Netflix ออกหนังโรแมนติกวัยรุ่นมาอีกแล้ว รอบนี้มีนักแสดงนำที่เราคุ้นเคยอย่าง K.J. Apa จาก Riverdale ด้วย ดูจากตัวอย่างหนังตอนแรกเราไม่ได้รู้สึกว่าเตะตาเท่าไร ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ แต่พอหนังเริ่มไปได้สักพักก็รู้สึกว่ามันมีธีมของมันอยู่
นั่นก็คือ ซัมเมอร์ครั้งสุดท้ายในชีวิตเด็กไฮสคูล ก่อนที่จะออกไปเผชิญโลกที่กว้างขึ้นในมหา’ลัย
ช่วงเวลา 72 วัน ที่เปิดโอกาสให้เราทำอะไรได้มากมาย ก่อนจะก้าวต่อไปด้วยใจที่โตกว่าเดิม
The Last Summer เล่าชีวิตช่วงฤดูร้อนครั้งสุดท้ายของวัยรุ่นหลายคนก่อนจะเข้ามหา’ลัย มีทั้งชายหญิงที่กำลังจะหยุดความสัมพันธ์เพราะติดมหา’ลัยคนละแห่ง ก่อนจะเริ่มต้นใหม่กับใครคนอื่นที่ผ่านเข้ามาพอดี, ชายหนุ่มที่หวังจะกลับไปรักกับหญิงสาวอีกครั้ง หลังแยกทางกันไป, ชายหนุ่มที่หวังฟันสาวๆ ในลิสต์, หญิงสาวที่ต้องรับเลี้ยงดูว่าที่ดาราเด็ก, เด็กหนุ่มผู้เชี่ยวชาญการเล่นสเก็ตบอร์ด และคู่หูสองหนุ่มเนิร์ดที่จับพลัดจับผลูได้แฟนสาวแก่กว่า ฤดูร้อนครั้งสุดท้ายกำลังจะทำให้ชีวิตและมุมมองของพวกเขาเปลี่ยนไป
เนื่องจากว่ามีเรื่องราวของหลายคนมากๆ หนังจึงเปลี่ยนฉากค่อนข้างเร็ว ดูฉากนี้เพลินๆ อ้าวฉากใหม่ของตัวละครใหม่มาแทนแล้ว ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ขัดอารมณ์เรามากนัก เพราะเรื่องราวของแต่ละคนก็น่าติดตามไม่แพ้กัน ช่วงตอนต้นเรื่องจะรู้สึกว่าหนังค่อนข้างดำเนินเรื่องเรียบง่าย เหมือนเล่าชีวิตคนแบบสบายๆ แต่เมื่อผ่านไปสักพักหนึ่ง หนังก็เริ่มโยนปมปัญหาเข้ามา ทำให้เนื้อเรื่องน่าลุ้นยิ่งขึ้นว่าพวกเขาจะสามารถผ่านมันไปได้ไหม
คู่แรกอย่างอเล็ค (Jacob Latimore) และเอริน (Halston Sage) เปิดฉากมาด้วยการหยุดความสัมพันธ์กันในงานปาร์ตี้ เพราะทั้งคู่ไม่อยากคงสถานะคนรักทางไกล พวกเขาสัญญากันว่าจะไม่พูดคุยกัน แค่ส่งข้อความหากันบ้างบางคราก็พอ หลังจากเลิกกันไม่นาน ต่างฝ่ายต่างก็ไปเจอคนใหม่ที่เป๊ะปังกว่า ฝ่ายอเล็คนั้นส้มหล่นได้คบกับสาวฮอตอย่างเพจ (Gage Golightly) ส่วนเอรินเองก็แจ็กพ็อตได้ไปเดตกับนักเบสบอลอย่างริคกี้ (Tyler Posey) ช่วงแรกๆ รักครั้งใหม่ของพวกเขาดูเหมือนจะไปได้ดี แต่แล้วพวกเขาก็ได้ค้นพบว่าสิ่งที่รู้มาตลอดนั้นไม่ใช่เรื่องจริง และสิ่งที่ทุกคนนับถือบูชาอย่างหน้าตาและชื่อเสียงก็ไม่ได้การันตีว่าความสัมพันธ์นี้จะอยู่ยาว สำหรับสตอรี่ไลน์นี้เราประทับใจฉากเจอกันครั้งแรกของเอรินและริคกี้ มาแหวกแนวมากๆ
คู่ที่สองอย่างกริฟฟิน (K.J. Apa) และฟีบี้ (Maia Mitchell) ไม่ได้เริ่มต้นด้วยการคบกันมาตั้งแต่แรก ทั้งคู่เคยกุ๊กกิ๊กกันมาก่อนแล้วต้องแยกทางกันไป เมื่อเจอกันอีกครั้ง กริฟฟินที่ยังรักฟีบี้ก็ได้เข้าไปใกล้ชิดสนิทสนม ช่วยเธอทำหนังที่ต้องใช้ประกวด ก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์ขึ้นมา สำหรับคู่นี้เราชอบฉากแชตกันมากๆ สื่ออารมณ์ลุ้นคำตอบของฝ่ายตรงข้ามได้ดีทีเดียว ความรักดูเหมือนจะไปได้ดีเพราะเข้ากันได้ทุกอย่าง แต่แล้วปัญหาครอบครัวก็ทำให้พวกเขาสะดุด เมื่อสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
คู่ที่สามนี้ถือว่ามาแหวกแนว คือคู่หูเด็กเนิร์ดอย่างแชด (Jacob McCarthy) และรีซ (Mario Revolori) ที่ไม่เคยได้ควงสาวที่ไหนเลย แต่เมื่อพวกเขาทำเนียนเป็นเทรดเดอร์ ก็มีสองสาวที่แก่กว่าเข้ามาสุงสิงด้วย นั่นทำให้พวกเขาได้ประสบการณ์ใหม่อย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน แชดและรีซถือว่าเป็นคาแรคเตอร์ที่เปิ่นๆ และสร้างสีสันให้หนังได้ดี แม้ว่าตัวหนังจะไม่ได้เน้นมากมายก็เถอะ
The Last Summer ไม่ได้มีแค่เรื่องรักๆ เรายังมีฟอสเตอร์ (Wolfgang Novogratz) ชายหนุ่มรูปหล่อที่สร้างลิสต์สาวๆ ที่เขาอยากฟันไว้ ฟังดูเป็นคาแรคเตอร์แบดบอยที่โหลมากๆ เห็นพฤติกรรมแล้วมองบน แต่สุดท้ายเราก็ได้รู้ปมบางอย่างที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้, ออเดรย์ (Sosie Bacon) สาวที่สอบไม่ติดมหา’ลัยในฝันสักแห่ง เธอทำงานช่วงซัมเมอร์ด้วยการเป็นพี่เลี้ยงให้ว่าที่ดาราเด็กอย่างไลลาห์ (Audrey Grace Marshall) ซึ่งช่วงแรกๆ ดูเหมือนทั้งคู่จะไม่ลงรอยกัน แต่หนังก็แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ต่างวัยที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้น ดูแล้วอบอุ่นดี, เมสัน (Norman Johnson Jr.) เพื่อนสนิทของกริฟฟิน อยากเป็นนักสเก็ตบอร์ดมืออาชีพ เราเห็นความไฟแรงในตัวคนคนนี้มาก แม้ว่าหนังจะไม่ค่อยเน้นมากเท่าไรแต่เมสันก็ทิ้งคำคมไว้น่าคิดดี ชวนให้เราฉุกนึกว่า แล้วจะรีบไปทำไม? ไม่ดื่มด่ำปัจจุบันหน่อยล่ะ?
หนังมีความ coming of age ตรงที่ตัวละครแต่ละคนก็ค่อยๆ เติบโตในช่วงจุดเปลี่ยนผ่านนี้ นอกจากปัญหาเรื่องรักๆ แล้ว ก็ยังมีปัญหาคลาสสิกของวัยรุ่นอื่นๆ อีก เช่น ไปมหา’ลัยไหนดี เลือกเรียนอะไรดี ติดที่นี่แต่ไม่มีตังค์จ่ายค่าเทอม หรือแม้กระทั่งไม่ติดสักที่เลยอย่างออเดรย์ พวกเขาจะตัดสินใจยังไง? จะค้นหาตัวเองเจอไหม? แล้วจะทำยังไงหากไม่มีที่ใดยอมรับการตัดสินใจของพวกเขาเลย?
ถึงอย่างนั้น หนังก็ไม่ได้เจาะลึกประเด็นการค้นหาตัวเองมากนัก เพราะดูเหมือนตัวละครหลายๆ ตัวจะมีจุดยืนค่อนข้างชัดเจน (บางคนอาจจะแค่ยังไม่กล้าตะครุบจุดยืนนั้นๆ) ส่วนใหญ่หนังจะเล่าว่าตัวละครเจออะไรแล้วส่งผลกระทบยังไงมากกว่า หากดูแบบภาพกว้างๆ แล้วหนังจึงไม่ได้ซับซ้อนเท่าไร ไม่ได้เจาะลึกประเด็นไหนเป็นชิ้นเป็นอัน คงเพราะมีตัวละครหลายคนด้วยเลยทำไม่ได้
ทางฝั่งโปรดักชั่น สิ่งหนึ่งที่เราชอบคืองานภาพที่คงธีมไว้ได้อย่างเหนียวแน่นมาก คือให้ฟีลที่รู้สึกว่าเป็นฤดูร้อนจริงๆ ทั้งเรื่องเลย มีการทำให้ภาพดูเหมือนพระอาทิตย์ส่องเป็นจุดๆ ตลอดเวลา ไม่รู้เหมือนกันว่าเทคนิคนี้เรียกว่าอะไร 555 ส่วนเพลงก็เพราะมาก มีหลายฉากที่ทำออกมาได้อย่างนุ่มนวลประณีต เหมือนดูงานศิลปะชิ้นหนึ่ง เห็นได้ถึงความสวยงามของเศษเสี้ยวชีวิตนั้นๆ
โดยรวมแล้วแม้ The Last Summer จะแตะเรื่องราวของวัยรุ่นแต่ละคนแบบผิวเผิน ไม่ได้เจาะลึกอย่างถึงแก่นมากนัก และไม่ได้แปลกใหม่เท่าไร แต่ก็ถือว่าสามารถเล่าเรื่องชีวิตช่วงหนึ่งของวัยรุ่นได้ดี บอกเล่าปัญหาอุปสรรคที่วัยรุ่นต้องเจอในช่วงรอยต่อได้อย่างชัดเจน ถือเป็นหนังอีกเรื่องที่น่าจะถูกใจคอหนังโรแมนติกคอมเมดี้สไตล์วัยรุ่น ที่มีความ coming of age หน่อยๆ โดยเฉพาะใครที่ชอบดูหนังที่เล่าเรื่องราวของหลายๆ คนละก็เรื่องนี้น่าจะตอบโจทย์เลยละ
Leave a Reply