Disney ปล่อยของอีกแล้ว แน่นอนว่าคนชอบหนัง Disney อย่างเราก็โดนล่อลวงด้วยตัวอย่างหนังอีกเช่นเคย ทั้งภาค เสียง ซีจี เอ็ฟเฟ็กต์ และฉากบรรยากาศที่เหมือนอยู่ในฝัน กึ่งเรียลกึ่งแฟนตาซี ทำให้ยิ่งอยากเห็นหนังฉบับเต็ม
Mary Poppins Returns เป็นหนังภาคต่อจาก Mary Poppins ภาคแรกที่ออกฉายตั้งแต่ปี 1964!! เป็นการทิ้งช่วงที่ยาวนานมาก เรายังไม่เคยดูภาคแรก ไม่รู้ว่าเป็นยังไง เลยขอรีวิวแค่ภาคนี้ก่อนละกันนะ
Mary Poppins Returns เปิดด้วยการเกริ่นให้เรารู้จักกับครอบครัวแบงส์ อันประกอบไปด้วยพี่น้องอย่างไมเคิลและเจน พ่วงด้วยลูกของไมเคิลอีก 3 คนคือแอนนาเบล จอห์น และ จอร์จี้ ครอบครัวของพวกเขากำลังประสบปัญหาเรื่องบ้านที่กำลังจะถูกธนาคารยึดเพราะไม่สามารถจ่ายหนี้คืนได้ทัน พวกเขาต้องหาใบหุ้นธนาคารของพ่อให้เจอเพื่อที่จะได้จ่ายหนี้ได้ ท่ามกลางสภาวะวิกฤตินี้ แมรี่ ป๊อปปินส์ พี่เลี้ยงเด็กสุดมหัศจรรย์ที่เคยเลี้ยงดูไมเคิลและเจน ก็ได้กลับมาอีกครั้งเพื่อกอบกู้ศรัทธาของพวกเขาให้กลับคืนมา รวมถึงมาสอนเด็กๆ เรื่องมุมมองความคิดต่างๆ ด้วย
ก่อนจะดู เราก็คาดหวังไว้แล้วละว่านี่ต้องเป็นหนังแนวเด็กๆ ตามแบบฉบับ Disney แหงๆ แต่…ไม่นึกว่ามันจะเด็กขนาดนี้! ตัวหนังส่วนใหญ่เต็มไปด้วยฉากร้องเพลง เต้นรำ อารมณ์แบบการแสดงบรอดเวย์ ได้ฟีลเหมือนไปดูโชว์ในดิสนีย์แลนด์มากกว่ามาดูหนัง ถ้าใครชอบดูฉากร้องเพลงเต้นรำอะไรแบบนี้ก็น่าจะดูเพลินเลยเพราะมีเยอะจริงๆ แต่ถ้าใครคาดหวังว่าจะได้มาดูหนังจริงๆ ก็อาจจะเผลอหลับได้ (ฮา) เพราะตัวหนังไม่ค่อยได้โฟกัสที่เส้นเรื่องเท่าไร พล็อตค่อนข้างเรียบง่าย ไม่หวือหวา เน้นฉากแฟนตาซีราวกับอยู่ในโลกจินตนาการมากกว่า ซึ่งหลายๆ ฉากก็หาคำอธิบายไม่ได้หรอกว่าทำไมเป็นอย่างนั้น ทำไมคนลอยได้ ทำไมหลุดไปใต้ทะเลได้ ทางที่ดีคืออย่าสงสัยเลย เพราะแมรี่ ป๊อปปินส์ “ไม่เคยอธิบายอะไร”
ทางฝั่งตัวละคร ที่เด่นที่โดนที่สุดคงหนีไม่พ้นแมรี่ ป๊อปปินส์นั่นเองแหละ เอมิลี่ บลันท์แสดงได้ดีมาก คาแรคเตอร์ของนางเป็นพี่เลี้ยงที่ดูสง่าและเป๊ะสุดๆ ในมุมมองของเด็กก็จะมองว่าเป็นผู้ใหญ่เฮี้ยบๆ คนหนึ่ง แต่พอเราดูหนังไปเรื่อยๆ เราก็จะได้ค้นพบตัวตนของเธอว่าจริงๆ แล้วเธอใจดีและอ่อนโยนนะ แถมยังเข้าใจความเป็นเด็กมากๆ ด้วย
เราชอบหลายๆ บทเพลงที่แมรี่ (และหลายๆ ตัวละคร) ร้อง เพราะมันสอดแทรกไปด้วยแง่คิดที่พอฟังๆ ไปแล้วมันกินใจดีนะ เช่น การรำลึกว่าทุกอย่างที่เรานึกว่าหายไปนั้น จริงๆ แล้วไม่ได้หายไปไหนหรอก มันต้องทิ้งร่องรอยอะไรไว้สักอย่างนั่นแหละ หรือ เรื่องการปรับเปลี่ยนมุมมองชีวิต ที่ว่าทุกอย่างเราสามารถกำหนดได้เองทั้งนั้นไม่ว่าจะดีหรือร้าย เราว่ามันเป็นการสอนเด็กที่เข้ากับวัยดีอะ การร้องเพลงเนี่ย
โดยรวมแล้ว ตัวละครในหนังจะเป็นเหมือนตัวละครในนิทาน คือมีตัวดี ตัวร้าย ชัดเจนไปเลย ไม่มีตัวเทาๆ เหมือนสมัยนี้ที่เรานิยมกัน เวลาดูมันเลยรู้สึกเหมือนเราอยู่ในอีกโลกนึง เป็นโลกนิทานที่คนดีก็จะดีไปเลย คนชั่วก็ชั่วไปเลย เวลาที่มีแต่คนดีๆ ในฉาก ก็จะรู้สึกว่าเฮ้ยบรรยากาศแบบนี้มันดีจัง สังคมแบบนี้มันดีนะ
ทางด้านงานโปรดักชั่นก็ยังอลังการสมชื่อ Disney เช่นเคย รอบนี้พิเศษตรงที่มีการเบลนด์ภาพการ์ตูนแบบ 2 มิติเข้ามาผสมกับนักแสดงจริงๆ ด้วย ได้ความแฟนตาซีแบบแปลกใหม่ดี เพราะปกติส่วนใหญ่เราจะเจอแต่แบบ 3 มิติไง อีกอย่างที่ชอบคือคอสตูมนักแสดง ดูย้อนยุคและแฟนซีไปในคราวเดียวกัน โดยเฉพาะฉากท้ายๆ ตอนที่บรรยากาศสดใสสมฤดูใบไม้ผลิ คอสตูมแต่ละคนก็ดูสีสันสดใสตามฉากไปด้วย งามอะ
สรุปแล้ว Mary Poppins Returns คือหนังเด็กที่แท้จริง ตัวหนังไม่ได้เน้นความเป็นพล็อตเป็นเรื่องราวเท่าไร แต่เน้นไปที่ฉากร้องเพลงเต้นรำและฉากแฟนตาซีมากกว่า เหมาะมากสำหรับเด็กๆ ที่เน้นดูภาพสวย ไม่เน้นดูปมเรื่องของหนัง ผู้ใหญ่อาจจะรู้สึกว่ามันโหวงๆ เพราะถ้าตัดฉากร้องรำทำเพลงและฉากแฟนซีออกไป พล็อตของหนังก็จะไม่ค่อยมีอะไรแปลกใหม่เท่าไร เป็นการดำเนินเรื่องง่ายๆ สไตล์นิทานเด็ก ที่น่าตื่นตาตื่นใจหลักๆ ของหนังเรื่องนี้ก็จะเป็นเวทมนตร์ของแมรี่ ป๊อปปินส์ซะมากกว่า ดังนั้น เรื่องนี้อาจไม่เหมาะกับคนที่หวังจะเสพเรื่องราวของหนังแบบจริงๆ จังๆ เท่าไร แต่จะเหมาะสำหรับคนที่อยากเข้าไปเสพอรรถรสด้านภาพและเสียง และมุ่งหวังอยากจะกลับไปเป็นเด็กที่มีความสุขกับสิ่งเรียบง่ายอีกครั้ง
Leave a Reply