รีวิว The Perfect Date (2019): ภารกิจค้นหาตัวเองผ่านการเดตหลากสไตล์

หลังจากไม่ได้ดูหนังแนว rom-com มาสักระยะ ก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ดู The Perfect Date ใน Netflix

ปกติแล้วเวลาพูดถึงหนังของ Netflix เราจะรู้สึกก้ำๆ กึ่งๆ จะบอกว่าสนุกก็พูดได้ไม่เต็มปาก แต่ถ้าเป็นหนังสไตล์ rom-com นี่เราว่า Netflix ทำได้โอเคเลยนะ สำหรับ The Perfect Date นี่ก็พล็อตน่าสนใจตั้งแต่เห็นตัวอย่างหนังละ

The Perfect Date เล่าเรื่องราวของบรู๊คส์ แรตติแคน (Noah Centineo) หนุ่มหล่อวัยไฮสคูลที่ใฝ่ฝันอยากจะเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเยล ถ้าพูดถึงความทะเยอทะยานละก็เขามีเต็มเปี่ยม ขาดก็แต่ทุนทรัพย์และความเข้าใจตัวเองที่แท้จริงว่าจริงๆ แล้วตัวเองเป็นใครกันแน่ เพื่อจะแก้ปัญหาทั้ง 2 ข้อนี้ไปพร้อมๆ กับ เขาได้ร่วมมือกับเมิร์พ (Odiseas Georgiadis) เพื่อนสนิทของเขา สร้างแอปฯ ที่สามารถให้สาวๆ มาขอใช้บริการเดตกับบรู๊คส์ได้อย่างสะดวกสบาย สาวๆ สามารถกำหนดได้ว่าจะให้เขามีบุคลิกนิสัยแบบไหน และไปทำกิจกรรมอะไรร่วมกัน (ไม่มีติดเรตนะบอกไว้ก่อน) ซึ่งไอเดียแอปฯ นี้ก็ได้มาจากตอนที่บรู๊คส์รับจ้างเป็นคู่เดตให้ซีเลีย (Laura Marano) สาวห้าวซึ่งเป็นญาติของคู่กัดเขา บรู๊คส์เห็นว่าไอเดียนี้สามารถต่อยอดมาเป็นธุรกิจเก็บเงินและค้นหาตัวเองได้ เลยลุยเต็มที่ด้วยความคึกคะนอง โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ายิ่งเขาให้ความสำคัญกับเป้าหมายของตัวเองมากเท่าไร เขาได้เผลอหลงลืมสิ่งที่สำคัญรอบด้านเขาไปรึเปล่า

เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมเรื่อง The Stand-In โดย Steve Bloom ซึ่งเราก็ยังไม่เคยอ่าน นี่ถือเป็นหนังสไตล์ high school rom-com อีกเรื่องที่ดูเพลินตลอดระยะเวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที ตัวหนังค่อนข้างใสๆ ไร้พิษภัย ไร้ฉากติดเรต อย่างมากสุดก็แค่จูบ ถือว่าใสมากๆ เลยละ พล็อตเรื่องมีความแปลกใหม่น่าสนใจตรงการรับจ๊อบของพระเอกที่ต้องสวมบทบาทไปคนนู้นคนนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งหนังก็มีขยายภาพให้เห็นเป็นช่วงๆ แต่แล้วเราก็ค้นพบว่างานประหลาดๆ ของบรู๊คส์นั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่งของหนังเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด แท้จริงแล้วหนังมีหลายประเด็นน่าสนใจที่ต้องการจะสื่อ

“การค้นหาตัวเอง” เป็นหนึ่งในธีมหลักของ The Perfect Date เลยก็ว่าได้ เพราะนี่คือโจทย์แรกที่บรู๊คส์ต้องเผชิญ เขาไม่สามารถเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดได้ว่าเขาเป็นใคร มีชีวิตยังไง น่าสนใจตรงไหน เขารู้แต่เพียงว่าเป้าหมายเขาคืออะไร และเขาก็ต้องการสิ่งนั้นมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการได้ศึกษาต่อที่เยล หรือ การได้เดตกับเชลบี้ (Camila Mendes) สาวฮอตที่เขาหมายปอง ด้วยเหตุนี้ เขาจึงพยายามเป็นทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้มาครอบครอง ยอมแม้กระทั่งละทิ้งความเป็นตัวเอง หรือโกหกว่าตัวเองเป็นคนอีกแบบหนึ่งเพื่อให้อีกฝ่ายยอมรับ

พอเทียบกันแล้ว การแสร้งเป็นคู่เดตของบรู๊คส์นั้นเทียบไม่ติดเลยกับการแสร้งว่าตัวเองเป็นคนอื่น เพราะอย่างแรกนั้นอีกฝ่ายรู้ว่าเขาแค่แสร้งทำ แต่อย่างหลังนี่อีกฝ่ายไม่รู้ และตัวบรู๊คส์เองอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ จนกระทั่งตอนหลังที่เขารู้สึกว่าการเฟคตัวเองเข้าสู่เป้าหมายนั้น ไม่ได้ช่วยให้เขามีความสุขเลย กลับจะยิ่งรู้สึกกลวงโบ๋ด้วยซ้ำไป

จะดีกว่าไหมถ้าเขาเป็นตัวของตัวเองได้อย่างสบายๆ ไปอยู่ในที่ที่ยอมรับความเป็นเขา และอยู่กับคนที่ชอบเขาจริงๆ เราชอบประโยคหนึ่งที่หญิงชราพูดกับบรู๊คส์ เธอสอนเขาเรื่องวิธีดูว่าคนนี้คือคนที่ใช่สำหรับเรารึเปล่า เธอบอกให้ลองนั่งสนทนากันดู กับคนบางคน จะรู้สึกเหมือนนั่งฟังเพลงคลาสสิกผ่านวิทยุทั้งๆ ที่ไม่มีเสารับสัญญาณ เราอยากจะปรับสัญญาณเท่าไรก็ทำไปเถอะ แต่สุดท้ายก็ฟังไม่ได้ศัพท์อยู่ดี แต่เมื่อเราพบเจอคนที่ใช่สำหรับเราแล้วจริงๆ เพียงแค่เรานั่งพูดคุย บทเพลงโซนาต้าของบีโธเฟ่นก็เล่นขึ้นมาแล้ว

และนั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างบรู๊คส์กับซีเลีย พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าบทเพลงดังกล่าวเล่นโดยอัตโนมัติเมื่อพวกเขาพูดคุยกันหรือเล่นหัวกัน

“You want to know how you can tell if you’re meant to be with someone? Just sit and have a conversation, some people when you talk to them, its like trying to listen to classical music on a radio with no antenna. You can push that dial back and forth all you want, but you only get the static. But when you’re meant to be with someone, and they truly are the one, you just sit, start talking and a Beethoven sonata will begin to play.”

การมุ่งมั่นทำงานจนลืมเวลา และใส่ใจกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้ามากเกินควร บางทีก็ทำให้สัมพันธ์ระหว่างคนรอบข้างสั่นคลอนไปด้วย อย่างที่เห็นในมิตรภาพของบรู๊คส์และเมิร์พ ที่เมื่อตอนแรกๆ พวกเขาสนิทสนมกัน แต่พอบรู๊คส์เริ่มไปรับจ้างออกเดตมากขึ้น เขาก็เริ่มลืมเลือนการใช้เวลากับเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของเขา และนั่นก็ทำให้คนทั้งคู่ห่างเหินกันไปชั่วคราว กับพ่อของเขา (Matt Walsh) ก็เหมือนกัน ด้วยความที่บรู๊คส์ไม่ได้อยากไปเรียนมหาวิทยาลัยรัฐเหมือนที่พ่ออยากให้ไปเรียน ทั้งคู่จึงมีความขัดแย้งคั่นอยู่ตรงกลาง ฝ่ายพ่อไม่รู้เลยว่าที่ลูกออกไปกลางค่ำกลางคืน หายตัวไปบ่อยๆ นั้นเป็นเพราะต้องไปทำงาน กลับนึกไปว่าลูกพยายามตีตัวออกห่าง เราว่าจริงๆ แล้วความต้องการที่ขัดแย้งกันนั้นไม่มีใครเป็นฝ่ายผิดหรอก แต่ทั้งคู่อาจจะไม่ได้มานั่งคุยกันจริงๆ จังๆ มากกว่า และคิดไปเองว่าอีกฝ่ายต้องการตีตัวออกห่าง

ทางด้านความสัมพันธ์ระหว่างพระนาง เราว่าไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมาก และเผลอๆ ตัวหนังแทบจะไม่ได้ตอกย้ำเลยด้วย คือเรารู้สึกว่ามันพัฒนาไปเองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องปรุงแต่งอะไรมากเลย นั่นอาจจะเป็นเพราะเคมีของทั้งคู่เข้ากันตั้งแต่ฉากแรกๆ แล้วก็ว่าได้ บรู๊คส์นั้นเป็นผู้ชายสบายๆ ที่ต้องการจะทำให้ใครคนหนึ่งประทับใจ แต่ในสายตาของซีเลียแล้วเขาก็ดูเหมือนตัวตลกที่น่าเอ็นดูคนหนึ่ง ซีเลียนั้นเป็นผู้หญิงแข็งนอกอ่อนใน กล้าที่จะพูดวิจารณ์ตรงๆ แต่ขณะเดียวกันก็พร้อมยื่นมือไปช่วยเหลือบรู๊คส์ด้วย

Noah Centineo ในบทบรู๊คส์นั้นเล่นได้น่ารักน่าชังดี คือด้วยลุคของเขาที่เหมาะเป็นหนุ่มฮอตมากๆ เหมือนอย่างในเรื่อง To All The Boys I’ve Loved Before แต่ในเรื่องนี้กลับเป็นเพียงเด็กหนุ่มธรรมดาที่พยายามไขว่คว้าโอกาส มันก็ให้ฟีลแบบขัดแย้งๆ แต่น่าเอ็นดูไปอีกแบบ ฝั่ง Laura Marano ในบทซีเลียนั้นก็สวยมาก เข้มมาก เฟี้ยวมาก ดูเป็นผู้หญิงกวนๆ แกร่งๆ แบบยืนได้ด้วยตัวเอง อินเนอร์เหวี่ยงๆ มาเต็ม คำพูดแต่ละคำก็เชือดเฉือดกัดจิกได้สะใจดี

อีกคนที่ถ้าไม่กล่าวถึงคงรู้สึกว่าขาดหายไปคือ Camila Mendes ในบทเชลบี้ สาวบ้านรวยสุดฮอตที่ดูเหมือนจะเหนือไปกว่าบรู๊คส์ในทุกๆ ด้าน เรื่องนี้คามิล่าเล่นได้สมบทบาทอีกแล้ว ลุคคล้ายๆ คุณหนูเวโรนิก้าใน Riverdale แต่ในเรื่องนี้จะมีความน่าหมั่นไส้เข้ามาผสมบ้าง ซึ่งคามิล่าก็แสดงออกมาได้ดี ทำให้รู้สึกว่าเป็นผู้หญิงที่เกินเอื้อมจริงๆ นั่นละ

โดยรวมแล้ว The Perfect Date เป็นหนัง rom-com ที่ทำได้ดีตามมาตรฐาน rom-com ทั่วไป รวมถึง rom-com ใน Netflix ด้วย สามารถดูได้เพลินๆ ไม่เบื่อ คาแรคเตอร์ของพระนางนั้นเข้าคู่กันได้ดี เวลาสองคนนี้ปะทะกันก็จะเพลินมากเพราะต่างไม่มีใครยอมใคร เล่นมุกตบมุกกันได้อย่างเป็นจังหวะธรรมชาติ ตัวเรื่องมีให้แง่คิดน่าสนใจ ไม่มีดราม่าอะไรมากมาย ค่อนข้างไหลลื่นและเน้นความชิลๆ เป็นส่วนใหญ่ ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีเบื่อเลย