รีวิว Big Fish (2003): อดีตเซลส์แมนผู้เคยเจอแม่มด ยักษ์ นางเงือก และมนุษย์หมาป่า

“ชายคนหนึ่งบอกเล่าเรื่องราวของเขาหลายต่อหลายครั้งจนตัวเขากลายเป็นเรื่องเล่าเสียเอง เรื่องเล่าเหล่านั้นอยู่ยงคงกระพัน ดังนั้นเขาจึงเป็นอมตะ”

ดูจบแล้วเข้าใจถ่องแท้ถึงอำนาจของเรื่องเล่าเลย เราเป็นคนคลั่งไคล้พาวเวอร์ของเรื่องเล่ามากๆ ดูเรื่องนี้เลยรู้สึกอินกับประเด็นนี้เป็นพิเศษ

มนุษย์นั้นคุ้นเคยกับเรื่องเล่ามาแต่ไหนแต่ไร เรื่องเล่าคือหนึ่งสิ่งที่รวมให้มนุษย์อยู่ร่วมกันได้ เมื่อเชื่อในเรื่องเล่าเดียวกัน มนุษย์ก็พร้อมที่จะร่วมมือทำอะไรสักอย่างร่วมกัน ขณะเดียวกัน เรื่องเล่านั้นมักจะมีพลังโน้มน้าวมากกว่าความจริง เพราะความจริงมันน่าเบื่อยังไงล่ะ

Big Fish เป็นหนังธรรมดาที่เล่าเรื่องได้อย่างไม่ธรรมดา เพราะลุงเอ็ดเวิร์ด พระเอกของเราเล่นใส่สีตีไข่เรื่องราวของเขาซะฉูดฉาด จากเรื่องราวชีวิตของชายคนหนึ่งที่ควรจะเป็นเรื่องธรรมดา กลับกลายเป็นเรื่องราวกึ่งแฟนตาซีที่ชวนให้เราติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ

03.png

*มีสปอยล์เล็กน้อย

Big Fish นั้นจะแบ่งเส้นเรื่องออกเป็นสองเส้น เส้นแรกคือเรื่องราวของเอ็ดเวิร์ด (Albert Finney) ผู้เป็นพ่อ ส่วนเส้นที่สองคือช่วงเวลาของวิล (Billy Crudup) ผู้เป็นลูกชาย ในช่วงเวลาปัจจุบันของหนังนั้นเอ็ดเวิร์ดกำลังป่วยหนัก ลูกชายผู้ห่างเหินจากพ่ออย่างวิลจึงเดินทางไปดูแลพ่อ วิลพาเราย้อนไปดูเรื่องเล่าต่างๆ ที่เอ็ดเวิร์ด (Ewan McGregor) เคยเล่าให้เขาฟัง ตั้งแต่เขาเกิดจนกระทั่งมีครอบครัวมีลูก เกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์ต่างๆ มากมาย เริ่มตั้งแต่การเกิดสุดพิสดารของเอ็ดเวิร์ดที่พุ่งพรวดออกมาสไลด์พื้น, การเติบโตอย่างไวผิดปกติจนต้องโดดเรียน, การเจอแม่มดและได้เห็นจุดจบของตัวเองผ่านตาวิเศษ, การเจอยักษ์ในเมืองและออกเดินทางไปด้วยกัน, การไปเจอเมืองลับสุดคิ้วท์, การทำงานอย่างหนักเพื่อให้ได้พบแซนดรา หญิงที่รัก, การไปออกสงคราม และกลับมาเป็นเซลส์แมน ครองรักกับแซนดรา (Jessica Lange/Alison Lohman) เพื่อให้กำเนิดวิล

แน่นอนว่าถ้าให้เล่าเรื่องแบบอิงชีวิตจริงสุดๆ นี่คงไม่ใช่หนังที่น่าตื่นตาเท่าไร แต่ด้วยความที่เอ็ดเวิร์ดเป็นคนชอบใส่จินตนาการเข้าไปในเรื่องเล่า เราจึงได้รับรู้ประวัติของเขาเหมือนกับว่าเรากำลังอ่านนิทานเรื่องหนึ่งอยู่ ทุกอย่างดูแฟนตาซีเหนือจริงไปหมด ยิ่งพอมาเป็นหนังแล้ว วิชวลต่างๆ ยิ่งดูเป็นหนังแฟนตาซี ก็แหมผู้กำกับคือ Tim Burton นี่นะ เชื่อมือพี่แกเลย ภาพออกมาสวยเว่อร์วังเหมือนหลุดไปอยู่ในดินแดนมหัศจรรย์มากๆ

“Most men, they’ll tell you a story straight through. It won’t be complicated, but it won’t be interesting either.” – Edward

02.jpg

เอ็ดเวิร์ดนั้นเป็นตัวละครที่น่าสนใจและมีเสน่ห์มาก เขาเป็นคนที่มีพลังล้นเหลือ ต้องการเติบโต มองโลกในแง่ดี ชอบช่วยเหลือคน มีความมุ่งมั่นแข็งขันอยู่ในระดับสูงปรี๊ด จะว่าไปแล้วก็เปรียบเสมือนปลาใหญ่ที่ไม่สมควรอยู่ในที่แคบๆ นั่นละ เอ็ดเวิร์ดต้องการที่ใหญ่ๆ ที่เขาจะสามารถเปล่งประกายได้ สามารถขยายใหญ่ได้มากเท่าที่เขาต้องการ และเมืองเล็กๆ ที่เขาถือกำเนิดนั้นก็ไม่ตอบโจทย์นี้ เขาจึงเดินทางเพื่อออกไปยังเมืองใหญ่ ไปค้นหาโอกาสที่ดีกว่า

“Did you ever think that maybe you’re not too big, but maybe this town is just too small?” – Edward

ความใจเด็ดของเอ็ดเวิร์ดยังรวมไปถึงเรื่องความรัก ที่บอกได้เลยว่าโรแมนติกมากกกก ยิ่งกว่าหนังรักหลายๆ เรื่อง เป็นความรักแบบรักแรกพบ เห็นแล้วรู้เลยว่าจะแต่งงานกับคนนี้ แค่นั้นยังไม่พอ เอ็ดเวิร์ดยังทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้พบเธออีกครั้ง เขาทำงานอย่างหนักเพื่อแลกกับข้อมูลของเธอคนนั้นครั้งละเดือน จนกระทั่ง 3 ปีผ่านไปเขาก็มีโอกาสได้เจอเธอต่อหน้า ได้สารภาพรักกับเธอ และให้ตายเถอะวิธีแสดงออกถึงความรักแต่ละอย่างนั้นโคตรฟูฟ่อง ไม่ว่าจะเป็นการปลูกดอกไม้ดัฟโฟดิลเต็มสนามหญ้าหน้าหอ การสร้างประโยคบอกรักด้วยเครื่องบินไอพ่น ยังไม่รวมถึงการบอกรักตรงๆ ครั้งแรกตั้งแต่เจอหน้ากัน ว่ากันตามตรง ในชีวิตจริงฝ่ายหญิงคงหลอน แต่หนังสามารถบอกเล่ามันออกมาได้อย่างหวานหยดย้อยมาก

“They say when you meet the love of your life, time stops, and that’s true. What they don’t tell you is that when it starts again, it moves extra fast to catch up.” – Edward

01.jpg

เราอาจจะคิดว่า คนเป็นลูกคงมีความสุขเนอะที่มีพ่อช่างเล่าเรื่องแบบนี้ ก็ใช่แหละสำหรับวิลในวัยเด็กซึ่งชื่นชอบนิทานเหมือนเด็กทั่วไป แต่พอโตขึ้นวิลก็ได้เรียนรู้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่พ่อเล่านั้นไม่ใช่ความจริง เปรียบเสมือนซานตาคลอสหรือกวางเรนเดียร์ เขาหมดศรัทธาในตัวพ่อ เริ่มไม่แน่ใจว่าพ่อของเขาแท้จริงเป็นใครกันแน่ และเรื่องราวจริงๆ ของพ่อเป็นยังไง เขาเริ่มกังขาและตีตัวออกห่างพ่อมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาไม่คุยกันเลย จนกระทั่งพ่อล้มป่วย

วิลเข้าใจอิทธิพลของเรื่องเล่าก็ตอนสุดท้าย ที่พ่อขอให้เขาเล่าเรื่องให้ฟังหน่อยว่าพ่อจะตายแบบไหน ตัวเอ็ดเวิร์ดนั้นจำได้แค่ว่าเขาเห็น “แม่น้ำ” ในดวงตาของแม่มด แต่จำรายละเอียดไม่ได้ ถึงตรงนี้วิลจึงแต่งเรื่องออกมาได้อย่างสวยงามว่าเขาพาพ่อหนีออกจากโรงพยาบาลไปยังแม่น้ำ ที่นั่นมีทุกคนที่พ่อรู้จักรอส่งอยู่ ทุกคนมีแต่รอยยิ้ม และเมื่อวิลพาร่างเอ็ดเวิร์ดวางบนแม่น้ำ เอ็ดเวิร์ดก็กลายเป็นปลายักษ์ที่แหวกว่ายสายน้ำไปอย่างเป็นอิสระ ซีนนี้เป็นอะไรที่ชวนเรียกน้ำตามากสำหรับเรา และทำให้เข้าถึงพลังวิเศษของเรื่องเล่าสุดๆ เพราะเรื่องเล่านี้แหละที่ทำให้เอ็ดเวิร์ดจากไปอย่างสมเกียรติ เพราะสำหรับนักเล่าเรื่องตัวฉกาจแล้ว คงไม่มีอะไรน่าหดหู่ยิ่งไปกว่าการหมดลมหายใจในห้องพยาบาลแคบๆ เป็นแน่

08.jpg

บางที ชีวิตคนเราก็ไม่ได้ต้องการอะไรมากไปกว่าเรื่องราวสนุกๆ เรื่องหนึ่ง ที่สามารถพาเราหลุดออกจากโลกแห่งความเป็นจริงได้ อย่างน้อยสักพักหนึ่งก็ยังดี

และแน่นอนว่าเรื่องราวทุกเรื่องย่อมมีด้านร้ายด้านดีผสมกันไป ทุกสถานการณ์ในชีวิตของเราก็เช่นกัน ขึ้นอยู่กับเราว่าจะมองมันด้วยฟิลเตอร์แบบไหน จะเป็นสีสันพาสเทลแบบหนังแฟนตาซี หรือจะเป็นสีโทนหม่นมืดแบบหนังเศร้า ก็ขึ้นอยู่กับเรานั่นแหละ

เพราะชีวิตของเรา เราเป็นคนกำหนดเอง เราเป็นคนเล่าเรื่องชีวิตของเราเอง

แนะนำเลยสำหรับ Big Fish เป็นหนังดีมากจริงๆ นอกจากจะเพลินไปกับหนังแล้ว ยังรู้สึกยินดีกับหลายๆ อย่างในชีวิต เป็นหนังแนวดราม่าแฟนตาซีที่ไม่หนัก ดำเนินเรื่องสบายๆ อาจไม่ถูกใจสายบู๊หรือสายดำเนินเรื่องฉับไว แต่น่าจะได้ใจคนชอบหนังแนว feel good นะ

2 thoughts on “รีวิว Big Fish (2003): อดีตเซลส์แมนผู้เคยเจอแม่มด ยักษ์ นางเงือก และมนุษย์หมาป่า

Add yours

  1. ขอบคุณนะคะ ที่เขียนถึงเรื่องนี้ขึ้นมา 😊 ตอนที่ดูเอง บอกตามตรงว่าไม่เข้าใจในตัวหนังเท่าไร .. พอได้อ่านบทความนี้ ทุกอย่างกลับกลายเป็นเข้าใจเลยค่ะ ^^

    Like

    1. ขอบคุณเช่นกันค่า ยินดีมากๆ เลย ดีใจที่บทความช่วยไขข้อข้องใจนะคะ =)

      Like

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Blog at WordPress.com.

Up ↑

%d bloggers like this: