เป็นอีกครั้งที่เราได้เจอคอนเซ็ปต์ “แอบรักเพื่อน” อันเป็นคอนเซ็ปต์ฮิตตลอดกาลของภาพยนตร์ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะการแอบรักเพื่อนมันเป็นความรู้สึกที่น่าจะเคยเกิดกับใครหลายๆ คน เอามาเล่นกี่ทีๆ ก็เรียกเรตติ้งได้ตลอด เป็นเรื่องใกล้ตัวที่สามารถหยิบยกมาเล่าได้อีกหลายต่อหลายรอบ สำหรับ Friend Zone นี้ก็เป็นสไตล์โรแมนติก-คอมเมดี้ สไตล์ถนัดของ GDH เค้าแหละ เราเองเป็นแฟนคลับค่ายนี้อยู่แล้วเลยไม่คิดจะพลาด บวกกับนักแสดงอย่างนาย ณภัทรและใบเฟิร์น พิมพ์ชนกที่โคจรมาเจอกันครั้งแรก เลยอยากจะเห็นว่าเคมีเข้ากันแค่ไหน
Friend Zone เริ่มด้วยการพาเราไปรู้จักความสัมพันธ์ฉันเพื่อนอันแน่นแฟ้นของปาล์ม (นาย ณภัทร) และกิ๊ง (ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก) ที่ซี้กันมาตั้งแต่มัธยม เคยมีวีรกรรมเด็ดเผ็ดแสบร่วมกัน ฝั่งปาล์มนั้นก่อนหน้านี้ก็ยังกั๊กๆ สถานะเพื่อนไว้อยู่ จนกระทั่งกิ๊งเริ่มไปมีแฟนนั่นแหละ ตัวเองก็เริ่มรู้สึกโหวงๆ ต่างคนก็ต่างไปมีความสัมพันธ์กันคนอื่นๆ แต่สุดท้ายก็จะกลับมาซบไหล่เพื่อนตัวเอง ทีนี้ กับแฟนคนล่าสุดของกิ๊งอย่างพี่เท็ด (เจสัน ยัง) ก็เป็นคนที่กิ๊งหลงมากๆ ถึงขั้นตามจับผิดว่าแฟนไปมีอะไรกับสาวที่ไหนไหม ถึงขั้นบินข้ามน้ำข้ามทะเลตามแฟนไปตลอดโดยมีปาล์มนี่แหละที่ก็คอยอยู่เคียงข้างในฐานะเพื่อนเสมอ แต่ยิ่งนานวันเข้าความรู้สึกของทั้งคู่ก็ยิ่งสั่นคลอน ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่กล้าข้ามเส้นความเป็นเพื่อนกันสักทีเพราะกลัวว่าถ้าข้ามไปแล้วพัง ก็จะกลับมาเป็นเพื่อนกันไม่ได้อีก

เอาเข้าจริง พล็อตมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรไปมากกว่าเพื่อนแอบรักเพื่อน ปากแข็งไม่บอกความรู้สึกไปสักทีเพราะกลัวจะเสียเพื่อนนั่นแหละ พล็อตด้านความสัมพันธ์จึงไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับหนังเรื่องนี้เราว่าเป็นสีสันความคอมเมดี้และมุกตลกที่ใส่มามากกว่า ไม่ว่าจะเหตุการณ์หลุดโลกต่างๆ นานาหรือการที่ตัวละครทำอะไรแปลกๆ ล้วนดึงความสนใจของคนดูได้หมด และทำให้หนังดู “แปลก” ไปจากเรื่องอื่นๆ พอสมควรเลย มุกตลกที่ทำให้คนดูหัวเราะได้เกือบตลอดทั้งเรื่องนี่ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของหนัง เพราะมันทำให้เราไม่รู้สึกเบื่อเลยระหว่าง 2 ชั่วโมงที่หนังฉาย

หนังมีความเป็นการ์ตูนโคตรๆ หลายๆ ฉากอย่างฉากเกาะป้ายงี้ ฉากฟาดกีตาร์ ฉากฟาดน้ำแข็ง ฉากหนีลิง ฯลฯ มีความเซอเรียลขั้นสุด เล่นใหญ่ไปอีก ทั้งฉากทั้งนักแสดง ไปสุดจริงๆ อันนี้ขอชื่นชมนักแสดงทั้งพระนางเลยที่เล่นกันแบบไม่ห่วงหล่อห่วงสวย จัดเต็มฉากบ้าๆ บอๆ ให้เป็นจริงขึ้นมาได้เนี่ย และด้วยความที่หนังมันชูความเป็นโรแมนติก คอมเมดี้ จึงไม่ค่อยมีฉากดราม่าเศร้าซึ้งเท่าไร ถามว่ามีมั้ยมันก็มี แต่มันไม่ได้ไปสุดอะ มันยังไม่ถึงขั้นเสียน้ำตา ซึ่งอันที่จริงตัวเราเองเป็นคนร้องไห้ยากกับเรื่องรักๆ ของหนุ่มสาวอยู่แล้วแหละ สำหรับเรื่องนี้มันเลยไม่ได้จุกอกเท่าไร แต่ก็ยังถือว่าทำได้ดี ยังอินไปกับความรู้สึกของตัวละครได้
ด้านคาแรคเตอร์ตัวละคร เรารู้สึกว่านางเอกอย่างกิ๊งเป็นอะไรที่น่ารำคาญมาก 555 เป็นหนึ่งตัวอย่างของผู้หญิงที่หมกมุ่นกับความรักจนไม่เป็นอันทำอะไร ไม่สามารถยืนหยัดด้วยขาตัวเองได้ ต้องให้พระเอกแจ้นมาช่วยเหลือตลอด และเอาจริงๆ นางก็ดูไม่ค่อยมีประโยชน์กับคนรอบข้างเท่าไรนอกจากเป็นตัวภาระให้คนอื่นๆ ต้องคอยดูแล คือเราดูแล้วก็ยังไม่รู้สึกว่านางมีคุณค่าให้พระเอกมาหลงรักอะ แต่ความรักมันบังคับกันไม่ได้นี่นะ ทางฝั่งพระเอกอย่างปาล์ม โอโห นี่มันพ่อเพื่อนคนดีคนงามในฝันของสาวๆ ชัดๆ! คือขอแค่ได้เป็นเพื่อนกับคนแบบนี้ก็ไม่ขออะไรไปมากกว่านี้แล้ว เป็นเพื่อนที่ดีมากๆ สุดจริงๆ เพื่อนเรียกให้ไปหาที่ไหนก็ไป ต่อให้ต้องบินข้ามน้ำข้ามทะเลข้ามประเทศก็ยอมไปหา ไปให้พึ่งพิง อะไรมันจะดีขนาดนี้ แต่ก็นะ คงเพราะปาล์มแอบรักกิ๊งด้วยไง ถ้าไม่ได้รักอาจจะไม่ลงทุนถึงขนาดนี้

หนังชูประเด็นเรื่องความแตกต่างของความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนกับแฟนได้ชัดดี เราชอบตรงที่มีการเน้นย้ำประโยคที่ว่าเพื่อนกันไม่มีทางเลิกกัน แต่ถ้าเป็นแฟนก็อาจจะเลิกกัน (เอาเข้าจริงเป็นเพื่อนกันก็เลิกกันได้ 555) เพราะอย่างนี้ขอเป็นเพื่อนดีกว่าจะได้คบกันไปนานๆ เราคิดว่านี่ก็เป็นไอเดียความสัมพันธ์ที่ดีนะ แบบเป็นเพื่อนกันไปสบายๆ ไม่ต้องหึงหวงอะไรกัน
แต่…แต่!! ความสัมพันธ์นี้จะดำรงต่อไปได้ตราบใดที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ไปมีแฟนซะก่อนอะเราว่า เพราะถ้ามีแฟน แฟนก็ต้องเป็นที่หนึ่งอยู่ดี ไปเที่ยวกับแฟน กินข้าวกับแฟน ซื้อของขวัญให้แฟน คนที่เป็นเพื่อนก็ต้องเฟดตัวเองออกมา แล้วก็ต้องถูกปล่อยให้เป็น loser อยู่คนเดียว

มองๆ ไปแล้ว นี่ก็เหมือนเป็นทฤษฎีเกมของความสัมพันธ์ หากทั้งคู่ใจตรงกัน และใจกล้าพอที่จะตกลงปลงใจเป็นแฟนกัน ทั้งคู่ก็จะมีความสุขกันไป (ผลตอบแทนที่ดีที่สุด) แต่ถ้าใจไม่กล้าพอ หรือไม่ได้ชอบพอกัน ขออยู่เฟรนด์โซนกันทั้งคู่ ความสุขก็จะน้อยลงมา (ผลตอบแทนที่ดีน้อยลงมา) ทว่าถ้าเกิดฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยากเป็นแค่เพื่อน ในขณะที่อีกคนอยากเป็นแฟน อันนี้เริ่มไม่สนุกแล้ว เพราะฝ่ายที่อยากเป็นแค่เพื่อน ก็อาจจะไปเจอคนใหม่ที่จะมาเป็นแฟน กลายเป็นการหักหลังเพื่อนไป ฝ่ายที่ได้ชัยชนะคงหนีไม่พ้นฝ่ายที่มีแฟน ส่วนฝ่ายที่แพ้ก็คือฝ่ายเพื่อนที่โดนเท

ถ้าให้พูดกันแบบง่ายๆ ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการใจกล้าสารภาพกันไปตรงๆ ว่าคิดยังไงกับอีกฝ่าย ถ้าเค้าคิดเหมือนกันก็จะได้ตกลงกันไปเลยว่าจะอยู่แฟนโซน หรือเฟรนด์โซน แต่ชีวิตจริงมันไม่ได้ง่ายเหมือนเกม สารภาพรักไปแล้วก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรับได้มั้ย เกิดรู้สึกกลัวจนไม่อยากเป็นเพื่อนกับเราขึ้นมา อันนี้ก็ซวยไป หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจจะกลัวเหมือนกิ๊ง ที่ว่าถ้าเป็นแฟนกันก็อาจจะเลิกกัน และอาจจะมองหน้าเป็นเพื่อนกันไม่ติด เลยขอเป็นเพื่อนกันไปดีกว่า (ทั้งที่จริงๆ ตัวเองก็ชอบเค้า) หรืออีกกรณีนึงที่ตารางนี้อาจจะใช้ไม่ได้เลย ก็คือเพื่อนคนนึงอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับเพื่อนอีกคนนึงเลยก็ได้ หากให้มีแฟนเป็นเพื่อนตัวเองก็คงไม่มีความสุขเท่ามีแฟนเป็นคนอื่น กรณีนี้คะแนนข้างบนก็จะผิดเพี้ยนไป ใช้ตารางข้างบนไม่ได้แล้ว
เพราะชีวิตจริงไม่สามารถใช้สมการสูตรคำนวณมาหาคำตอบฉันท์ใด ความรักก็ไม่สามารถบังคับหัวใจกันได้ง่ายๆ ฉันท์นั้นแหละ
Friend Zone จึงเป็นหนังอีกเรื่องที่ลงไปสำรวจความตื้นลึกหนาบางของพื้นที่นี้ว่ามันมีตัวแปรอะไรมากกว่าที่เราคิด มันอาจไม่ใช่แค่การไม่ชอบพอกันเลยหยุดไว้ที่สถานะเพื่อน แต่บางทีมันอาจจะหมายถึงการชอบพอกันมากเกินไปจนไม่อยากเสียคนคนนั้นไป เลยขอเป็นเพื่อนต่อไปเพราะจะได้ไม่ต้องเลิกกันก็เป็นได้ ตัวหนังสนุกดูเพลินทั้ง 2 ชั่วโมง ไม่มีช่วงน่าเบื่อนะสำหรับเรา เพราะตัวละครมีสีสัน รู้ตัวอีกทีก็ผูกพันเอาใจช่วยตัวละครไปแล้ว ถือเป็นอีกหนึ่งหนังที่เหมาะสำหรับการคลายเครียด ดูเอาสบายๆ เลย
Leave a Reply