ตอนที่เห็นตัวอย่างหนังเรื่องนี้ครั้งแรก ชื่อ “ชาแซม” ติดหูเรามาก ไม่ใช่อะไร เพราะมันไปเหมือนกันแอปหาเพลงชื่อดังที่เราใช้ประจำนั่นแหละ ยังแอบสงสัยอยู่ว่าชื่อชาแซมในหนังนี่เค้าเลียนแบบแอปฯ รึเปล่า แต่พอไปค้นข้อมูลเพิ่มเติม ถึงค่อยรู้ว่าซูเปอร์ฮีโร่คนนี้เค้าอยู่มานานกว่าที่เราคิดนะ ไม่ได้เพิ่งแจ้งเกิด
ประวัติของชาแซมนั้นไม่ธรรมดา จุดเซอร์ไพรส์อยู่ตรงที่เขาเคยเป็นกัปตันมาร์เวลมาก่อน อ้าว! ไหงเป็นงั้น ได้ข่าวว่าชาแซมเป็นฮีโร่ค่ายดีซีไม่ใช่รึ คือจริงๆ แล้วเนี่ยชาแซมในชื่อกัปตันมาร์เวลนั้นกำเนิดขึ้นตั้งแต่ปี 1940 เป็นการ์ตูนของ สนพ.ฟาวเซ็ทคอมิกส์ เรื่องนี้เป็นการ์ตูนฮีโร่ที่ยอดขายดีมากๆ และเผลอๆ ดีกว่าซูเปอร์แมนอีก เรียกได้ว่าจริงๆ แล้วชาแซมมีความสูสีกับซูเปอร์แมนเลยทีเดียว เพียงแต่เราแค่ไม่รู้มาก่อน
แต่แล้วเรื่องก็พลิกผันเมื่อฟาวเซ็ทโดนค่ายดีซีนั่นแหละกล่าวหาว่ากัปตันมาร์เวลมาลอกซูเปอร์แมน ฟาวเซ็ทเลยต้องหยุดการตีพิมพ์กัปตันมาร์เวล ต่อมาในปี 1971 ฟาวเซ็ทก็ขายลิขสิทธิ์ตัวละครให้ดีซีไป แต่กว่าดีซีจะปลุกปั้นตัวละครขึ้นมาจริงๆ จังๆ ก็โดนค่ายมาร์เวลตัดหน้าด้วยการเซ็นลิขสิทธิ์ชื่อกัปตันมาร์เวลไปซะก่อน ดังนั้นดีซีเลยต้องเปลี่ยนกัปตันมาร์เวลตัวเองให้กลายเป็นชาแซม จะได้ไม่ไปซ้ำกับของปู่สแตน ลี ตอนที่รู้เรื่องพวกนี้ก็แอบอึ้งไปเหมือนกัน ไม่นึกว่าตัวละครนี้จะมีดราม่ามาก่อนนะเนี่ย
Shazam! ของปี 2019 นี้ ถือเป็นหนังแสดงคนเรื่องแรกนับตั้งแต่หนังเวอร์ชั่น 1941 ที่ใช้ชื่อว่า Adventures of Captain Marvel ซึ่งหนังเวอร์ชั่น 2019 นี้กำกับโดย David F. Sandberg ผู้กำกับชาวสวีเดน ที่เคยกำกับหนังผีอย่าง Lights Out และ Annabelle Creation โอ้โห แต่ละเรื่องนี้หลอนๆ ทั้งนั้นบอกเลย ทำให้แอบนึกถึง Aquaman ที่ได้ James Wan เจ้าพ่อหนังผีมากำกับเช่นกัน เทรนด์ผู้กำกับหนังผีสลับมือมาทำหนังฮีโร่กำลังมาหรือนี่? อย่างไรก็ดี ทั้ง Aquaman และ Shazam! ถือว่าทำออกมาได้ดีมากๆ ถ้าไม่บอกก็ไม่รู้เลยว่าผู้กำกับมาจากโซนหนังผีมาก่อน
รีวิวนี้ขอเน้นที่ Shazam! ละกัน จากตัวอย่างหนังเราก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้เป็นแนวซูเปอร์ฮีโร่สายเกรียน คาดหวังไว้เลยว่าานอกจากฉากบู๊นั้นจะต้องมีฉากตลกโปกฮาแน่ๆ เนื้อเรื่องเล่าถึง “บิลลี่ แบตสัน” (Asher Angel) เด็กหนุ่มอายุ 14-15 ปี เขาพลัดหลงกับแม่ตอนเด็กๆ ทำให้กลายเป็นเด็กกำพร้า ทุกวันนี้เขาเชื่อว่าแม่ยังอยู่ที่ไหนสักที จึงพยายามตามหาเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เจอสักที ตัวบิลลี่เองนั้นก็แสบใช่ย่อยเพราะเปลี่ยนสถานที่สงเคราะห์เด็กมาหลายแห่งแล้ว จนกระทั่งมาลงเอยที่บ้าน Vasquez นำทีมโดยวิกเตอร์และโรซ่า ผู้ซึ่งเปรียบเสมือนพ่อแม่ของครอบครัวนี้ นอกจากนี้ยังมีเด็กๆ ร่วมบ้านอย่างแมรี่ เพโดร ยูจีน ดาร์ล่า และเฟรดดี้ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเด็กกำพร้า ที่มีเชื้อชาติแตกต่างกันไป
อยู่มาวันหนึ่ง หลังเกิดเหตุที่บิลลี่ได้เข้าไปช่วยเฟรดดี้จากการโดนรุ่นพี่รุม บิลลี่ก็ถูกพลังลึกลับนำพาเขาให้ไปเจอกับ “ชาแซม” พ่อมดซึ่งกำลังหา “แชมเปี้ยน” คนใหม่มาสืบทอดพลังจากเขา เพื่อต่อกรกับพลังชั่วร้าย เลยกลายเป็นว่าบิลลี่นั้นจับพลัดจับผลูได้พลังวิเศษมาครอบครอง โดยสามารถแปลงกายเป็น “ชาแซม” ซูเปอร์ฮีโร่หนุ่มวัยเต็มตัวที่มีพลังมากมายได้เพียงแค่เอ่ยคำว่า “ชาแซม” เท่านั้น ตอนแรกบิลลี่ก็คิดว่านี่คงเป็นเรื่องน่าสนุก แต่เริ่มหวั่นๆ แล้วเมื่อต้องเจอกับผู้ร้ายอย่าง ดร.แธดดิอุส ซิวาน่า ผู้ซึ่งเคยถูกชาแซมปฏิเสธ เลยหันเข้าหาพลังชั่วร้ายอย่างบาปทั้ง 7 ประการแทน ชาแซมจะสามารถเอาชนะแธดดิอุส ผู้ซึ่งต้องการพลังจากชาแซมมาเสริมอำนาจตัวเองได้หรือไม่?
หนังมีความยาวประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ พร้อมเอ็นด์เครดิตอีก 2 อัน ช่วงแรกๆ ของหนังจะเน้นเป็นการปูพื้นตัวละครซะมากกว่า จะไม่ได้มีฉากอลังการงานสร้างอะไรมาตรึงตาเรามาก การดำเนินเรื่องก็จะค่อนข้างเรียบเรื่อยติดจะเฉื่อยๆ หน่อย แต่ให้อภัยเพราะฮีโร่คนนี้มาครั้งแรก ก็ต้องมีการสร้างฐานให้รู้จักกันสักหน่อย พอบิลลี่เริ่มเล่นกับการเป็นชาแซมเท่านั้นแหละ หนังก็เริ่มมีอะไรน่าสนใจขึ้น มีฉากตื่นตาตื่นใจมากยิ่งขึ้น แต่โดยรวมแล้วก็ไม่ได้ลุ้นจนหายใจไม่ทัน เราเรียกว่ามันเป็นจังหวะแบบดูเพลินๆ มากกว่า คือมีเหตุการณ์อะไรมาคอยดึงความสนใจให้ชวนดูต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่เบื่อ และที่ขาดไม่ได้คือมุกตลกต่างๆ ที่ได้ผลมาก มาได้อย่างพอเหมาะ ถูกจังหวะ ไม่มีอันไหนที่รู้สึกว่าแป้ก คือตลกได้อย่างเป็นธรรมชาติจริงๆ
ขอรีวิวฝั่งตัวร้ายก่อนละกัน เปิดฉากแรกมา เราก็เจอกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญอันเป็นปมที่ฝังใจตัวร้ายอย่างแธดดิอุส (Mark Strong) มาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการถูกทั้งพ่อและพี่ดูถูกว่าอ่อนแอ ไม่มีวันเป็นผู้ชายเต็มตัวได้ ครั้นพอถูกเลือกจากชาแซมแล้วไม่ผ่านการทดสอบ แธดดิอุสก็โดนชาแซมตอกย้ำอีกว่าอย่างแกไม่มีวันได้เป็นแชมเปี้ยนหรอก แน่นอนว่าสิ่งนี้ฝังใจแธดดิอุสมาจนถึงตอนโต เมื่อสบโอกาส เขาหาทางกลับไปยังมิติของชาแซมอีกครั้ง และจัดการครอบครองพลังวิเศษของบาปทั้ง 7 ประการซะ ทีนี้แหละ พอได้อำนาจมา แธดดิอุสก็ได้กลายเป็นตัวร้ายเต็มตัว ทั้งแก้แค้นทั้งอาละวาดไปทั่ว ปล่อยสัตว์ประหลาดออกมาฆ่าคนกระจุย ซึ่งแธดดิอุสเนี่ยก็เป็นศัตรูที่เก่งกาจใช้ได้เลย จนตอนแรกเราก็คิดไม่ออกว่าเด็กเด๋ออย่างบิลลี่จะไปเอาชนะเขาได้อย่างไร
ความจริงแล้ว แธดดิอุสเห็นมีอำนาจมากมายแล้วกร่างขนาดนั้น เขาก็มีมุมอ่อนแอเหมือนกัน เป็นปมด้อยที่ลยยังไงก็ลบไม่ออก ตรงนี้ก็น่าเห็นใจเหมือนกันนะเพราะเจอครอบครัวทรีตแบบนั้นไปก็คงฝังใจเป็นธรรมดาแหละ แต่แธดดิอุสใช้สิ่งนี้เป็นแรงผลักดันด้านลบไง เลยทำให้เลือกทางเดินที่ผิด
ตรงกันข้ามกับบิลลี่ พระเอกของเรื่อง รายนี้จริงๆ แล้วจะเรียกว่าเด็กมีปัญหาก็พอได้อยู่ แต่อาจจะไม่ได้รุนแรงมากมายนัก เขาแค่ขาดความอบอุ่น และไม่กล้าเปิดใจให้คนใหม่ๆ เพราะเชื่อว่าตัวเองมีแม่ที่แท้จริงรอเขาอยู่ เรื่องวุ่นๆ ที่เขาก่อก็เพื่อตามหาแม่ทั้งนั้น ช่วงแรกๆ เราจึงรู้สึกว่าบิลลี่เป็นพวกเก็บกด พูดน้อย มนุษย์สังคมแย่ เจอเฟรดดี้ชวนคุยขนาดนั้นยังเงียบได้อีก แต่ลึกๆ แล้วบิลลี่ก็เป็นคนดี เห็นได้จากการที่เขาช่วยเหลือเฟรดดี้จากการโดนรุม ตรงนี้แหละที่ทำให้พ่อมดชาแซมพอเห็นศักยภาพของบิลลี่ แม้ว่าจริงๆ แล้วเหตุผลอีกส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะพ่อมดต้องการจะวางมือจริงๆ จังๆ แล้วก็ตาม
ด้วยความที่ได้รับพลังมาแบบไม่มีใครสอน บิลลี่จึงต้องฝึกฝนทุกอย่างด้วยตัวเอง ค้นหาไปเรื่อยๆ ว่าเขามีพลังอะไร ตรงนี้หนังทำได้ดีนะ ให้เวลากับการแสดงให้เราเห็นว่าบิลลี่ฝึกอะไรบ้าง ดูเพลินมากๆ ถ้าถามว่าพลังของชาแซมที่ถูกโฆษณาว่ายิ่งใหญ่อลังการนั้นมีอะไรบ้าง คำตอบก็อยู่ในชื่อละ
S = Solomon (เทพแห่งปัญญา)
H = Hercules (เทพแห่งความแข็งแรง)
A = Atlas (เทพแห่งความอดทน)
Z = Zeus (เทพแห่งพลังเวท)
A = Achilles (เทพแห่งความกล้าหาญ)
M = Mercury (เทพแห่งความเร็ว)
โอ้โห ลึกซึ้งอะไรอย่างนี้ ตอนแรกก็นึกอยู่ว่าชื่อ Shazam! นั้นได้แต่ไรมา แรนด้อมมาเองรึเปล่า ที่แท้มีความหมายอยู่เบื้องหลังขนาดนี้ แปลง่ายๆ ก็คือ พลังของชาแซมนั้นรวบรวมพลังเหล่านี้ของเหล่าผู้วิเศษเอาไว้นั่นเอง
ฉากการพัฒนาสกิลของบิลลี่นั้นได้รับการผสมโรงอย่างเข้ากันของเฟรดดี้ (Jack Dylan Grazer) เด็กหนุ่มพิการที่คลั่งไคล้ซูเปอร์ฮีโร่ ถ้าไม่ได้เฟรดดี้นี่บิลลี่อาจจะมาไม่ได้ไกลขนาดนี้ ตรงนี้ชื่นชอบความสัมพันธ์ของทั้งคู่ มันดูแน่นแฟ้นและพร้อมจะช่วยเหลือกันดี แม้ว่าจะเจอเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างก็ตาม
และแน่นอนว่าพอเด็กหนุ่มอายุ 15 มาอยู่ในร่างผู้ใหญ่ ก็ย่อมต้องมีเปิ่นๆ บ้างเป็นธรรมดา ตรงนี้เราชอบการแสดงของ Zachary Levi ที่เล่นได้เหมือนเด็กเกรียนจริงๆ เผลอๆ จะเกรียนกว่าบิลลี่ตอนอายุสิบห้าซะอีก ตรงนี้เป็นจุดหนึ่งที่เราแอบรู้สึกว่ามันไม่ค่อยต่อกัน คือพอบิลลี่กลายเป็นชาแซม นางจะดูล้นมาก เกรียนมาก พูดมาก แอ็คทีฟสุดๆ แต่พอกลับเป็นบิลลี่ร่างเด็ก กลับดูเงียบๆ เก็บตัว ไม่ค่อยพูดอะไร ไม่ค่อยบ้าบอเท่า คาแรคเตอร์ของสองร่างนี้สำหรับเราเลยยังไม่สมูธเท่าไรนัก แต่เหตุผลนึงที่เราไปเจอมาก็คือว่าพอบิลลี่กลายเป็นชาแซม เขาก็กล้าทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ กล้าจะเกรียน เพราะไม่มีใครรู้จักเขา แถมเขายังเป็นผู้ใหญ่แล้วด้วย จึงไม่มีกำแพงขวางกั้นในเรื่องที่เด็กทำไม่ได้ ถ้าเล่นเหตุผลแบบนี้ ก็พอจะเมคเซ้นส์อยู่
ช่วงแรกๆ บิลลี่ในร่างชาแซมก็ยังมีความเป็นเด็กสูงอยู่ กล่าวคือ นางได้พลังมาแต่นางก็ไม่ได้ใช้พลังทำในสิ่งที่ดีมีประโยชน์ ไม่ได้ช่วยสังคมเท่าไร แต่กลับเอาพลังไปใช้เรียกความดังหรือหาประโยชน์ให้ตัวเองง่ายๆ อย่างการโชว์แสดงพลังแลกกับเงินทิป การให้ถ่ายเซลฟี่ด้วย การลักลอบขโมยน้ำในตู้กดน้ำ หรือ การแกล้งทำลายรถของคู่อริ ซึ่งเราว่ามันก็เป็นธรรมดาของเด็กละมั้ง ที่พอมีพลังก็อยากจะโชว์พาวสักหน่อย แต่ต่อจากนั้นไม่นานบิลลี่ก็ต้องเจอกับบททดสอบของจริง เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะมาทดสอบสกิลของเขา ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือคนให้รอดจากอุบัติเหตุ หรือ การปะทะกับแธดดิอุสก็ตาม
ตอนที่บิลลี่กับแธดดิอุสเจอกัน เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้ซีเรียสดุเดือดขนาดนั้น คือเห็นว่าแธดดิอุสตอนแรกนี่มาอย่างเข้มเชียว โหดมาก แต่พอมาเจอบิลลี่ในร่างชาแซม ก็ดูเหมือนไม่ว่าแธดดิอุสจะทำอะไรก็ดูน่าขำไปซะหมด เรียกได้ว่าออร่าของบิลลี่ในร่างชาแซมนั้นแกร่งกล้ามาก ไม่ว่าจะอยู่ในซีนไหนก็ทำให้ซีนนั้นดูฮาไปได้ตลอด ตรงนี้เลยอาจจะไม่ถูกใจสายบู๊ฮาร์ดคอร์ที่ชอบการต่อสู้แบบจริงๆ จังๆ เมืองพังไปข้าง อันนี้ก็มีบ้างแต่มันไม่ได้เยอะขนาดนั้น คงเป็นเพราะนี่เป็นภาคแรกด้วยละ แถมบิลลี่ยังเพิ่งฝึกใช้พลัง เลยยั้งมือไว้ก่อน
นอกจากจะเป็นหนังฮีโร่คอมเมดี้แล้ว อีกจุดสำคัญของหนังคือการเน้นย้ำประเด็นเรื่องครอบครัว ทำให้หนังมีความลุ่มลึกขึ้นอีกระดับหนึ่ง ตั้งแต่ปมของแธดดิอุสที่ร้ายเพราะครอบครัว ปมของบิลลี่ที่ตามหาแม่ ซึ่งเราว่ามันแหม่งๆ ชวนให้สงสัยตั้งแต่แรก จนมาถึงครอบครัวอุปถัมภ์ที่บิลลี่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งด้วย ครอบครัว Vasquez นี้มีจุดเด่นตรงที่แต่ละคนมีเชื้อชาติแตกต่างกันไป ความสนใจก็แตกต่างกัน แต่พวกเขาก็รักกันราวกับเป็นครอบครัวเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกันเลย ตอนแรกบิลลี่ก็ยังไม่รู้สึกอย่างนั้น แต่พอผ่านเหตุการณ์อะไรมาด้วยกันมาก มุมมองของเขาก็เริ่มเปิดกว้าง ว่าแท้จริงแล้ว คำว่าครอบครัวไม่ได้จำกัดแค่บุคคลที่มีสายเลือดเดียวกันเท่านั้น แต่หมายถึงคนที่ทำให้เรารู้สึกว่าที่นี่คือ “บ้าน” ต่างหาก ไม่ว่าเขาคนนั้นจะเป็นใคร มีเชื้อชาติอะไรก็ตาม
ประเด็นเรื่องครอบครัวนี้ยังโยงไปเรื่องความสามัคคีและอำนาจ ในหนังนั้นเราจะการได้ครอบครองอำนาจอยู่เพียงผู้เดียวนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์อย่างที่เราคิด เพราะต้องกลัวเสมอว่าจะมีใครแย่งอำนาจนี้ไปไหม แถมยังต้องคอยบริหารอำนาจนั้นด้วยมือของตัวเองเพียงผู้เดียวอีก แต่ถ้าเรามีการกระจายอำนาจไปยังผู้อื่นบ้าง และร่วมกันใช้อำนาจนั้นอย่างสามัคคี ก็จะช่วยให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปอย่างลื่นไหลขึ้น เรื่องใหญ่ๆ ที่เคยคิดว่าทำไม่ได้ด้วยตัวคนเดียวนั้น หากร่วมมือกันทำ ก็สามารถเสร็จสิ้นได้ง่ายนิดเดียว
บอกเลยว่า Shazam! มีฉากเซอร์ไพรส์แน่นอน แบบที่เราไม่ได้คาดคิดมาก่อนด้วย ซึ่งมันก็เป็นอะไรที่กินใจและประทับใจมากๆ โดยรวมถือเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้มีแค่ความสนุก ความฮา และฉากบู๊อย่างเดียว แต่ยังเจาะลึกถึงมุมมองต่อครอบครัวและความอบอุ่นของความสัมพันธ์ กลายเป็นหนังที่มีครบรสจริงๆ และด้วยความที่มันเป็นหนังใสๆ มุกตลกก็ไม่ได้หยาบคายหรือติดเรต หนังเรื่องนี้จึงเหมาะดูได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยละ
Leave a Reply