงอยากจะลบเรื่องราวร้ายๆ ที่บั่นทอนจิตใจ หรือเหตุการณ์อะไรก็ตามที่มันฝังใจจนทำให้ไม่กล้าทำนู่นทำนี่
และสำหรับคนที่เคยผิดหวังกับความรัก ก็คงอยากจะลบความทรงจำที่เคยมีร่วมกับคนรักเก่า
Eternal Sunshine of The Spotless Mind จะพาเราไปสืบเสาะว่า การลบความทรงจำเกี่ยวกับคนที่ไม่อยากจำนั้นดีจริงหรือไม่
หนังเล่าเรื่องของโจเอล (Jim Carrey) ชายหนุ่มที่บังเอิญเจอกับคลีเมนไทน์ (Kate Winslet) หญิงสาวสีผมแปร๊ด พวกเขาปิ๊งกันและตัดสินใจไปเดตกัน แต่แล้วหนังก็เฉลยว่าจริงๆ แล้ว คนทั้งคู่เคยพบกันมาก่อน โดยหนังเล่าย้อนไปถึงครั้งก่อนที่โจเอลและคลีเมนไทน์ยังคบกัน แต่แล้วจู่ๆ วันหนึ่งคลีเมนไทน์ก็ทำราวกับไม่รู้จักโจเอลมาก่อน โจเอลมาค้นพบทีหลัว่าคลีเมนไทน์ใช้บริการลบความทรงจำเกี่ยวกับตัวเขาไปซะหมด
ด้วยความหุนหันพลันแล่นพอกัน โจเอลจึงไปใช้บริการลบความทรงจำเกี่ยวกับคลีเมนไทน์บ้าง ซึ่งระหว่างกระบวนการนี้ โจเอลก็ได้ย้อนหลับไปพบความทรงจำต่างๆ ที่ได้แชร์ร่วมกับคนรัก ตั้งแต่เรื่องขัดแย้งบาดหมางกัน ไปจนถึงช่วงเวลาดีๆ ที่ได้ใช้ร่วมกัน ไปๆ มาๆ โจเอลเริ่มไม่อยากลบความทรงจำเกี่ยวกับคลีเมนไทน์แล้ว แต่เขาจะสามารถสู้ระบบของเครื่องลบความทรงจำได้หรือไม่?
มีสปอยล์
นี่เป็นหนังที่สารภาพเลยว่าดูไม่ง่าย
ด้วยความที่เราดูรอบแรก จะมีบางจุดที่เรางงๆ ตามเรื่องไม่ทัน เพราะหนังตัดฉากฉับไวเหลือเกิน บางทีก็งงว่าอันไหนอดีต อันไหนปัจจุบัน ซึ่งถ้าใครไม่คุ้นชินกับการเล่าเรื่องสลับไปมาแบบนี้ ก็อาจจะท้อจนเลิกดูไปได้ ยอมรับว่ามีบางจุดเก็บรายละเอียดไม่ทันเหมือนกัน คงต้องกลับมาดูซ้ำอีกรอบ
และแม้หนังจะโปรยหน้าว่าเป็นหนังรัก แต่มันไม่ใช่หนังกุ๊กกิ๊กรอมคอมแบบที่เราเข้าใจแต่แรก
มันเป็นหนังรักที่สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตรักจริงๆ เลยว่าต้องมีทั้งสุขและทุกข์ ไม่ได้มีแค่ช่วงเวลาหวานแหวว มันมีช่วงที่ไม่เข้าใจกัน ทะเลาะกัน โมโหใส่กัน ไม่ใช่ส่วนนั้นส่วนนี้ของอีกฝ่าย ซึ่งหนังก็เล่าเรื่องได้ตรงไปตรงมา ทำให้เราได้เห็นความสัมพันธ์ของโจเอลกับคลีเมนไทน์ว่าเป็นเหมือนคู่รักคนธรรมดาทั่วไปนี่แหละ ไม่ใช่พระเอกนางเอกหลุดมาจากหนังรอมคอมแต่อย่างใด
ความแปลกใหม่ของหนังเรื่องนี้ตกอยู่ที่ของเล่นอย่างเครื่องลบความทรงจำ
ทั้งโจเอลและคลีเมนไทน์ใช้บริการเครื่องลบความทรงจำ พวกเขาแค่อยากจะลืมกันและกัน ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่อย่างไร้มลทิน สำหรับคลีเมนไทน์นี่เราไม่รู้ขั้นตอนความรู้สึกของเธอ แต่สำหรับโจเอลที่หนังพาเราเกาะติดทุกซีน จะเห็นได้ว่า พอเริ่มลบไปเรื่อยๆ ถึงจุดที่ทั้งคู่มีประสบการณ์ดีๆ ร่วมกัน โจเอลก็เริ่มไม่อยากลบคลีเมนไทน์แล้ว อยากเก็บส่วนดีๆ ไว้รำลึกถึง แต่ทำไงได้ เจ้าเครื่องนี่มันถูกสั่งมาว่า “ให้ลบทุกความทรงจำที่มีเกี่ยวกับคลีเมนไทน์” จะไปสู้กับระบบที่ถูกเซ็ตมาอย่างดีก็ดูเหมือนจะยากเกินไป
สุดท้าย โจเอลก็ลืมคลีเมนไทน์ไปจนได้ แต่ก็นั่นแหละ อย่างที่เรารู้กันในฉากต้นของหนัง ทั้งคู่กลับมาเจอกันอีกครั้ง หลงรักกันอีกครั้ง ช่างเป็นเรื่องตลกร้ายจริงๆ
ก่อนเราจะเล่าเรื่องของพระนางต่อ ขอแวบไปคุยอีกเส้นเรื่องนึงที่น่าสนใจไม่แพ้กัน คือเส้นเรื่องของทีมนักลบความทรงจำ
เริ่มด้วยแมรี่ (Kirsten Dunst) หญิงสาวพนักงานต้อนรับที่คลินิกลบความทรงจำ เธอเป็นแฟนกับสแตน (Mark Ruffalo) หนุ่มนักลบความทรงจำ แต่จริงๆ แล้วแมรี่แอบหลงรัก ดร. เมียร์สเวียค (Tom Wilkinson) ผู้เป็นหมอ ถึงขั้นเก็บความรู้สึกไว้ไม่ไหว ต้องบอกรักหมอออกมาทั้งๆ ที่หมอก็มีลูกเมียอยู่แล้ว
เรื่องมันไปพีคอีกก็ตรงที่ จริงๆ แมรี่กับ ดร. เมียร์สเวียค เคยคบชู้กันมาก่อน! แล้วภรรยาก็จับได้ แมรี่เลยลบความทรงจำเกี่ยวกับดร. เมียร์สเวียคออกไปจนหมด แต่แล้วไงล่ะ ทั้งคู่ยังต้องทำงานร่วมกัน ในที่เดียวกัน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่แมรี่จะตกหลุมรักดร. เมียร์สเวียคอีกครั้ง เธอลบความทรงจำไปได้ แต่เธอยังไม่สามารถหนีตัวตนของคนที่เธอรักได้ เรื่องมันจึงเกิดขึ้นซ้ำๆ แมรี่เข้าใจแล้วว่าการลบความทรงจำเป็นความผิดพลาด ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา เธอจึงไถ่บาปด้วยการส่งเทปคำสารภาพของเหล่าคนไข้ก่อนถูกลบความทรงจำไปให้พวกเขา ซึ่งคนไข้ก็รวมถึงโจเอลและคลีเมนไทน์ในปัจจุบันด้วย
กลับมาที่คู่พระนาง
หนังไปสุดด้วยการให้โจเอลและคลีเมนไทน์ได้ยินเทปนั้นซะเลย ซึ่งเป็นเทปที่ต่างฝ่ายต่างสาธยายว่าอีกคนมีจุดบกพร่องยังไง ไม่ชอบอะไร ทำไมถึงอยากเลิกอยากลืม ฯลฯ ซึ่งความรู้สึกแรกของเราคือ ตายห่าละ แล้วทั้งคู่จะยังสานสัมพันธ์กันต่อได้ไหม ในเมื่อรู้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาที่เคยเกิดขึ้นนั้นมีจุดไม่ดีอย่างไรบ้าง แต่กลับกลายเป็นว่าคนทั้งคู่ใช้เทปในอดีตนั่นแหละเป็นบทเรียน เพื่อที่พวกเขาจะไม่ทำผิดซ้ำสอง ในความสัมพันธ์ครั้งใหม่นี้
พอดูจบแล้วมานั่งตกผลึก ถึงรู้สึกว่าสารของหนังมันดีมากๆ
แม้ว่าระหว่างดูจะมีมึนๆ ตามไม่ทันบ้าง แต่พอมาสรุปรวมตอนจบแล้วรู้สึกชอบแฮะ
ทุกความสัมพันธ์ย่อมมีทั้งสุขและทุกข์
มีเรื่องที่ชอบและไม่ชอบ คงไม่มีคู่รักคู่ไหนที่มีแต่โมเม้นต์สวีตหวาน ไม่เคยทะเลาะกันเลย การใช้ชีวิตร่วมกันยังไงก็หลีกเลี่ยงเรื่องขมๆ ไม่ได้ จึงเป็นหน้าที่ของคู่รักที่ต้องเข้าใจกันและกัน ยอมรับในข้อดีและข้อเสียของอีกฝ่าย เพื่อที่จะประคองรักต่อไปได้
และถ้าความสัมพันธ์มันไม่เวิร์ก สิ่งที่เราต้องทำก็คือการจัดการกับความทรงจำของตัวเอง เก็บเรื่องดีๆ ไว้เป็นเรื่องประทับใจ ส่วนเรื่องที่ไม่ดี ก็เก็บมาเป็นบทเรียน เพื่อที่จะได้ป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำสองอีก
โดยรวมแล้ว Eternal Sunshine of The Spotless Mind เป็นหนังที่แม้ดูรอบแรกจะตามไม่ทันบ้าง งงบ้าง แต่เมื่อจับเส้นเรื่องของหนังได้แล้ว ก็จะเริ่มตามทัน ถือเป็นหนังรักอีกเรื่องที่ถกประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ได้ดี และการลืมก็ไม่ใช่คำตอบของทุกอย่างเสมอไป
ป.ล. ด้วยความที่หนังพาเราไปในห้วงความทรงจำของโจเอล งานภาพของหนังจึงมีความแฟนตาซีปนมาด้วย ซึ่งหลายๆ ฉากสวยและเซอร์เรียลดี
Leave a Reply