สุดท้ายเราก็พ่ายแพ้ต่อกระแส Bangkok Art Biennale จนได้
ออกตัวก่อนเลยว่าปกติการไปดูนิทรรศการศิลปะไม่ใช่งานอดิเรกของเรา นานๆ ทีจะได้มีโอกาสไปสักที ตอนแรกเราก็ไม่คิดว่าจะได้มาล่าแต้มงานนี้ แต่พอได้ยินกระแสด้านบวกจากหลายๆ เสียงเข้า ก็อดใจไม่ไหวอยากลองไปบ้าง ยิ่งพอดูตัวอย่างงานอาร์ตทั้งหลายแล้วก็ยิ่งตื่นเต้น รู้สึกว่ามันมีอะไรๆ มากกว่าแค่ไปดูภาพวาด มีงานหลายแขนงหลายชนิดให้เลือกดู ว่าแล้วก็ไปศึกษาเพิ่มเติม
สำหรับงานนี้จะมีชิ้นงานศิลปะวางกระจายอยู่ทั่วกรุงเทพฯ ไม่ใช่แค่ที่หอศิลป์ (BACC) อย่างที่เราเข้าใจตอนแรก (เพียงแต่หอศิลป์ฯ มีชิ้นงานเยอะสุด) สำหรับเส้นทางการเดินทาง เจ้างานบอกว่ามี 2 รูทหลักๆ คือ City Route กับ River Route

ไอ้คนไม่ชำนาญเส้นทางอย่างเราจะเริ่มจากอะไรได้ ก็ต้องเริ่มจาก City Route ที่เน้นงานศิลปะตามแนวรถไฟฟ้านี่แหละ ไปง่าย ไปสะดวก งานอยู่ในห้าง ไม่น่าล่ายาก สำหรับทริปนี้เราจะเจาะไป 4 สถานที่คือ One Bangkok, Central Embassy, CentralWorld และ BACC
เราแนะนำว่าสำหรับใครที่คิดจะไปดูงานนี้ ควรทำการบ้านล่วงหน้าก่อนนิดนึงด้วยการเข้าไปศึกษาข้อมูลเว็บไซต์ www.bkkartbiennale.com ดูว่ามีงานไหนน่าสนใจบ้าง อยู่ที่ไหนบ้าง งานแต่ละชิ้นที่เราสนใจมีแบ็กกราวด์หรือประวัติความเป็นมายังไง ใครเป็นคนสร้าง จะยิ่งทำให้อินและสนุกกับการหาชิ้นงานเหล่านั้นมากๆ อีกทั้งยังช่วยให้สะดวกขึ้นด้วยเพราะจะทำให้รู้ว่าเราต้องไปดูงานชิ้นไหน ที่ไหนบ้าง ไม่ใช่ไปแบบงงๆ และไม่รู้ว่าเก็บงานครบรึยัง เดี๋ยวจะไม่คุ้มค่ารถเอา
นอกจากนี้ก็โหลดแอปฯ BAB ของเขามาด้วยเลยก็ดีนะ ติดมือถือไว้ ในแอปฯ มีแผนที่ที่ปักหมุดแหล่งโชว์งานอย่างชัดเจน มีข้อมูลของแต่ละศิลปินครบพร้อม และบอกชัดเจนว่าที่ไหนมีชิ้นงานอะไรบ้าง (เสียดายแอปฯ หน่วงไปบ้างบางที และเซฟงานที่อยากดูได้แค่ 10 งาน)
เราเริ่มออกเดินทางช่วงสายๆ ของวันเสาร์ เวลาประมาณ 10 โมง นั่ง MRT ไปลงสถานีลุมพินี ออกทางออกสถานทูตเยอรมัน เพื่อมุ่งไปยังจุดหมายแรกก็คือ BAB Box ในโครงการ One Bangkok ที่กำลังสร้างอยู่นั่นละ เดินแป๊บเดียวเอง งานหาไม่ยาก เดินสักพักจะเจอสนามหญ้าใหญ่ๆ และรูปปั้นหมาสีขาวกับดอกไม้สีแดง ตั้งเด่นเป็นสง่าราวกับจะประกาศให้เราโล่งใจว่าถึงแล้วนะ

ชำเลืองตามาอีกนิด ก็จะเห็นว่ามีอาคารเล็กๆ ที่พอมองผ่านหน้าต่างเข้าไปข้างในจะเห็นการจัดแสดงตุ๊กตาสัตว์มากมาย ตรงนี้แหละคือที่ที่เราจะเข้าไป เมื่อเข้าไปในอาคารทีมงานก็จะให้เราลงทะเบียนเซ็นต์ชื่อก่อน ตรงนี้มีหนังสือไกด์บุ๊กของนิทรรศการขายด้วย เราก็ซื้อมาเลย 100 บาท พกติดตัวไว้ดูระหว่างทาง + เป็นของที่ระลึกด้วย ชั้นแรกที่เรามองเห็นจากด้านนอกก็จะมีงาน 2 ชิ้น คือ Animal Kingdom เป็นตุ๊กตาสัตว์แฟนตาซีมารวมตัวกัน กับ Love Me ตุ๊กตาหมูมีปีกสีชมพู โซนตรงนี้จะให้อารมณ์มุ้งมิ้งแฟนตาซีมากมาย

เสร็จจากตรงนี้เราก็เดินไปอีกทางหนึ่งที่ทีมงานบอกว่าจะมีบันไดให้ขึ้นไปชั้น 2 ระหว่างทางก็เจอคาเฟ่เก๋ๆ เหมาะสำหรับมานั่งจิบกาแฟพักขา แต่ตอนนี้เรายังมีแรงก็ไปต่อจ้า

ขึ้นชั้น 2 ไปก็จะเจอบรรดางานศิลปะมากมายมาต้อนรับเรา โดยส่วนใหญ่งานที่นี่จะเน้นเป็นพวกภาพวาด


มีอันนึงที่โดดออกมาคืองานประติมากรรมเรืองแสงของ Marina Abramović ชื่อ “Standing Structures for Human Use” เป็นแท่นสูงๆ ที่ให้ผู้ชมมีส่วนร่วมด้วยการขึ้นไปยืน สวมหูฟังเพื่อกั้นเสียงภายนอก และใช้มือสัมผัสแร่หินที่เสียบอยู่บนเสา กระตุ้นให้เราใช้ประสาทสัมผัสอย่างเต็มที่






และที่พลาดไม่ได้คือภาพยนตร์สั้นความยาว 30 นาทีในห้องดำชั้น 2 ซึ่งเป็นภาพยนตร์สั้นชื่อ “Inverso Mundus” ของ AES+F ซึ่งเราโคตรชอบ ชอบมาก นั่งดูเพลินเลย เป็นการสร้างโลกสมมติที่ทุกๆ อย่างกลับด้านไปหมด เช่น ผู้หญิงมีอำนาจเหนือผู้ชาย สัตว์มีอำนาจเหนือมนุษย์ คนไม่มีอำนาจกลายเป็นคนกุมอำนาจ เนื้อหาเจ๋งและภาพก็เซอร์เรียลดี ไม่ได้ถ่ายรูปตัวอย่างมาให้ดู ไปดูกันเองนะ อันนี้แนะนำ
เมื่อดูภาพยนตร์จนจบ เราก็ออกจากที่นี่โดยมีจุดมุ่งหมายต่อไปคือ Central Embassy ซึ่งเราเดินทางย้อนกลับไปด้วย MRT แล้วไปต่อ BTS ลงสถานีเพลินจิต ที่นี่เราตั้งใจจะมาดูต้นผลไม้ Fruit Tree ของ Choi Jeong Hwa หน้าห้างนี่ละ แต่ไหนๆ เข้าโซนห้างมาแล้วก็จัดการเก็บนิทรรศการคริสต์มาสของเค้าด้วยซะเลย ทั้งของ Central Embassy และ Central Chidlom สวยงามไม่แพ้กัน ถือว่าโชคดีมากที่วันนี้ได้ทั้งงานศิลปะ และงานคริสต์มาส



เสร็จจากตรงนี้เราก็เดิน Sky Walk จากชิดลมไปจุดหมายต่อไปคือ CentralWorld ซึ่งมีฟักทองลายจุดของป้า Yayaoi Kusama อยู่ โดยฟักทอง 14 ผลที่ลอยตัวอยู่ตรงช่องกลางบันไดเลื่อนนั้นจะอยู่ใกล้ๆ Isetan

เสร็จแล้วก็แวบออกไปดูลาน CentralWorld ข้างนอกที่เค้าจัดงานคริสต์มาสสักหน่อย เดี๋ยวจะเสียเที่ยว



ถ่ายรูปตรงนี้เสร็จเราก็ออกจาก CentralWorld ผ่านโซน Groove ที่ซึ่งมีงานภาพดอกไม้ของ Angki Purbandono แปะอยู่ตรงทางเดิน

จากตรงนี้เราเดินไป BTS สยามเพื่อที่จะขึ้นรถไฟต่อไปยัง BTS สนามกีฬาแห่งชาติ ตอนนี้เป็นเวลาใกล้ๆ บ่าย 2 แล้ว เริ่มหิวแล้วละเลยแวะหาอะไรทานแถวนั้นก่อน จากนั้นก็มาต่อกันที่หอศิลป์ฯ หรือ BACC ที่ซึ่งเป็นไฮไลต์เด็ดของงาน ตั้งหน้าตั้งตารอที่นี่สุดๆ เลย


อย่างแรกที่เราเห็นหน้าหอศิลป์ฯ คืองาน Alien Capital เป็นสิ่งก่อสร้างคล้ายๆ บ้าน เดินมาอีกฝ่ายก็จะเป็นเรือ Boat of Hope พอเข้าไปข้างในชั้น 1 เราก็จะเจอตะกร้าสีสันสดใสห้อยระโยงระยางลงมา ดูอลังการแบบบ้านๆ ดี

ไปอ่านเจอรีวิวมาว่างานที่เด็ดมากๆ อีกชิ้นคืองานที่อยู่ในห้องเล็กๆ ใกล้ๆ ตะกร้านี่ละ เราเห็นคนต่อคิวยาวเลย นี่คืองาน The Settlement ซึ่งจะให้เราไปอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ รอบด้านจะเล่นกับเงาสะท้อนในกระจก ทำให้รู้สึกเหมือนห้องยาวต่อไปไม่มีสิ้นสุด เราชอบมากงานนี้ เสียดายถ่ายรูปมาไม่ค่อยชัดเท่าไร ลองไปหาดูรูปที่เค้าโปรโมตได้นะ อันนี้สวยมาก
งานนี้เข้าได้ครั้งละ 4 คน เอาสัมภาระไว้ข้างนอกให้หมด พอเสร็จแล้วก็ต้องออกมาเขียนรีวิวให้งานด้วยนะ



สำหรับงาน Bangkok Art Biennale ใน BACC นั้นจริงๆ จัดอยู่ 3 ชั้น คือชั้น 1,7,8 รู้แบบนี้เราเลยขึ้นลิฟต์ไปชั้น 5 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดที่ขึ้นลิฟต์ได้ ฝากกระเป๋าไว้ในล็อกเกอร์เพราะเค้าไม่ให้เอากระเป๋าและเครื่องดื่มขึ้นไป (เช่าล็อกเกอร์ราคา 20 บาท) จากนั้นก็ขึ้นบันไดเลื่อนต่อไปยังชั้น 7 และเดินขึ้นทางเดินไปยังชั้น 8 ก่อน เรากะว่าจะไล่ดูจากล่างลงมา


ระหว่างทางขึ้นเนินก็มีงานศิลปะเรียงรายด้วย อย่าลืมมองนะ



ชั้น 8 ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ไว้สำหรับทำการแสดงสด ซึ่งวันที่เราไป ไม่มีแสดงจ้า คาดว่าน่าจะหมดช่วงเวลาไปแล้วมั้ง แอบเสียดายเหมือนกัน เพราะถ้าได้ดูสดๆ คงจะดีไม่น้อย รอบนี้เลยทำได้แค่ถ่ายรูปฉากที่ศิลปินใช้ประกอบการแสดง
นอกจากนี้ ชั้น 8 ยังมีงานศิลปะเชิงสถาปัตยกรรมนิดๆ หน่อยๆ ให้คนเข้าไปเล่นกันด้วยนะ

พอลงมาชั้น 7 ชั้นนี้เรียกได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางเลยก็ว่าได้มั้ง เพราะงานส่วนใหญ่อยู่ชั้นนี้ เดินไล่ดูไปได้เลย ไฮไลต์เด็ดๆ ที่เราว่าต้องไปดูก็คือ Tape Bangkok ที่ศิลปินสร้างอุโมงค์ดักแด้ด้วยเทปแล้วให้คนขึ้นไปมุดในนั้นได้ เราไม่ได้เข้าไปแต่ดูจากข้างนอกเราว่ามันเจ๋งดีนะ แปลกตาดี
นอกจากนี้ก็มี The State of Suffering ที่เป็นเหมือนกันสร้างความทรมานออกมาเป็นรูปทรง ดูแล้ว surreal ดี












งานมีเยอะ ค่อยๆ ดูค่อยๆ เสพกันไปนะ
จบไปอีกหนึ่งวันกับ City Route แม้ว่าจะไม่ได้เก็บครบทุกจุดแต่เราก็ค่อนข้างเต็มอิ่มเลย ถ้ามีโอกาสก็ยังจะลองไปดูงานจุดอื่นๆ บ้าง รอบหน้าจะมารีวิวงานแถบริมแม่น้ำเจ้าพระยานะ
ข้อมูลสถานที่:
BAB Box @ One Bangkok
เปิด: จันทร์ – อาทิตย์ 10:00 – 21:00
ปิด: อังคาร
Central Embassy
เปิด: จันทร์ – อาทิตย์ 11:00 – 22:00
CentralWorld
เปิด: จันทร์ – อาทิตย์ 11:00 – 22:00
BACC
เปิด: Tue – อาทิตย์ 10:00 – 21:00
ปิด: จันทร์
หมายเหตุ: งาน Bangkok Art Biennale จัดแสดงตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2018 – 3 กุมภาพันธ์ 2019