เราน่าจะคุ้นเคยกันดีกับสัญลักษณ์แดงๆ ที่แจ้งเตือนมาว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในแวดวงโซเชียลของเรา
เราอาจจะใช้เวลาเช็กฟีดข่าวแค่เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น
แต่ไม่กี่วินาทีนั้นก็มากพอที่จะเปลี่ยนชะตาชีวิตทุกอย่างได้…
นี่คือต้นกำเนิดของ Smithereens หนึ่งในตอนของ Black Mirror ซีซั่น 5 บน Netflix
สารภาพเลยว่า ตอนแรกเรารู้สึกเฉยๆ กับเรื่องนี้ รู้สึกว่ามันไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเท่าไร ช่วงแรกๆ ของเรื่องก็ยังมีความเอื่อยนิดหน่อย แต่ก็อีหรอบเดิม คือพอเนื้อเรื่องเข้าถึงจุดหนึ่ง การดำเนินเรื่องก็เข้มข้นขึ้นทันที
คำเตือน รีวิวนี้มีสปอยล์นะฮะ
Smithereens ชื่อตอนนั้นหมายถึงโซเชียลมีเดียในเรื่อง นี่คือเรื่องราวของคริส (Andrew Scott) คนขับรถจากแอป Hitcher ที่มักจะแวะเวียนไปจอดรับคนขับหน้าตึกออฟฟิศ Smithereens ในลอนดอนเสมอ
อยู่มาวันหนึ่ง เขาก็ได้รับเจเดน (Damson Idris) มาเป็นผู้โดยสาร เจเดนกำลังมุ่งหน้าไปยังสนามบินด้วยชุดสูดมาดขรึม เขาบอกคริสว่าเขาทำงานอยู่ที่ Smithereens
เท่านั้นแหละ ความซวยก็เกิดขึ้นเมื่อคริสพารถเลี้ยววกวน จนไปหยุดอยู่ที่ใต้สะพานในจุดที่ค่อนข้างเปลี่ยว คริสชักปืนขึ้นมาแล้วขู่บังคับให้เจเดนมัดมือตัวเอง ก่อนจะพาเจเดนไปยังรถอีกคนนึงที่จอดไว้ก่อนอยู่แล้วเพื่อยัดเขาเข้าท้ายรถ แต่เจเดนขอร้องบอกว่าเขากลัวที่แคบ โวยวายงอแงเสียงดังจนคริสจำใจพาเจเดนขึ้นมานั่งบนรถด้วย แต่ต้องเอาถุงคลุมหัวเอาไว้
เจเดนเอ่ยปากบอกคริสว่าแท้จริงตนเป็นแค่เด็กฝึกงานเท่านั้น นั่นทำให้คริสหัวเสียเพราะจริงๆ ก็คงอยากได้พนักงานประจำที่เป็นผู้ใหญ่มากกว่า เขาขับรถไปตามทางเรื่อยๆ จนเกือบจะชนเด็กหนุ่มสองคน เขาหักเลี้ยวรถเข้าไปในทุ่งหญ้ารกร้างท่ามกลางสถานที่ที่แสนจะปลีกวิเวก ระหว่างทาง ตำรวจเห็นรถของคริสมีท่าทีแปลกๆ และเห็นเจเดนที่สวมถุงอยู่บนหัว จึงขับรถไล่ตามมา คริสขู่ว่าถ้าตำรวจเข้ามายุ่ง จะยิงเจเดนทิ้งซะ
คริสเผยความต้องการของเขาว่า อยากคุยกับ บิลลี่ บาวเออร์ (Topher Grace) เจ้าของธุรกิจ Smithereens แน่นอนว่าเด็กฝึกงานอย่างเจเดนไม่มีทางมีช่องทางการติดต่อตรงๆ เจเดนจึงให้คริสโทรหาฮันนาห์ (Caitlin Innes Edwards) หัวหน้าแผนก HR แทน เมื่อฮันนาห์รู้เขาก็ประสานงานไปยังออฟฟิศที่อเมริกา ที่ซึ่งบิลลี่เดินทางไป และได้ค้นพบว่าบิลลี่อยู่ในช่วง retreat เข้าหาความเงียบในชนบท ไม่ติดต่อไม่สื่อสารใดๆ เป็นเวลา 10 วัน
ความสนุกของตอนนี้มันคล้ายๆ กับเวลาเราดูหนังแนวทริลเลอร์อาชญากรรม จำพวกจับตัวประกันแล้วขู่เอานู่นนี่ มันมีความกดดันและความลุ้นเวลาพวกเขาต่อรองกัน ถึงอย่างนั้น มันก็ยังไม่ได้เข้มข้นมาก เพราะเรารู้สึกว่าจริงๆ แล้วคริสก็ไม่ใช่คนเลวร้าย เขาอาจจะอยากแค่ระบายปมด้อยอะไรสักอย่างของเขาเท่านั้น และแท้จริงเขาก็ดูอ่อนแอมากๆ ด้วย เราจึงไม่รู้สึกว่าเขาเหนือกว่าเท่าไรนัก แต่ถึงอย่างนั้น สถานการณ์โดยรวมก็ยังชวนลุ้น ยิ่งมีการติดต่อสื่อสารข้ามประเทศกันหลายๆ หน่วยงาน ทั้ง Smithereens ทั้งตำรวจอังกฤษ ตำรวจอเมริกัน ทุกอย่างก็ยิ่งพัวพันยิ่งเพิ่มความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ อยากรู้ว่าพวกเขาจะจัดการกับสถานการณ์ตึงเครียดยังไง
หนังมีแอบหยอดความมีอำนาจของโซเชียลมีเดียเข้ามาด้วย จะเห็นได้ว่าฝั่ง Smithereens ที่อเมริกานั้นสืบประวัติคริสได้รวดเร็วว่องไวกว่าตำรวจมากๆ นั่นเพราะข้อมูลที่ถูกโพสในโซเชียลมีเดียนั่นเอง เป็นการพิสูจน์ว่าโซเชียลมีเดียมีข้อมูลเกี่ยวกับคนคนหนึ่งเยอะมาก ไม่ต้องสืบค้นให้ยุ่งยากซับซ้อนเลย
แน่นอนว่ากว่าคริสจะได้คุยกับบิลลี่จริงๆ ก็ลุ้นกันไปหลายยก เพราะไม่มีใครอยากให้บิลลี่เข้ามายุ่งเกี่ยวเนื่องจากเขาเป็นบุคคลสำคัญ และกลัวว่าหากได้คุยกันเสร็จเรียบร้อย คริสอาจจะฆ่าเจเดนทิ้งซะ เมื่อรู้ข่าว บิลลี่หัวเสียนิดหน่อยที่มีคนมาขัดขวางการลดละเลิกความวุ่นวายของเขา แต่เมื่อรู้ถึงความตึงเครียดของสถานการณ์ เขาก็อยากคุยกับคริสให้จบๆ ไปซะ
คริสระบายออกมากับบิลลี่ถึงอุบัติเหตุรถชนที่คร่าชีวิตคู่หมั้นของเขาไป เขาสารภาพว่าที่เกิดอุบัติเหตุนั้นเป็นเพราะระหว่างเขาขับรถ เขาได้รับเสียงแจ้งเตือนจาก Smithereens เขาจึงคลิกเข้าไปดู เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น อุบัติเหตุรถชนก็เกิดขึ้น ซึ่งคริสรู้สึกผิดอย่างมาก เขาไม่กล้าบอกใครว่าจริงๆ แล้วต้นเหตุเป็นเพราะเขา แต่ที่แน่ๆ คือเขาเองก็โทษความชวนให้ติดงอมแงมของ Smithereens ด้วย
เมื่อได้ระบายเสร็จ คริสก็ปล่อยตัวเจเดนให้เป็นอิสระ และทำท่าจะฆ่าตัวตายซะเอง เจเดนพยายามยื้อยุดไม่ให้คริสทำแบบนั้น ตำรวจเห็นก็เข้าใจผิดคิดว่าคริสข่มเหงเจเดน จึงเล็งเป้ายิงไปที่คริส
หนังตัดจบแบบไม่บอกให้รู้ว่ากระสุนนัดนั้นคร่าชีวิตใครหรือไม่ โดยตัดภาพไปยังผู้คนตามมุมโลกต่างๆ ที่เปิด Smithereens ดูตามเสียงโนติ เลื่อนอ่านแป๊บนึง ก่อนจะปิด แล้วหันไปดำเนินชีวิตประจำวันต่อ ราวกับข่าวยิ่งใหญ่ที่พวกเขาเพิ่งได้เสพนั้นเป็นเพียงเกล็ดละอองฝุ่นในอากาศเท่านั้น เราไปอ่านเจอมาว่าผู้ผลิตตั้งใจให้ตอนจบกำกวม ไม่บอกว่าใครตายรึเปล่า เพราะต้องการจะเน้นย้ำให้เห็นประเด็นนี้ ประเด็นที่ว่าใครจะตายก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะเรื่องราวทั้งหมดมันก็แค่ฟีดเล็กๆ บนหน้าจอโทรศัพท์ของคุณ
Smithereens เป็นตอนที่มีความใกล้เคียงกับความเป็นจริง ณ ตอนนี้มาก ไม่ได้ล้ำยุคอะไรเลย ตอนนี้ชวนให้เราคิดถึงผลกระทบของโซเชียลมีเดียต่อชีวิตประจำวันของพวกเรา โซเชียลมีเดียนั้นย่อเหตุการณ์ทุกอย่างให้กลายเป็นเพียงเรื่องราวเล็กๆ ที่เสพไม่กี่บรรทัดก็จบ ทั้งที่ความจริงแล้วมันอาจจะเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญมากๆ ของคนที่เกี่ยวข้อง ในขณะเดียวกัน โซเชียลมีเดียก็พยายามพัฒนาฟังก์ชั่นของตัวเองให้ผู้ใช้รู้สึกติดงอมแงง ขาดมันไม่ได้ ว่างเมื่อไรเป็นต้องเช็ก สิ่งนี้เราว่าเป็นอะไรที่เห็นกันเป็นประจำจนชินตาแล้ว เพียงแต่กรณีของคริสนั้นเป็นเคสร้ายแรงที่เล่นซะจนจุก คือเจ้าตัวคงไม่คิดว่าแค่เช็กโซเชียลแป๊บเดียว จะทำให้เกิดอุบัติเหตุถึงขั้นคนตายได้ มันเป็นเรื่องเล็กน้อยมากๆ ขี้ประติ๋วซะจนไม่มีใครคาดถึงว่าผลร้ายของมันจะเป็นได้ถึงเพียงนี้ และเมื่อมันเกิดขึ้นจริงๆ ก็คงจะรู้สึกยากที่จะให้อภัยตัวเอง
ในทางกลับกัน เราเองมองว่าไม่ใช่แค่โซเชียลมีเดียแหละที่มีส่วนถือความผิดนี้อยู่ แต่ผู้ใช้เองก็ด้วย ผู้ใช้เท่านั้นแหละที่มีสิทธิ์เลือกว่าตัวเองจะทำอะไรไม่ทำอะไร จะกดดูหรือไม่กดเปิด ทุกอย่างเราควบคุมได้ ถ้าตั้งมั่นซะอย่างว่าจะไม่เปิดดู โนติร้อยเด้งก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะแบบนี้เราเลยรู้สึกรำคาญคริสอยู่บ้าง แม้เขาจะบอกว่าตัวเองรู้สึกผิดจนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ แต่การกระทำอันแสนเล่นใหญ่ของเขาก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนเขากำลังโยนความผิดให้โซเชียลมีเดีย ง้องแง้งงอแงเป็นเด็กไร้เหตุผล ทั้งที่จริงๆ แล้วตัวเองก็ผิดที่ไปเช็กโนติในเวลาไม่สมควร (ขับรถอยู่ก็ยังเล่นมือถือ โตขนาดนี้ควรรู้ได้ละว่าไม่ควร)
โดยรวมแล้ว Smithereens เป็นอีกหนึ่งตอนที่สะท้อนด้านมืดของโซเชียลมีเดียและผู้ใช้ได้อย่างดี เป็นตอนที่ไม่ได้ล้ำยุคล้ำสมัยเลย ตัวหนังเล่นกับประเด็นเชิงสังคมและจิตวิทยามากกว่า ตอนนี้มีความยาว 70 นาที แม้ช่วงแรกจะเอื่อยนิดหน่อย แต่เมื่อเจเดนขึ้นรถมาแล้วเท่านั้นแหละ ความตื่นเต้นกำลังจะบังเกิด
Leave a Reply