เราคิดว่า “วัย” หรือ “ช่วงอายุที่ต่างกัน” นั้นส่งผลอย่างมากต่อความสัมพันธ์ของผู้คน
ยิ่งพอเป็นความสัมพันธ์แบบคู่รัก ก็แอบคิดไม่ได้ว่ายิ่งอายุห่างกันเท่าไร ก็ยิ่งยากที่จะเกิดเท่านั้น ลองคิดว่าจะต้องหลงรักคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ หรือ เด็กวัยประถมเงี้ย คิดแค่นี้ก็ขนลุกแล้ว
แต่ Strange Weather in Tokyo ท้าทายกำแพงกั้นอันนี้ เพราะวรรณกรรมญี่ปุ่นจากปลายปากกาของ Hiromi Kawakami เล่มนี้มีตัวละครพระนางที่อายุห่างกันกว่า 30 ปี แถมทั้งคู่ก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วด้วย โดยนางเอกอย่างสึกิโกะนั้นอายุเข้าวัยกลางคนแล้ว ประมาณ 30 ปลายๆ ใกล้จะ 40 ส่วนฝ่ายชายนั้นเป็นคุณครูของเธอสมัยเรียนอยู่มัธยม ดูยังไงๆ ทั้งคู่ก็ไม่น่าสานสัมพันธ์ได้…แต่มันก็เป็นไปแล้ว
Strange Weather in Tokyo เปิดเรื่องมาด้วยการเจอกันโดยบังเอิญของสึกิโกะ หญิงสาวชาวออฟฟิศธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ไม่ได้โดดเด่นอะไร กับ “เซ็นเซย์” หรือคุณครูของเธอสมัยเรียนมัธยม ในบาร์แห่งหนึ่งที่เธอชอบไปบ่อยๆ อันที่จริงทั้งคู่ก็เจอกันบ่อยที่บาร์แห่งนี้ แต่ไม่เคยพูดคุยกัน จนกระทั่งวันหนึ่งที่เซ็นเซย์ทักเธอก่อน กลายเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์แปลกๆ ของทั้งคู่
หลังจากวันนั้น สึกิโกะและเซ็นเซย์ก็นัดเจอกันเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นที่บาร์แห่งเดิม ไปดื่มต่อที่บ้านของเซ็นเซย์ ไปเดินตลาด ไปเดินป่าเก็บเห็ด ไปงานชมซากุระ ไปเล่นปาจิงโกะ เลยไปถึงการไปเที่ยวต่างจังหวัดสองต่อสอง ระยะห่างที่แคบลงอย่างช้าๆ นั้นช่วยสานสัมพันธ์ของทั้งคู่ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รู้ตัวอีกทีพวกเขาก็ขาดกันและกันไม่ได้ไปเสียแล้ว
นี่เป็นเรื่องราวความรักแบบผู้ใหญ่มากๆ และเป็นความรักที่เน้นจังหวะละมุนละไม เรียบเอื่อย เชื่องช้า แต่ก็มีความประณีตตามแบบวรรณกรรมญี่ปุ่น ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดำเนินแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่เร่งรีบ เราได้ค่อยๆ ทำความรู้จักกับตัวละครไประหว่างทาง และรู้สึกพลอยสนิทสนมไปด้วยเวลาพวกเขาคุยกัน ด้วยความที่อายุห่างไกลกว่า 3 ทศวรรษนี่แหละ บทสนทนาและปฏิสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงมีความน่าสนใจ
สึกิโกะเป็นตัวแทนสาวรุ่นใหม่ ดูเป็นคนใจร้อนตึงตัง ดื้อดึง ไม่ได้ประณีตเรียบร้อย ในขณะที่เซ็นเซย์เป็นตัวแทนของคนรุ่นเก่า เป็นผู้ชายที่สุขุม ประณีต มีมารยาทตามแบบฉบับดั้งเดิม และเข้มงวดตามสไตล์อาจารย์ หลายครั้งที่เซ็นเซย์เตือนสึกิโกะเวลาเธอมีอากัปกิริยาไม่เหมาะไม่ควร เช่น รินสาเกให้ผู้ชายก่อน แวะมาห้องผู้ชายตอนดึกๆ กินอาหารอย่างมูมมาม หรือใช้คำพูดไม่เพราะ ในขณะที่สึกิโกะก็จะหัวรั้นและมองเซ็นเซย์เป็นคนหัวโบราณ แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งคู่ก็สามารถปรับตัวเข้าหากันได้
“A person can learn all manner of things, no matter where he finds himself, provided his spirit is determined.” – Sensei
สิ่งที่เราชอบเกี่ยวกับตัวเซ็นเซย์อย่างหนึ่งคือความละเมียดละไมในการมองทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว เราจะรู้สึกว่าเซ็นเซย์ถ่ายทอดทุกอย่างที่เห็นผ่านตาหรือสัมผัสกับมือออกมาได้อย่างกับเป็นบทกวี ตัวอย่างเช่น อาหาร ซึ่งเซ็นเซย์จะสามารถอธิบายความสวยงามและความเข้ากับของวัตถุดิบได้ราวกับเป็นงานศิลปะชั้นดี นอกจากนี้มุมมองต่อสิ่งต่างๆ ของเซ็นเซย์ก็ลุ่มลึกน่าสนใจ เช่น การที่เขาเก็บแบตเตอรี่ที่ถ่านหมดไปแล้ว เพื่อเป็นการระลึกว่าครั้งหนึ่งแบตเตอรี่เคยพลีชีพเพื่อให้พลังงานแก่เครื่องเล่นเทปของเขา หรือ การที่เขาเลือกซื้อลูกไก่ไปเลี้ยงสองตัวโดยไม่สนว่ามันจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย เพราะขอเพียงมีสองตัว อีกตัวก็จะได้ไม่เหงา
“It’s not poetic, it’s simply my impression.” – Sensei
อีกจุดที่เรารู้สึกว่าวรรณกรรมแอบสอดแทรกไว้คือมุมมองความรักของฝั่งชายและหญิง อาจจะเพราะผู้บรรยายเป็นสึกิโกะด้วย เราเลยจะได้เห็นมุมมองของฝั่งผู้หญิงมากกว่า เราจะได้เห็นความอ่อนไหวของเธอ ความต้องการของเธอ ความคะนึงถึงของเธอที่มีต่อเซ็นเซย์ แต่เราจะไม่รู้แน่ชัดว่าเซ็นเซย์รู้สึกอย่างไร จะรู้สึกเหมือนเธอไหม แต่ที่แน่ๆ คือบางฉากบางตอนก็มีความตลกร้ายตรงที่ว่าสึกิโกะเหมือนจะหวั่นไหวไปเองฝ่ายเดียว ในขณะที่เซ็นเซย์นั้นมีอย่างอื่นให้ครุ่นคิดมากมาย และดูเหมือนจะไม่ได้แบ่งเวลามาคิดถึงเธอมากเท่าที่เธอแบ่งให้เขา
“While I had been agonising over my feelings for Sensei, he had been agonising over the puzzle of the octopus.” – Tsukiko
ซึ่งมันก็อาจจะจริงที่เซ็นเซย์เหมือนจะเป็นฝ่ายที่ปิดกั้นมากกว่าสึกิโกะ เราไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความรักในอดีตของเซ็นเซย์ที่ล่มสลายมาแล้วรึเปล่า เลยทำให้เซ็นเซย์ไม่กล้าที่จะเปิดใจให้ความสัมพันธ์ครั้งใหม่ ยิ่งเซ็นเซย์เป็นคนที่คิดเยอะด้วยแล้ว คงไม่ชอบความผิดหวังที่ทำให้ตัวเองรู้สึกเสียเซลฟ์แน่นอน บางครั้งบางตอนเลยดูเหมือนสึกิโกะพยายามอยู่ฝ่ายเดียว โดยไม่สามารถเข้าใกล้เซ็นเซย์ได้มากกว่านั้น แม้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูเหมือนจะยืดหยุ่นและเป็นธรรมชาติ แต่ก็เหมือนมีกำแพงบางอย่างคั่นกลางระหว่างเธอกับเซ็นเซย์ ทำให้ไม่สามารถเอื้อมหากันได้อย่างสุดกำลัง
“As if there were an invisible wall between us. It might seem flexible and blurred, but when compressed it could withstand anything, nothing could get through. A wall made of air.” – Tsukiko
แต่สุดท้าย ทั้งคู่ก็สามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคไปได้ และได้เริ่มความสัมพันธ์กันอย่างเป็นทางการ แม้ว่าจริงๆ เราจะมองว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่มันเริ่มมาตั้งนานแล้วก็เถอะ เพราะสิ่งที่ทั้งคู่ได้ประสบพบเจอมาด้วยกันนั้นมันมากมายจริงๆ การเริ่มต้นความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการจึงเปรียบเสมือนการทำให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้น ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ใช่ความสัมพันธ์ไร้ชื่อเรียกอีกต่อไป ไม่ใช่ความสัมพันธ์เบลอๆ อธิบายไม่ถูกอีกต่อไป
โดยรวมแล้ว เราชอบ Strange Weather in Tokyo นะ เราไม่ได้อ่านวรรณกรรมญี่ปุ่นมาสักพักแล้ว รู้สึกคิดถึงบรรยากาศเนิบนาบแต่อบอุ่น เชื่องช้าแต่อ่อนโยน ละเอียดละเมียดละไม สำหรับเรื่องนี้ก็เป็นแบบนั้นเลย มีความสบายๆ ไปช้าๆ แต่ก็มีการแฝงมุกตลกเสริมความน่ารักให้เนื้อหาไม่เรียบจนเกินไป เราแนะนำสำหรับใครที่อยากอ่านนิยายรักอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ได้เน้นความหวานหยดหรือร้อนแรง แต่ไม่แนะนำสำหรับคนที่หาหนังสือเพื่ออ่านเอาสนุก เพราะคุณอาจจะเบื่อเอาได้ เนื่องจากเนื้อเรื่องไม่มีจุดตื่นเต้น หักมุม หรือลุ้นระทึกเลย มันเหมือนเป็นการบอกเล่าพัฒนาการความสัมพันธ์ของคนสองคนสองวัย…ที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง มากกว่า
Leave a Reply