รีวิว The Wolf of Wall Street (2013): ออกล่าเงิน เพื่อบำเรอกิเลสอันไม่สิ้นสุด

มีโอกาสหยิบ The Wolf of Wall Street มาดูซ้ำอีกครั้ง หลังจากดูรอบแรกไปในโรงหนังเมื่อหลายปีก่อน

เอากลับมาดูอีกทีก็ยังสนุก แม้ว่าหนังจะมีความยาวเกือบๆ 3 ชั่วโมง เห็นตัวเลขนี้แล้วอาจจะชวนให้รู้สึกท้อใจ แต่เชื่อเถอะว่าเป็น 3 ชั่วโมงที่เพลินจนลืมเวลาไปเลย

The Wolf of Wall Street คือหนังที่สร้างจากเรื่องราวชีวิตจริงของจอร์แดน เบลฟอร์ด (แสดงโดย Leonardo DiCaprioอดีตโบรกเกอร์หุ้น ผู้ก่อตั้งบริษัทหลักทรัพย์ Stratton Oakmont หนังเริ่มต้นเล่าเรื่องของจอร์แดนสมัยที่เข้าไปทำงานใน Wall Street ใหม่ๆ ทำงานในฐานะโบรกเกอร์ได้เพียงวันเดียว ก็แจ็กพ็อตเจอเหตุการณ์ Black Monday ทำตลาดหุ้นร่วงทั่วโลก บริษัทต้องปิดตัว (ซวยอะไรขนาดนี้) จอร์แดนเลยต้องหางานใหม่ ลงเอยด้วยการไปเป็นโบรกเกอร์ในบริษัทชนบท ขายหุ้น Penny Stock หรือหุ้นที่มีราคาถูกมากๆ ของบริษัทเล็กๆ ไม่มีชื่อเสียง สกิลการขายของเขาเทพมากขนาดที่ว่าทุกๆ คนต้องบูชานับถือ

07

ต่อมาจอร์แดนก็ออกมาเปิดบริษัทของตัวเองซะเลย ซึ่งต่อมาก็ทำให้น่าเชื่อถือขึ้นโดยใช้ชื่อว่า Stratton Oakmont ที่นี่เป็นที่ที่เขาได้ร่วมก่อตั้งกับกลุ่มเพื่อน รวบรวมผู้คนที่ทะเยอทะยานและอยากรวยให้มาทำงานเป็นนายหน้าค้าขายหุ้น จอร์แดนปลูกฝังให้ทุกคนออกล่าเงินอย่างหิวกระหาย สมกับฉายาหมาป่าแห่งวอลล์สตรีต ถึงขั้นใช้กลโกงมากมายในการล่อลวงลูกค้าให้ซื้อหุ้นแย่ๆ หรือหลอกให้ซื้อหุ้นปั่น เพื่อกำไรจากค่าคอมมิชชั่นและส่วนต่างราคาอันมหาศาล โดยตัวเขาและทีมก็อยู่เบื้องหลังการฟอกเงินและการทุบหุ้น

05

จอร์แดนได้ถูกปลูกฝังให้ออกล่าเงินตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เขาเข้ามาทำงาน โดย มาร์ก ฮันนา (Matthew McConaughey) เจ้าของ L.F. Rothschild วาณิชธนกิจที่จอร์แดนไปทำงานที่แรก ได้ฝังความคิดที่ว่า “เราต้องเอาเงินของลูกค้ามาเป็นของเรา!” เขายึดถือความเชื่อนี้ตลอดมา และมันก็ทำให้เขากอบโกยเงินได้มหาศาลจริงๆ

10

เงินที่ได้มานั้น แทบจะถูกใช้ไปบำเรอกิเลสตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นยาเสพติด โสเภณี ข้าวของเครื่องใช้หรูหรา งานปาร์ตี้ที่ออฟฟิศที่คือครื้นเครงโลกแตกมาก เป็นบริษัทที่โคตรเมากาว มองแบบโลกสวยคือคนรวยมีพร้อมทุกอย่างจริงๆ เงินแทบจะกลายเป็นเศษกระดาษไปเลย แต่ถึงอย่างนั้นจอร์แดนและพรรคพวกก็ไม่เคยรู้สึกพอ แม้จะมีมหาศาลแล้วแต่ก็ยังกอบโกยต่อ จนความผิดสังเกตนั้นลามไปถึง FBI ที่เริ่มสงสัยว่าบริษัทนี้มึงทำอะไรกัน และเริ่มมาตามติดจอร์แดน

02

แม้ว่าชื่อหนังจะมีคำว่า Wall Street ซึ่งอาจจะฟังดูน่ากลัวสำหรับใครที่ไม่คุ้นเคยกับตลาดหุ้น กลัวจะดูไม่รู้เรื่อง เราขอบอกเลยว่าไม่ต้องห่วง เพราะหนังแตะเรื่องหุ้นน้อยมากกกก และถึงแตะ ก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากต่อการเข้าใจเท่าไร เอาเป็นว่าเนื้อเรื่องหลักส่วนใหญ่ไม่ได้พูดถึงเรื่องหุ้น และแน่นอนว่าไม่ได้เป็นหนังแนว Inspirational ที่บอกกล่าวว่าจะรวยหุ้นได้ยังไง หรือจะรวยได้ยังไงด้วย

03

แล้วหนังกล่าวถึงอะไร? ส่วนใหญ่จะเล่าไปถึงชีวิตของจอร์แดนในฐานะผู้ชายร่ำรวยที่ไม่รู้จักพอคนนึง เราจะได้เห็นความคิดของเขาที่มองลูกค้าเหมือนเป็นเหยื่อ เห็นเบื้องหลังความรวยที่แสนจะเทา เห็นชีวิตฟุ้งเฟ้อที่ดูเสพติดความสุขแต่ไม่มีแก่นสารใดๆ ทั้งสิ้น และสุดท้ายก็จะได้เห็นว่าผลกระทบของการกระทำของเขานั้นทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปแค่ไหน ทำให้เราตั้งคำถามว่า “ทั้งหมดนี้มันคือความสุขจริงๆ เหรอ”

08

ถ้าจะให้เจาะลึกอีกนิด หนังแทบจะเน้นไปที่ความฟู่ฟ่าของชีวิตจอร์แดนซะเป็นส่วนใหญ่ ฉากเสพยามีให้เห็นเป็นว่าเล่น เสพกันอย่างกับกินเป็นมื้อหลัก บทพูดก็ใช้คำ F และคำอื่นๆ กันอย่างแหลกลาญ ฉากเซ็กซ์ก็อล่างฉ่างแบบไม่แพ้หนังโป๊ เพราะมันโป๊แบบเห็นทุกอย่างทุกจังหวะจริงๆ นั่นละ จนบางทีก็นึกสงสัยว่ากำลังดูอะไรอยู่วะ 55555 แน่นอนว่านี่ไม่ใช่หนังที่เหมาะกับลูกๆ หลานๆ เด็กและเยาวชนควรดูแบบมีผู้ใหญ่คอยแนะนำด้วย เพราะหนังไม่ได้เน้นถึงส่วนของ drawback หรือผลกระทบด้านแย่เท่าไร อย่างการเสพยา ก็จะให้น้ำหนักไปกับความฟินมากกว่าโทษที่ร่างกายได้รับ

หนังดำเนินเรื่องอย่างเสียดสีจิกกัดและแทบจะเป็นคอมเมดี้ทั้งเรื่อง ไม่ต้องคาดหวังว่าจะได้ดูหนังหุ้นอารมณ์เคร่งขรึมเลย เพราะเรื่องนี้ไม่มี มีแต่ตลกและบ้าดีเดือด อะดรีนารีนพุ่งพล่าน บทพูดไม่เนิบนาบ ดูหนังแล้วเหมือนนั่งรถไฟเหาะอย่างที่เค้าว่าจริงๆ แทบไม่ได้มีหยุดพัก ลุงมาร์ติน สกอร์เซซี่ กำกับหนังได้เก๋ามาก เฮียลีโอในบทจอร์แดนนี่เป็นอะไรที่สุดและรั่วเว่อร์ๆ เล่นได้ถึงแก่นและล้นสุดกู่ อันนี้ยอมพี่แกเลย

01

แม้เผินๆ หนังจะดูเน้นเสพความสำราญไปหน่อย แต่ก็แฝงแง่คิดไว้หลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของความโลภ ความทะเยอทะยาน ความไม่รู้จักพอ และความต้องการที่ก่อกำเนิดจากสัญชาตญาณดิบ ที่หากเราควบคุมไม่ได้ เราก็จะกลายเป็นทาสของมัน ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมาครอบครอง โดยไม่สนวิธีการ และไม่รับรู้ว่าผลกระทบจะเป็นยังไง เหมือนจอร์แดนที่เห็นเงินเป็นพระเจ้า เชื่อว่าความรวยแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง ใช้เงินทองแลกมาซึ่งความสุขทางโลก ทำให้เขากระเสือกกระสนรีดเงินออกจากกระเป๋าผู้อื่นให้ได้มากที่สุด แม้ว่าจะต้องควักเล่ห์เหลี่ยมอะไรออกมา แม้ว่ามันจะเสี่ยงโคตรๆ ต่อการถูกจับเข้าคุกก็ตาม

การมีรถหรู เรือยอร์ช เพ้นต์เฮ้าส์ คู่ควงหล่อสวย อาหารรสเลิศ แบงก์พันเป็นปึกๆ ตัวเลขในบัญชีเหยียบหลักล้าน ล้วนแล้วแต่เป็นความสุขระดับท็อปๆ ที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะมีไว้ครอบครอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านิยามความสุขมันจะมีแค่นี้ เพราะจริงๆ แล้วความสุขมันก็อยู่ที่ตัวเราเองนั่นแหละ หากเรามีครบทุกอย่างแล้ว แต่ใจเรายังไม่รู้สึกว่าพอ เราก็ยังทุกข์อยู่ แล้วก็จะร้อนรนหามันต่อไป แต่ถ้าเราค้นพบว่าเราโอเคแล้ว เพียงพอแล้ว เท่านี้เราก็มีความสุขได้โดยไม่ต้องไปไขว่คว้าอะไรเพิ่มเติม

06

ถ้าต้องไปโกงเงินชาวบ้านเพื่อให้ตัวเองรวย แล้วต้องมาคอยระแวดระวังว่าจะถูกจับได้ ต้องมาคอยคิดหาวิธีพลิกแพลงให้ตัวเองรอด เราจะมีความสุขอย่างสมบูรณ์ได้ยังไง

ท้ายที่สุดแล้ว จอร์แดนก็ได้รับบทลงโทษในสิ่งที่เขาได้ก่อไว้ โชคดีของเขาที่ยังได้รับอีกโอกาสหนึ่งที่ทำให้เขาลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเอง ทำอาชีพใหม่ด้วยการเป็นนักพูดสอนวิชาการขาย เริ่มต้นชีวิตใหม่โดยให้มลทินในอดีตเป็นบทเรียน

09

โดยรวมแล้ว The Wolf of Wall Street เป็นหนังที่หยิบมาดูซ้ำก็ยังสนุกและเพลิน ฉากเสพสุขต่างๆ ยอมรับว่ามันก็ทำให้หนังบันเทิง แต่บางจุดก็ทำให้รู้สึกหดหู่ได้เหมือนกันว่าอะไรมันจะหลงระเริงไปได้ขนาดนั้นหนอมนุษย์ มันทำให้เรากลับมามองย้อนชีวิตปกติสุขธรรมดาๆ ของตัวเองว่า เออ เราพอใจกับชีวิตตัวเองแล้วละ ไม่ต้องไปถึงขั้นนั้น ขออยู่แบบปุถุชนคนธรรมดาๆ ที่ไม่ต้องกังวลว่าตำรวจจะมาจับเมื่อไร จะซ่อนเงินที่โกงเค้ามาไว้ที่ไหน แล้วเมื่อไรสิ่งที่เคยหลอกชาวบ้านไว้จะโป๊ะแตกขึ้นมา…

เพราะการเลียน้ำผึ้งบนปลายมีด มันไม่ได้เหมาะกับทุกคนหรอก

Leave a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Blog at WordPress.com.

Up ↑