*มีสปอยล์เล็กน้อย
ครั้งแรกที่รู้จัก Dumplin’ คือปกหนังสือวรรณกรรมแนว Young Adult ที่มีรูปผู้หญิงตัวใหญ่ยืนทำการแสดงอยู่ ด้วยคำโปรยว่า “Go Big or Go Home”
เป็นประโยคที่จำขึ้นใจมาตลอด
และแล้วต่อมาเราก็ได้เห็น Dumplin’ ในรูปแบบภาพยนตร์บน Netflix ซึ่งแวบเราเราคิดว่าหนังน่าจะเป็นสายคอมเมดี้จ๋าๆ แต่ปรากฏว่า หนังให้แง่คิดไว้เยอะกว่าที่คาด
Dumplin เล่าเรื่องของวิลโลว์ดีน (Danielle Macdonald) หญิงอ้วนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง เห็นปมด้อยเรื่องรูปร่างตัวเองตลอด เธอยิ่งรู้สึกกดดันเมื่อแม่ของเธอ โรซี่ (Jennifer Aniston) เป็นถึงอดีตนางงาม Miss Teen Bluebonnet แถมปัจจุบันแม่เธอก็ยังสวยเป๊ะ โรซี่ชอบเรียกเธอว่า Dumplin หรือแปลเป็นไทยก็แบบ ยัยเกี๊ยว อะไรทำนองนี้
ตั้งแต่เด็ก วิลโลว์ดีนนั้นถูกชุบเลี้ยงดูโดยลูซี่ (Hilliary Begley) ป้าของเธอ ที่คอยเอาอกเอาใจและให้กำลังใจเธอเสมอ นั่นเพราะโรซี่งานยุ่ง ใช้เวลาหมดไปกับการจัดงานนางงามและงานเพื่อสังคม แต่แล้วป้าลูซี่ก็เสียชีวิต วิลโลว์ดีนเลยต้องอยู่กับโรซี่ เธอกับโรซี่เหมือนจะไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไร แถมมีอยู่วันหนึ่งโรซี่เผลอตะโกนเรียกวิลโลว์ดีนว่า Dumplin’ ที่โรงเรียน ก็ยิ่งทำให้วิลโลว์ดีนอับอาย
ยิ่งเวลาผ่านไป วิลโลว์ดีนก็ยิ่งรู้สึกอยากเอาชนะโรซี่ จึงชักชวนเพื่อนๆ หาเรื่องเข้าประกวดนางงาม Miss Bluebonner เพื่อแกล้งปั่นหัวโรซี่ และเพื่อแสดงจุดยืนต่อต้านบรรทัดฐานที่ว่าเวทีประกวดเป็นของสาวสวยเท่านั้น การประกวดครั้งนี้วิลโลว์ดีนจะสามารถคว้าชัยมาได้หรือไม่? แล้วจะเรียนรู้อะไรจากมันได้บ้าง?
Every Body is A Swimsuit Body
อย่างที่บอก ตอนแรกเราคิดว่าหนังเรื่องนี้คงเน้นตลกโปกฮา ไม่ได้เน้นสาระอะไรมาก แต่เราคิดผิด เพราะประเด็นของหนังที่ต้องการจะสื่อถือว่าเข้มข้นเลย นั่นก็คือเรื่องของรูปลักษณ์ภายนอก ประเด็นนี้ถูกนำเสนอผ่านตัวนางเอกที่มีรูปร่างไม่ตรงตาม “มาตรฐาน” ความสวยของผู้หญิงที่จะเป็นนางงามได้ วิลโลว์ดีนนั้นทั้งไม่สวยไม่ผอม เธอเองก็รู้จุดนี้ดี และดูไม่มีความสุขกับสิ่งที่เธอเป็น นั่นเพราะเธอคอยแต่จะประเมินค่าตัวเองว่าไม่สมควรตลอดเวลา
แม้กระทั่งกับหนุ่มที่วิลโลว์ดีนชอบอย่างโบ (Luke Benward) เธอเองก็คิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเขา ทั้งๆ ที่เขาก็แสดงออกว่าชอบเธอ (เป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์มาก) วิลโลว์ดีนคิดว่าเขาน่าจะเหมาะกับผู้หญิงสวยๆ ผอมๆ มากกว่าเธอ แต่โบก็ยังยืนกรานว่าชอบเธอในแบบที่เธอเป็น ช่วงต้นๆ เราก็จะได้เห็นว่าวิลโลว์ดีนสับสนในตัวเอง เธอไม่เข้าใจว่าผู้ชายหล่อๆ จะมาชอบอะไรในตัวเธอ ทั้งที่การที่อีกฝ่ายชอบก็เป็นเรื่องที่ดี แต่เธอก็อดคิดกดตัวเองไม่ได้ว่าเธอไม่คู่ควรกับเขา
หนังค่อยๆ พาวิลโลว์ดีนไปพบเจอประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ทำให้เธอตระหนักมากขึ้นว่าคุณค่าของคนเรานั้นไม่ได้อยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอก เธอได้รู้จักกับมิลลี่ (Maddie Baillio) หญิงสาวที่อ้วนเหมือนกัน แต่กลับมีชีวิตชีวาและมองโลกในแง่ดีกว่าเธอมาก เธอได้เข้าร่วมงานปาร์ตี้ธีมดอลลี่ พาร์ตัน นักร้องคนโปรดของเธอ ที่ที่เธอถูกต้อนรับอย่างดี และได้เห็นการแสดงโชว์ที่แตกต่างออกไป ผู้ชายแต่งตัวเป็นผู้หญิง ซึ่งก็ทำได้ดีระดับน่าประทับใจ
เธอได้ค้นพบว่า มีผู้คนมากมายที่พร้อมจะสนับสนุนเธอ พร้อมที่จะให้กำลังใจเธอ และอยากที่จะเห็นเธอแสดงศักยภาพนั้นออกมา
จากตอนแรกที่วิลโลว์ดีนตั้งใจจะใช้การประกวดเป็นเพียงเครื่องมือแก้เผ็ดโรซี่ แม่ของเธอ กลับกลายเป็นว่าการเดินทางครั้งนี้พาเธอไปพบเจอตัวตนอีกด้านของเธอที่พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น และได้เรียนรู้ว่ารูปลักษณ์นั้นมันก็แค่เรื่องภายนอก ความสวยที่แท้จริงอยู่ข้างในต่างหาก
Variety is The Key.
เรารู้สึกว่าตัวละครเรื่องนี้มีความหลากหลายอยู่ระดับหนึ่ง
มีตั้งแต่กลุ่มชนชั้นหน้าตาดี อย่างโรซี่ แม่ของวิลโลว์ดีน, เอลเลน (Odeya Rush) เพื่อนสนิทของวิลโลว์ดีน, เพื่อนๆ นางงามคนอื่นๆ และโบ ชายหนุ่มที่วิลโลว์ดีนปิ๊ง
ไปจนถึงกลุ่มที่ค่อนไปทางแปลก เช่น สาวอ้วนอย่างวิลโลว์ดีน มิลลี่ และป้าลูซี่, ฮันนาห์ (Bex Taylor-Klaus) เพื่อนทอมของวิลโลว์ดีน, แก๊ง Drag Queen ที่ปาร์ตี้ธีมดอลลี่ พาร์ตัน
ความเจ๋งของหนังเรื่องนี้คือไม่มีตัวร้ายเลย ตอนแรกเราก็แอบคิดนะว่าเออ อาจจะมีดราม่านางงามไรงี้ แบบคนสวยกว่ามาแกล้งคนด้อยกว่า แต่ปรากฏว่า ไม่มีว่ะ ถามว่าแล้วมันจะสนุกไหม? ก็ยังสนุกนะ เพราะแทนที่จะสู้รบตบตีกับคนอื่น วิลโลว์ดีนกลับต้องทะเลาะกับตัวเองมากกว่า ซึ่งเรามองว่าแค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่แล้ว ดีแล้วละที่ไม่ต้องมีดราม่าภายนอก การที่ไม่มีตัวร้ายแล้วเน้นไปที่การต่อสู้ในจิตใจตัวเองมันก็เหมือนจะบอกเรานัยๆ นะว่า เออ คนรอบตัวเราเค้าไม่ได้มาอะไรกับความแปลกของเราขนาดนั้น มีแต่เรานั่นแหละที่หมกมุ่นไปเอง ความแตกต่างมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ ของสังคม สุดท้ายแล้วยังไงเราก็ต้องอยู่ร่วมกัน มันเป็นธรรมดา
อาจจะฟังดูโลกสวย ซึ่งในหนังมันก็โลกสวยจริงๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าถ้าเรามีสังคมได้แบบนี้ตามจริงมันก็คงจะดีนะ สังคมที่ไม่ตัดสินคนด้วยรูปร่าง ไม่ยี๋คนที่แตกต่างไปจากตัวเอง ในชีวิตจริงมันก็คงมีเหมือนในหนังบ้างแหละที่จะเจอพวกชอบล้อเลียนรูปร่างคนอื่น มันก็คงทำให้เรารู้สึกดาวน์ๆ และทำลายความมั่นใจของเราไป แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องเดินหน้าต่อ อย่าเอาเสียงนกเสียงกาเก็บมาคิดให้รกหัว
ทางฝั่งนักแสดง บทบาทคุณแม่ผู้โดดเด่นก็ต้องขอยกให้ Jennifer Aniston ไปเลย สวยเป๊ะมากๆ เหมาะกับลุคอดีตนางงามและลุคโค้ช
นางเอกของเราอย่าง Danielle Macdonald ที่แสดงบทบาทวิลโลว์ดีนออกมาได้ชวนให้รู้สึกมีอารมณ์ร่วมตาม ไม่ว่าจะเป็นความดีใจ ภูมิใจ หรือแม้กระทั่งรำคาญก็ตาม (บางทีนางก็ดราม่าเยอะไปจริงๆ)
นักแสดงสมทบคนอื่นๆ ก็ช่วยทำให้หนังมีสีสันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแก๊งเพื่อนสุดแปลกของนางเอก และกลุ่มนางโชว์ชายแต่งหญิงที่ปาร์ตี้ ถ้าหนังมีแต่ตัวละครลุคสวยๆ หล่อๆ เราว่ามันคงไม่สนุกเท่านี้แน่ๆ
The Film
การดำเนินเรื่องของหนัง ด้วยความยาวประมาณ 1 ชั่วโมง 50 นาที เราแอบรู้สึกว่าโดยรวมโทนเรื่องค่อนข้างไปแบบเรียบๆ ไม่หวือหวา ไม่มีฉากฮาแบบขำก๊าก ไม่ได้มีฉากตื่นเต้นเร้าอารมณ์เท่าไร จนบางทีจะรู้สึกว่าหนังค่อนข้างเฉื่อยๆ ไปหน่อย บางฉากที่สถานการณ์นิ่งๆ ก็แช่ค้างนานไป หรือบางฉากไม่ต้องใส่มาก็ได้ ใครที่ไม่อินกับเรื่องราวแนวค้นหาตัวเองหรือโทนหนังที่ค่อนข้างผู้หญิงๆ อาจจะเลิกดูกลางคันไป สำหรับเราเราว่ามันยังอยู่ในระดับที่เราสามารถโฟกัสได้อยู่ แม้บางทีก็แอบอยากให้หนังเร่งสปีดการดำเนินเรื่องบ้างก็ตาม ส่วนช่วงท้ายของหนังนั้นทำได้ดี เป็นจุดไคลแมกซ์ที่ดึงสายตาไว้ได้ และจบได้แบบ feel good ดี
ทางด้านเพลงประกอบ ส่วนใหญ่ก็จะมีเพลงของดอลลี่ พาร์ตัน นักร้องสายคันทรี่ของอเมริกามาแทรกในเกือบทุกส่วนของหนัง เพราะดอลลี่เป็นไอดอลของวิลโลว์ดีน ซึ่งแต่ละเพลงของดอลลี่ก็เพราะและซึมไปกับเนื้อหาของหนังได้ดี บางทีฉากหนังเฉื่อยๆ แต่ได้เพลงของดอลลี่มาช่วยชูไว้ ก็ทำให้หนังมีสีสันและความครึกครื้นที่ชวนดูต่อไปได้
โดยรวมแล้ว Dumplin’ เป็นหนังแนวดราม่าเบาสมองสาย Inspiring ที่ดูได้เพลินๆ ให้กำลังใจกับคนที่ไม่มั่นใจในรูปลักษณ์ตัวเองได้ดี หนังมีโทนความเป็นผู้หญิงค่อนข้างสูง เพราะสถานการณ์หลักคือการประกวดนางงามและเล่นกับประเด็นเรื่องรูปร่างหน้าตา ซึ่งถ้าเป็นผู้ชายก็อาจจะไม่ได้อินมากเท่าไร มี element อย่างนึงของหนังผู้หญิงที่หนังไม่ได้เน้นมาก คือเส้นเรื่องความรักระหว่างโบกับวิลโลว์ดีน ที่จู่ๆ ก็รักกันแบบงงๆ ไม่มีปูทางอะไรทั้งสิ้น 555 สรุปแล้ว เป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ แล้วจะพบว่าเราอาจเอ็นดูตัวละครที่ไม่ได้มีรูปลักษณ์เพอร์เฟ็กต์เลยก็ได้
Leave a Reply