ปกติเราไม่ค่อยชอบดูหนัง/ซีรีส์อิงประวัติศาสตร์เท่าไร เพราะเราไม่ค่อยมีพื้นฐานความรู้ด้านประวัติศาสตร์แน่นพอที่จะทำให้อินหรือสนุกไปกับเรื่องราว ซึ่งพล็อตเรื่องส่วนใหญ่ก็จะค่อนข้างซับซ้อนเข้มข้น ไม่ได้เรียบง่ายเข้าใจง่ายเท่าไร
แต่สำหรับ Scholar Who Walks The Night นี่เป็นกรณีที่ต่างออกไป ซีรีส์เกาหลีเรื่องนี้เป็นซีรีส์อิงประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้มีเนื้อหาประวัติศาสตร์จ๋าๆ เพียงแต่หยิบยืมยุคสมัยมาเฉยๆ เพิ่มเติมคือความแฟนตาซีแบบสมัยใหม่ที่พอผสมกันแล้วกลับเข้ากันได้อย่างลงตัว
Scholar Who Walks The Night เป็นซีรีส์เกาหลีที่ดัดแปลงมาจากการ์ตูน สถานการณ์ในเรื่องจะย้อนกลับไปยุคสมัยโชซอน (ค.ศ. 1392–1910) บอกเล่าเรื่องราวของคิมซองยอล (อีจุนกิ) บัณฑิตหนุ่มที่มีเหตุให้ต้องกลายเป็นแวมไพร์อายุยืนยาวกว่า 120 ปี เขามีจุดประสงค์คือหาทางฆ่าควี (อีซูฮยอก) แวมไพร์ตัวร้ายที่อยู่เบื้องหลังการปกครองอาณาจักร แผนของซองยอลคือการตามหาบันทึกขององค์รัชทายาทจงฮยอน ผู้เคยเป็นสหายของเขา เพราะองค์รัชทายาทจงฮยอนได้เขียนถึงวิธีกำจัดควีในบันทึกเล่มนั้น ปัญหาคือหนังสือเล่มนี้กลายเป็นของหายากไปซะแล้วเพราะใครที่เคยมีหนังสือเล่มนี้ต่างก็โดนควีฆ่าหมด หนังสือก็โดนทำลาย แต่คิมซองยอลเชื่อว่ายังต้องมีหนังสือเล่มนี้หลงเหลืออยู่ จึงจ้างวานให้โชยางซอน (อียูบี) เด็กสาวในคราบพ่อค้าขายหนังสือช่วยตามหาหนังสือเล่มนี้ให้หน่อย ในขณะเดียวกัน องค์ชายรัชทายาทอียุน (ชิมชางมิน TVXQ) ก็หาทางคิดที่จะทำลายควี แม้ว่าจะอยู่ในสังคมวังที่พร้อมก้มหัวให้ควีก็ตาม
หลังจากไม่ได้ดูซีรีส์เกาหลีมานาน แค่เปิดเรื่องมาตอนแรกเราก็รู้สึกเลยว่าน่าติดตามแล้ว ด้วยพล็อตเรื่องที่น่าสนใจมีความแปลกใหม่ บวกกับการผสมผสานระหว่างแฟนตาซีกับพีเรียด และปมของเนื้อเรื่องที่ทำให้อยากติดตามต่อว่าจะเป็นยังไง
การดำเนินเรื่องช่วงแรกๆ จะสนุกเพราะความตื่นเต้น อยากรู้อะไรใหม่ๆ แต่สักพักเรามีความรู้สึกว่าเรื่องเริ่มเนือยๆ จนต้องเหลือบไปมองลิสต์ตอนหลายครั้งว่ามี 20 ตอนจริงๆ เหรอ มันจะมีอะไรให้เล่าขนาดนั้นละเนี่ย เพราะพอผ่านไปสักพักจะรู้สึกว่าเนื้อเรื่องในภาพกว้างไม่ค่อยไปไหน แต่…แต่ สำหรับเรา สิ่งที่ทำให้ซีรีส์ยังดูน่าติดตามคือรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของแต่ละฉากระหว่างทางมากกว่า ยอมรับเลยว่าแต่ละฉากคือทำได้เพลินจนทำให้ลืมไปว่าเนื้อเรื่องหลักยังไม่ค่อยไปไหนเท่าไร
ภาพใหญ่ของซีรีส์จะเริ่มมาเข้มข้นอีกครั้งตอนอีพีท้ายๆ ที่ลุ้นทุกตอนว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นการตัดจบตอนของเรื่องนี้ก็ไม่โหดร้าย หลายๆ ตอนไม่ได้ตัดจบแบบค้างเติ่งอย่างที่ซีรีส์เกาหลีหลายๆ เรื่องชอบทำ ชนิดที่ว่าต้องกดดูต่อเลยน่ะ เรื่องนี้เราว่าซอฟต์แล้ว ดูจบตอนนึงก็พักไปทำอย่างอื่นหรือเก็บไว้ดูวันหลังยังได้ ไม่ติดค้างขนาดนั้น
ทางด้านตัวละคร เราขอเน้นหลักๆ แค่ 2 คนละกันเพราะเป็นตัวหลักสุดๆ นั่นคือคิมซองยอล กับ ควี เรียกได้ว่าเป็นคู่หมัดมวยที่เกิดมาเพื่อกันและกัน สู้กันแต่ละทีก็ไม่มีทีท่าว่าฝ่ายไหนจะเพลี่ยงพล้ำ ทำให้ลุ้นว่าตอนจบคิมซองยอลจะกำจัดควีได้ยังไง เพราะควีถือเป็นตัวร้ายชนิดโหดสัสที่เราไม่ได้เจอมานานแล้ว เป็นตัวร้ายที่แข็งแรง แข็งแกร่ง ฉลาดเฉลียว อยู่เหนือทุกคน ทำอะไรก็ชนะ คือดูแล้วล้มยากมาก เหมือนมหาบอสที่ถ้าชนะแล้วก็คือจบเกมอย่างภาคภูมิ
(แถม :: และด้วยความที่เราคาดไว้อย่างนั้น ตอนจบเลยเป็นอะไรที่เอิ่ม… พอสมควร คือแบบ ความจริงถ้าใช้แผนนี้ตั้งแต่แรกเรื่องคงจบไปนานแล้ว -_-)
สิ่งหนึ่งที่ควีมีเหนือทุกคนคือ “อำนาจ” เพราะเขาสามารถดูดเลือดใครก็ได้ที่เขาต้องการ แถมยังมีพละกำลังแข็งแกร่งที่แม้แต่แวมไพร์หรือผู้ปราบแวมไพร์ยังต่อกรได้ยาก ถามว่าแล้วทำไมอยู่ดีๆ ควีถึงได้มาปกครองเมืองมนุษย์? นั่นก็เพราะพระราชาในอดีตผู้ซึ่งโหยหาอำนาจได้เรียกควีมา ประมาณว่าจะใช้อำนาจของควีเพื่อสร้างอาณาจักรนั่นละ โดยแลกกับการที่รุ่นลูกรุ่นหลานของราชวงศ์จะต้องคอยรับใช้ควีไปตลอด เลยกลายเป็นว่าแท้จริงแล้วราชวงศ์ก็คือหุ่นเชิดของควีอีกที ที่พอรู้ตัวก็สายเกินไปจะหันหนีซะแล้ว
เลยกลายเป็นว่าหยิบยืมอำนาจที่ยิ่งใหญ่มา แต่อำนาจนั้นยิ่งใหญ่และชั่วร้ายเกินกว่าที่มนุษย์จะควบคุมได้ สุดท้ายแล้วแม้แต่ราชวงศ์ก็ต้องตกเป็นเบี้ยล่างของอำนาจแวมไพร์ ที่หากคิดกบฎเมื่อไรก็เตรียมตัวตายได้เลย
ฟังดูโหดร้าย แต่จริงๆ แล้วควีก็มีมุมน่าสงสาร เขาใช้อำนาจของตัวเองเพื่อปกปิดจุดอ่อนของเขา นั่นก็คือความเหงา ความเจ็บปวดจากรักในอดีต และความไม่เข้าใจมนุษย์ เขาต้องการปกครองมนุษย์เพราะเขารู้สึกว่าตัวเองแตกต่าง โดดเดี่ยว วิเวก คืออย่างน้อยถ้าจะไม่เข้าพวกก็ขอมีอำนาจเหนือไอ้พวกที่เหลือละกัน ซึ่งอำนาจที่มากไปของควีก็ทำให้เขากลายเป็นที่เกรงกลัวและขยาดแขยงของทุกคน ลึกๆ ทุกคนก็อยากให้เขาตายแต่ทำไม่ได้ ในขณะเดียวกัน อำนาจที่มากไปของควีก็ปิดกั้นควีไม่ให้แสวงหาความสุขที่แท้จริง เขาหลงระเริงไปกับการใช้อำนาจควบคุมคน มัวแต่ระแวงอยู่ลึกๆ ว่าใครจะมาทำลายเขา จะมาพรากอำนาจไปจากเขา
แม้ว่าควีจะมีชีวิตที่เป็นอมตะ แต่การมีชีวิตแบบนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ชีวิตที่มีความสุขเท่าไรนัก
ทางด้านคิมซองยอล พระเอกของเราที่ต้องต่อกรกับควี แม้จะเป็นแวมไพร์เหมือนกันแต่ก็เป็นแวมไพร์ที่ยังมีจิตใจของมนุษย์อยู่ ไม่ได้กลายเป็นแวมไพร์สุดโต่งแบบควี ดังนั้น การกระทำของคิมซองยอลจะยังอยู่บนเส้นของศีลธรรมและจริยธรรม เขาจะไม่ปล่อยให้สัญชาตญาณดิบของแวมไพร์เข้าครอบงำตัวเอง และไม่ใช้อำนาจวิเศษของตัวเองในทางที่ผิด กล่าวคือซองยอลได้อำนาจมาเพื่อปราบควี ก็ใช้มันเพื่อการนี้การเดียว
และแม้ว่าเขาจะพยายามบ่ายเบี่ยงความสัมพันธ์กับมนุษย์ (นางเอก) มากแค่ไหน แต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมรับว่าตัวเองไม่สามารถฝืนหัวใจมนุษย์ที่ยังต้องการความรักได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องโชคดีเพราะอย่างน้อยซองยอลก็ได้พบกับความสุขอีกครั้งหลังจากที่คนรักเก่าของเขาตายไปเมื่อหลายปีก่อน
อาจจะเป็นโชคดีของซองยอลด้วยละมั้งที่อำนาจของเขาไม่ได้ล้นเอ่อเกินไป จึงทำให้สามารถควบคุมได้ และไม่หลงระเริงไปกับมัน สามารถใช้อำนาจนั้นเพื่อทำภารกิจที่ตัวเขาได้รับมอบหมายได้
นอกจากอำนาจของสองผู้วิเศษนี้ เรายังอยากพูดถึงอำนาจของอีกสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือเรื่องเล่าและจินตนาการ ในซีรีส์เราจะเห็นว่ามีการใช้หนังสือมาเป็นเครื่องมือในการปลุกใจและสร้างแสงสว่างแห่งความหวังให้ประชาชน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือแวมไพร์ของบัณฑิตจอมหื่น หรือหนังสือบัณฑิตรัตติกาลที่โชยางซอนเป็นคนเขียน ล้วนต่างมีอำนาจโน้มน้าวให้ผู้คนตาสว่าง หรือศรัทธาและเชื่อว่าในโลกนี้ยังต้องมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น สื่อให้เห็นเลยว่าพลังของเรื่องเล่าและจินตนาการนั้นแรงกล้าจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อถูกเสพโดยคนหมู่มาก ซึ่งแน่นอนว่าคงต้องหนีไม่พ้นกระแสอะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะดีหรือร้ายก็ตาม
สรุปแล้ว Scholar Who Walks The Night เป็นอีกหนึ่งซีรีส์เกาหลีที่ดูสนุก ดูเพลิน ถ้าไม่มองภาพพล็อตใหญ่ที่อาจจะโหวงๆ ไปหน่อยและการดำเนินเรื่องที่เยื้อๆ ในบางเวลา ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าติดตาม และมีเสน่ห์ตรงการผสมผสานระหว่างความพีเรียด ดราม่า โรแมนติก และแฟนตาซีได้อย่างลงตัว ภาพฉากสวย ตัวละครมีความโดดเด่นชัดเจนต่างกันไปและสามารถทำให้เราอินไปด้วยได้ง่ายๆ เลย
ป.ล. ขอหวีดอีซูฮยอกในบทควีส่งท้าย เป็นแค่ตัวร้ายทำไมต้องหล่อขนาดนี้ ฮะ!
รู้มั้ยว่าคนดูเขว เผลอเทใจเชียร์ตัวร้ายแทนพระเอกแล้ว

Leave a Reply