สิ่งมีชีวิตทรงปัญญาที่อาศัยอยู่นอกโลกนั้นมีจริงหรือไม่?
นี่คือคำถามที่พ่อของรอย (Brad Pitt) เฝ้าถามตัวเอง และอุทิศชีวิตเพื่อหาคำตอบนั้น ไม่สิ…เพื่อพิสูจน์ว่าคำตอบคือ “มีจริง” ต่างหาก
ดูเผินๆ Ad Astra ก็เหมือนจะเป็นหนังแอ็กชั่นไซไฟทั่วไปที่พล็อตไม่ได้สดใหม่ แต่ตัวอย่างหนังก็ยังคงดึงดูดให้เราอยากดูอยู่ดี ด้วยองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ทั้งฉากภาพที่ตระการตา แอ็กชั่นที่ดูตื่นเต้น นักแสดงนำอย่างแบรด พิตต์ และความเป็นหนังฟอร์มใหญ่ ทุกอย่างดูน่าตื่นเต้น
แต่สำหรับใครที่กำลังมองหาหนังตื่นเต้นไซไฟลุ้นระทึก ช้าก่อน…
Ad Astra ภาษาละตินแปลว่า “ไปสู่ดวงดาว” หนังเล่าเรื่องในช่วงเวลาอนาคตอันใกล้ เกิดพลังงานประหลาดถาโถมเข้ามาในระบบสุริยะจักรวาล พลังงานนี้มีความรุนแรงที่เป็นภัยต่อมนุษยชาติ รอย แม็คไบรด์ (Brad Pitt) นักอวกาศหนุ่มก็เกือบเอาชีวิตไม่รอดจากพลังงานระลอกหนึ่ง สืบไปสืบมาก็ได้ความว่าไอ้พลังงานนี้เป็นผลมาจากโครงการ “ลิมา” ซึ่งคลิฟฟอร์ด แม็คไบรด์ (Tommy Lee Jones) พ่อของรอยเป็นหัวหน้าทีม มียานโคจรอยู่ใกล้ๆ ดาวเนปจูน นี่เป็นโครงการที่ถูกส่งไปเมื่อเกือบๆ 30 ปีก่อนเพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกระบบสุริยะ แต่ก็ขาดการติดต่อเมื่อเกือบๆ 20 ปีก่อน รอยก็คิดว่าพ่อตายแล้ว แต่พอเจอแบบนี้ ทางศูนย์บัญชาการก็เชื่อว่าคลิฟฟอร์ดยังไม่ตาย ดำเนินส่งรอยไปยังดาวอังคาร ที่ซึ่งรอยสามารถส่งสารหาพ่อได้ แต่เหตุการณ์ไม่จบแค่นั้น เพราะแม้รอยจะถูกสั่งให้ถูกส่งตัวกลับโลก แต่รอยก็หาทางดั้นด้นไปดาวเนปจูนเพื่อเจอคลิฟฟอร์ด และทำลายโครงการลิมา
ว่ากันตามพล็อตเรื่องกว้างๆ เรารู้สึกว่า Ad Astra ไม่ได้เล่าเรื่องใหม่ๆ เท่าไร เป็นพล็อตหนังอวกาศที่ค่อนข้างคุ้นเคยและเดาทางง่ายอยู่ ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมีความสนุกและลุ้นเรื่อยๆ ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ จะได้เจอพ่อมั้ย จะเกิดอันตรายอะไรขึ้นอีก เรียกได้ว่าหนังก็หย่อนเหตุการณ์ให้ลุ้นมาเรื่อยๆ แหละ แม้ว่าโทนเรื่องโดยรวมของหนังจะค่อนข้างเนิบเนือยก็ตาม…
ใช่ นี่เป็นหนังไซไฟที่จังหวะการดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า บวกกับระยะเวลา 2 ชั่วโมงของหนังด้วยแล้ว ไม่แปลกที่อาจจะมีบางช่วงบางตอนที่ชวนให้ง่วง ไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจนอกจากวิวอวกาศที่ซีจีสวยมาก แต่ถึงอย่างนั้นหนังก็หย่อนฉากแอ็กชั่นเข้ามานิดๆ หน่อยๆ ระหว่างทาง ช่วยให้เราพอจะหายง่วงได้บ้าง และเพิ่มความระทึกให้หนังขึ้นอีกนิด
หนังสร้างบรรยากาศอนาคตอันใกล้นี้ออกมาได้ใกล้เคียงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นจริงๆ ดี อย่างการมีเที่ยวบินเชิงพาณิชย์ขึ้นไปบนดวงจันทร์ (บริหารโดย Virgins) พอไปถึงดวงจันทร์ก็มีสถานที่เหมือนสนามบินรองรับผู้โดยสาร มีร้านอาหารร้านค้าเหมือนบนโลกเลย เป็นภาพที่ว้าวดีนะ และอดคิดไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นจริงๆ ในอนาคตอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้แหละ
ถึงแม้ว่าสถานีบนดวงจันทร์จะดูตื่นตะลึงแค่ไหน แต่ภาพรวมของอวกาศใน Ad Astra ก็ยังชวนให้รู้สึกว่า “น่ากลัว” อยู่ดี ตรงกับที่ผู้กำกับ James Gray บอกไว้ว่าเขาอยากสร้างหนังอวกาศที่มีความสมจริง และแสดงให้เห็นว่าอวกาศเป็นที่ที่อันตรายสำหรับมนุษย์นะ
พวกเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เรื่องหนึ่ง แต่อีกเรื่องหนึ่งที่เรารู้สึกว่าน่ากลัวไม่แพ้กัน ก็คือสภาพจิตใจของมนุษย์ที่ขึ้นไปอยู่บนอวกาศนั่นแหละ ยิ่งตอนท้ายๆ รอยอยู่บนยานคนเดียว เรายิ่งรู้สึกได้ถึงความเหงาเปล่าเปลี่ยว ถึงขีดสุด การที่ต้องอยู่ห่างจากบ้านหลายล้านไมล์ ห่างจากคนที่รัก ฟังดูเป็นอะไรที่ทรมานมากๆ
จริงๆ แล้ว เหมือนหนังจะเล่นประเด็นในเรื่องของตัวตนด้วย เปิดเรื่องมาเราก็จะได้เห็นโลกในสายตาของรอย ได้ยินเสียงรอยพูดกับตัวเอง ว่าทุกๆ อย่างที่เขาทำในฐานะนักบินอวกาศนั้นเขาเพียงแค่สวมหน้ากาก ทำในสิ่งที่คนอื่นต้องการ แม้กระทั่งการเป็นนักบินอวกาศนั้น ดูเหมือนเขาจะได้รับอิทธิพลมาจากพ่ออีกที ตัวเขานั้นอยู่ภายใต้เงาของพ่อ ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “ฮีโร่” ตัวเขาเองก็เลยพยายามสร้างตัวตนที่แข็งแกร่งขึ้นมา เป็นคนที่มุ่งมั่นกับการทำงาน แต่สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เขาขาดปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างเช่นกัน เหมือนที่พ่อเคยเป็นกับเขานั่นเอง
โดยรวมแล้ว Ad Astra เป็นหนังไซไฟท่องอวกาศที่มีพล็อตไม่แปลกใหม่เท่าไร แต่เอาเข้าจริงดูเหมือนว่าหนังเรื่องนี้จะมีความเป็นดราม่าค่อนข้างสูงเหมือนกัน เผลอๆ มันอาจจะเป็นหนังดราม่าที่มีฉากหลังเป็นอวกาศก็ได้ เพราะแม้พล็อตด้านไซไฟจะไม่ได้โดดเด่นเท่าไร แต่การสำรวจจิตใจของตัวละครนั้นสามารถทำได้ลึกซึ้งดี ถือเป็นอีกเรื่องที่แม้จะไม่ได้ลุ้นมากแต่ก็ดูได้เพลินๆ ละ
Leave a Reply