Always Be My Maybe เป็นหนังรักโรแมนติกคอมเมดี้เรื่องใหม่ใน Netflix ที่ชูจุดเด่นด้วยนักแสดงนำที่เป็นชาวเอเชีย ดูจากสไตล์หนังแล้ว ก็อดคิดไม่ได้ว่ามีความคล้าย Crazy Rich Asians และ To All The Boys I’ve Loved Before
ถึงอย่างนั้น สิ่งที่จุดชนวนให้อยากดูไม่ใช่พล็อตเรื่องหรือตัวละคร แต่เป็นการเปิดเผยตั้งแต่ตัวอย่างหนังว่ามี Keanu Reeves มาร่วมเล่นด้วย
แน่นอนว่ากระแส Keanu Reeves จากหนังเรื่องนี้ค่อนข้างดังทีเดียว ถึงขั้นมี Twitter ทำมีมออกมาล้อพี่แกในฉากเปิดตัวแบบเดินสโลว์โมชั่น
เอาเป็นว่าเก็บฉากนั้นไปก่อน ขอมาเล่าถึงเนื้อหาหลักของหนังก่อนละกัน 555
Always Be My Maybe เล่าเรื่องราวของซาช่า (Ali Wong) และมาร์คัส (Randall Park) หนุ่มสาวที่รู้จักกันมาตั้งแต่ยังเด็ก พวกเขาบ้านอยู่ติดกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน สนิทกันสุดๆ
แต่แล้วเมื่อเริ่มเป็นวัยรุ่น พวกเขาก็สปาร์กกันและมีอะไรกันจนได้ เรื่องเหมือนจะดี แต่กลับเกิดเหตุบาดหมางขึ้นทำให้คนทั้งคู่ห่างเหินกันไปแบบไม่สวยเท่าไรนัก
หนังตัดมาเมื่อเวลาผ่านไป 16 ปี ไวเหมือนโกหก ซาช่ากลายเป็นเซเลบริตี้เชฟผู้โด่งดัง ต้องตระเวนไปตามเมืองต่างๆ เพื่อเปิดร้านอาหาร ส่วนมาร์คัสนั้นยังทำงานเป็นช่างแอร์อยู่กับพ่อ และออกไปเล่นดนตรีบ้าง ทั้งคู่เจอกันอีกครั้งเมื่อซาช่ากลับมายังซาน ฟรานซิสโกบ้านเกิดของพวกเขา เพื่อเปิดร้านอาหารร้านใหม่
ชีวิตของคนทั้งคู่ดูเหมือนจะไปคนละทิศละทางสุดๆ ซาช่านั้นดูเหมือนจะมีพร้อมทุกอย่าง ทั้งชื่อเสียง หน้าที่การงาน และคู่ครอง แต่ชีวิตเธอก็สะดุดกลางคันเมื่อแบรนดอน (Daniel Dae Kim) คู่หมั้นพ่วงตำแหน่งผู้จัดการของเธอกลับขอเว้นระยะห่างเพราะมีงานสำคัญที่ต้องทำ งานนี้ซาช่าและมาร์คัสจะมีโอกาสกลับมากิ๊กกันอีกครั้งหรือไม่?
สำหรับเราแล้ว Always Be My Maybe เป็นหนังรอมคอมอีกเรื่องของ Netflix ที่ดูเพลินดูสนุก (บอกแล้วว่า Netflix ถนัดแนวนี้จริงๆ) พล็อตไม่ได้มีความแปลกใหม่มากมาย เป็นเรื่องของคนที่เคยกิ๊กกันสมัยเด็กกลับมาเจอกันอีกครั้ง แต่วิธีการเล่าเรื่องของหนังนั้นสนุกและมันส์ดี บทพูดของตัวละครก็มีอารมณ์ขันและเฉียบคม งานภาพและฉากมีสีสันสดใสฉูดฉาดสมกับไลฟ์สไตล์ของซาช่าจริงๆ
แม้พล็อตจะไม่ได้ว้าวมาก แต่สิ่งที่น่าสนใจคือการเล่นกับสถานะของตัวละคร เรารู้สึกว่าหนังเน้นย้ำประเด็นนี้เยอะมาก เราจะเห็นได้ว่าซาช่าและมาร์คัสต่างก็เริ่มต้นด้วยระดับที่เท่าๆ กัน เพียงแค่มาร์คัสมีครอบครัวที่อบอุ่นกว่า แต่พอเวลาผ่านไป ซาช่ากลับกลายเป็นคนที่เปรี้ยงปร้างกว่าในเรื่องหน้าที่การงาน มีไลฟ์สไตล์ชีวิตที่หรูหราฟู่ฟ่าแบบไฮโซ และชอบการออกตะลุยค้นหาสิ่งใหม่ๆ ส่วนมาร์คัสนั้นยังคงอยู่ที่เดิม เป็นหนุ่มบ้านๆ ที่พอใจกับชีวิตสบายๆ ใน comfort zone ของตัวเอง
จุดแตกต่างตรงนี้จึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะลงเอยยังไง ระหว่างทางเราจะเห็นว่ามาร์คัสอึดอัดกับการต้องพยายามเข้าสังคมไฮโซ ดูยังไงๆ ก็ไม่ใช่เขาเลย ส่วนซาช่านั้นก็รู้สึกไม่พอใจแทนมาร์คัสที่ไม่ออกไปผจญภัยโลกให้มากกว่านี้ เธอเห็นว่าวงดนตรีของมาร์คัสน่าจะไปได้ไกลกว่าการเป็นแค่วงดังของตรอกซอย และคอยคะยั้นคะยอให้มาร์คัสออกไปเดินทางกับเธอ
อันที่จริง เรื่องนี้ไม่สามารถบอกได้หรอกว่าใครมีความสุขมากกว่ากัน ชีวิตแบบไหนทำให้แฮปปี้กว่า? เพราะเราคิดว่ามาตรฐานความสุขของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน บางทีการได้อยู่บ้านสบายๆ ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัดไปเรื่อยๆ ก็เป็นความสุขแบบพอเพียงแล้ว แต่สำหรับบางคน อาจจะต้องการความท้าทายใหม่ๆ ให้ชีวิต ต้องออกเดินทางไปที่ใหม่ๆ อยู่เสมอ หรือบางคนอาจจะต้องมีเครื่องประดับหรูหรา กินอาหารที่เข้าถึงยาก
สิ่งเหล่านี้เรามองว่าเป็นตัวกระตุ้นความสุขที่ต่างกันไป ฉะนั้นเราก็คงไม่สามารถเหมารวมได้ว่าใครมีความสุขมากกว่ากัน
ซาช่าและมาร์คัสจึงต้องพยายามหาจุดร่วม จุดที่พวกเขาจะสามารถประคองความสัมพันธ์ไปได้อย่างไม่อึดอัด ไม่รู้สึกว่ากำลังฝืนตัวเอง แต่ขณะเดียวกันก็มีความสุขกับการเปลี่ยนตัวเองเล็กๆ น้อยๆ เพื่อคนที่รัก
หนังไม่เน้นฉากโรแมนติกแบบประดิษฐ์ ส่วนใหญ่จะเน้นความฮามากกว่า และเมื่อตัวละครแสดงความโรแมนติกออกมาแบบธรรมชาติ ไม่พยายามปั้นแต่งขึ้นมา เรากลับรู้สึกว่ามันโรแมนติกมากๆ
ถึงแม้ตัวละครซาช่ากับมาร์คัสจะเป็นตัวหลัก แต่เราว่าคนที่แย่งซีนสุดน่าจะเป็น Keanu Reeves ในบทคีอานู รีฟส์เองนั่นละ (บอกแค่นี้ก็รับรู้ได้ถึงความเกรียนละ 555) คีอานูโผล่มาไม่เยอะ แค่สองฉากเท่านั้น แต่เป็นสองฉากที่ทำให้เราขำที่สุดแล้ว พี่แกเล่นเป็นตัวเองเวอร์ชั่นเว่อร์ๆ คือเป็นทั้งติสต์ ฉลาด ขี้อวด เซ็กซ์โหด เอาง่ายๆ ว่าเล่นใหญ่มาก 555 แค่ฉากเปิดตัวก็ทำเอาขำแล้ว อยากให้ไปดูกันจริงๆ โดยเฉพาะใครที่เป็นติ่งคีอานู
สิ่งนึงที่เสียดายเกี่ยวกับหนังคือคาแรคเตอร์ของซาช่า ที่เราคิดว่าน่าจะมีการโชว์ภูมิด้วยฉากทำอาหารคูลๆ ให้มากกว่านี้ คิดว่าน่าจะช่วยตอกย้ำคาแรคเตอร์เชฟของซาช่าได้หนักแน่นขึ้น เพราะในหนังนั้นมีฉากซาช่าทำอาหารอยู่น้อยมาก แถมฉากที่มีก็ไม่ได้โชว์ชัดถึงสกิลเทพขนาดนั้น คาแรกเตอร์เซเลบริตี้เชฟของนางเลยดูลอยๆ เหมือนหนังบอกให้เชื่อ บอกว่านี่ไงนางเปิดร้านเยอะมาก คนตามเยอะมาก เราก็แบบเอ้อเชื่อก็ได้วะ แต่จริงๆ คือไม่รู้เลยว่านางทำอาหารเก่งจริงรึเปล่า
แต่โดยรวมแล้ว เคมีของตัวละครก็ถือว่าเข้ากันได้ดี ทั้งพระเอกและนางเอกที่ขยันปล่อยมุกและรับส่งมุกกันได้อย่างไหลลื่น Always Be My Maybe จึงเป็นหนังโรแมนติกคอมเมดี้สายเอเชียนที่ดูสนุก ดูแล้วขำมุกตลกในหลายๆ ฉาก ไม่ได้มีซีนโรแมนติกมากมาย เน้นฮามากกว่า หนังมีความยาวประมาณ 1 ชั่วโมง 45 นาที ใครชอบแนวนี้ อยากคลายเครียด แนะนำเลย
Leave a Reply