เราเป็นคนนึงที่แพ้หนังแฟนตาซีสไตล์ดิสนีย์
ไม่ว่าดิสนีย์จะออกอะไรมา แค่เห็นตัวอย่างก็อยากดูไปซะหมด เราชอบความเล่นใหญ่ของดิสนีย์ ทุกอย่างดูอลังการ โปรดักชั่นไม่ต้องพูดถึง สวยงามตระการตาอยู่แล้ว คือรู้สึกว่าแค่เข้าไปดูงานภาพงานเสียงก็คุ้มแล้วอะ
สำหรับ The Nutcracker and the Four Realms ก็ยิ่งใหญ่ตั้งแต่ตัวอย่างแล้ว เลยคิดว่าคงต้องดูในโรงใหญ่ละ นี่ถึงขนาดเลือกที่จะไม่ดู Halloween เพื่อมาดูเรื่องนี้เลยนะเนี่ย อีกอย่างคือเราชอบหนังแฟนตาซีที่มีเด็กผู้หญิงเป็นตัวเอก สำหรับเรามันชวนให้ลุ้นเอาใจช่วยมากกว่า
The Nutcracker and the Four Realms เล่าเรื่องของคลาร่า เด็กสาวหัวดีที่เก่งฟิสิกส์มาก เธอได้รับของขวัญวันคริสต์มาสจากแม่ผู้ล่วงลับไปแล้ว เป็นกล่องรูปร่างกลมๆ ซึ่งข้างในเป็นอะไรไม่รู้ เพราะเธอไม่มีกุญแจที่สามารถไขมันออก ในวันงานเลี้ยงที่บ้านพ่อทูนหัวดรอสเซิลไมเยอร์ เธอได้จับพลัดจับผลูเข้าไปในดินแดนแฟนตาซีคู่ขนาน อันประกอบไปด้วยอาณาจักรทั้งสี่ นอกจากนี้ยังเจอกุญแจที่ตามหาอีกด้วย! แต่เธอก็เจอปัญหาทำให้ไม่สามารถครอบครองมันได้ทันเวลา เรื่องเริ่มจะซับซ้อนเมื่อคลาร่าได้ค้นพบว่าเธอเป็นเจ้าหญิงของดินแดนนี้ เพราะแม่ของเธอเคยเป็นราชินี! เอ้า งงเลย แน่นอนว่าการเป็นเจ้าหญิงครั้งนี้ไม่ได้เป็นแค่สวยๆ แต่คลาร่าจะต้องรับภาระหนักไปด้วย นั่นคือการตามหากุญแจที่ว่า เพราะมันจะช่วยปกป้องดินแดนนี้ให้พ้นจากการรุนรานโดยอาณาจักรที่ 4 ซึ่งถูกเนรเทศออกจากดินแดนนี้ไป
ขึ้นชื่อว่าดิสนีย์ ฉากย่อมสวยงามล้ำค่าอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ เพราะฉากแฟนตาซีทำออกมาได้ตระการตามาก ไม่ว่าจะเป็นปราสาทของเจ้าหญิง อาณาจักรดอกไม้ อาณาจักรเกล็ดหิมะ อาณาจักรลูกกวาด หรือแม้กระทั่งอาณาจักรอินเนอร์บ้านผีสิงอย่างอาณาจักรหฤหรรษ์ ดูเพลินมากจริงๆ แอบเสียดายนิดนึงที่หนังไม่ได้เน้นฉากอาณาจักรดอกไม้ เกล็ดหิมะ และลูกกวาดมากพอสมควร ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ตัวปราสาทกับอาณาจักรที่ 4 อย่างอาณาจักรหฤหรรษ์ซึ่งเป็นเส้นเรื่องหลักซะมากกว่า ถ้าเน้นให้มีอีก 3 อาณาจักรมากขึ้นจะดีมากเลย ไหนๆ ลงทุนสร้างฉากมาแล้วก็น่าจะถ่ายให้คุ้มหน่อย
นอกจากสถานที่แล้วฉากที่ชอบอีกฉากคือฉากบัลเล่ต์ที่เล่าความเป็นมาของดินแดน อันนี้ก็ดูเพลินไม่แพ้กัน ทางด้านเสื้อผ้าหน้าผมก็อลังการงานสร้าง ช่วยเสริมจุดเด่นของตัวละครได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะ เคียร่า ไนท์ลีย์ ในบท ชูการ์ พลัม ที่เกือบจำไม่ได้เลยทีเดียว ส่วนน้องแม็คเคนซี่ ฟอย ในบทคลาร่า คือน้องหน้าสวยมากๆ อยู่แล้ว (ถ้าใครจำได้ น้องเป็นลูกสาวของเอ็ดเวิร์ดและเบลล่า จาก Twilight) ยิ่งแต่งหน้าโทนนี้ยิ่งขับความ magical ออกมาอย่างล้นหลาม
แม้จะเป็นเพียงเด็กสาวแต่คลาร่าก็ไม่ใช่ตัวเอกประเภทผู้หญิงอ่อนแอต้องรอให้คนมาช่วย เธอเป็นคนที่โคตรสตรอง โคตรมีความมุ่งมั่น อยากทำอะไรต้องทำให้สำเร็จ ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ซึ่งจุดนี้เราชอบนะ ชอบบทผู้หญิงสตรองๆ แถมไม่สตรองอย่างเดียวแต่ฉลาดด้วย คือนางเก่งฟิสิกส์ เก่งเรื่องการจัดการกับเครื่องยนต์ ซึ่งจุดนี้โคตรมีเสน่ห์ การปูสกิลมาให้นางเอกแบบนี้มันก็เหมือนช่วยเสริมเหตุผลว่าทำไมนางถึงเก่ง ทำไมถึงเอาชนะตัวร้ายได้ ทำไมถึงแก้ปัญหานู่นนี่นั่นได้ ก็คือกำลังจะบอกว่าที่นางเก่งนี่ไม่ใช่เพราะโชคช่วยหรือเป็น Mary Sue แต่นางมีแบ็กกราวด์แบบนี้ ถึงอย่างนั้นการที่นางเอกสตรองสุดๆ แบบนี้มันก็มีข้อเสียตรงที่คนดูอาจไม่เอาใจช่วยลุ้นมากเท่าที่ควร ก็เก่งอะ ยังไงก็ชนะอยู่แล้ว ยิ่งเป็นหนังแฟนตาซีเด็กๆ แบบนี้ยังไงตัวเอกก็ชนะ แทบไม่ต้องลุ้นเลย
บทบาทตัวละครมีการเน้นไปที่ผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เห็นได้จากบทตัวละครหลักๆ คือผู้หญิงทั้งนั้น มันคือแบทเทิลระหว่างผู้หญิงถึงผู้หญิง โดยมีผู้ชายเป็นเพียงอาวุธและสหายข้างกายเท่านั้นเอง (มอร์แกน ฟรีแมนในบทพ่อทูนหัวนี่คือตัวประกอบมาก ไม่คุ้มค่าตัวอย่างแรง) กลิ่นอายหนังก็จะมีความเป็นผู้หญิงหน่อยๆ จุดนี้ เคียร่า ไนท์ลี่ย์ในบท ชูการ์ พลัม มีความเจ๊อยู่พอสมควร เข้าใจว่าตามบทบาทแต่การดัดเสียงแหลมนี่มันช่างกวนประสาทหูเหลือเกิน ฮา ด้วยความที่หนังเป็นผู้หญิงๆ ดังนั้นความโหดเลือดสาดก็ไม่ได้จัดเต็มมาก เพราะเป็นหนังเด็กด้วย ฉากแอ็กชั่นหรือฉากโจมตีก็จะกิ๊งก๊องๆ ดูแล้วแฟนซีมากกว่าลุ้นระทึก
ตัวพล็อตเรื่องนั้นมันก็ไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากมายมากไปกว่าการบุกไปแดนศัตรูเพื่อตามเอากุญแจกลับมา อันที่จริงถ้าตัดฉากอลังการแฟนตาซีออกไป ในด้านความแปลกใหม่ถือว่าไม่ได้มีมากมายขนาดนั้น มีหักมุมแค่หนึ่งจุด สามารถพอเดาได้อยู่ นอกจากนั้นก็ไม่มีปมขัดแย้งอื่นๆ คือเป็นหนังเพื่อเด็กโดยแท้ทรู การดำเนินเรื่องถือว่าอยู่ในระดับใช้ได้ มีแค่ช่วงต้นเรื่องที่อาจจะเบื่อๆ หน่อยเพราะฉากยังไม่ฟู่ฟ่า เน้นไปที่เรื่องราวของนางเอกและครอบครัวซะมากกว่า แต่พอนางเอกเข้ามาอีกมิติก็เริ่มมีอะไรน่าสนใจมากขึ้น ก็พอชูความน่าติดตามขึ้นมาได้บ้าง
The Nutcracker and the Four Realms จึงเหมาะกับการพาเด็กไปดูอย่างมาก เพราะเป็นหนังที่ไร้พิษภัย ไร้ซึ่งฉากรุนแรง พล็อตก็ไม่ซับซ้อนมากมาย ฉากสวยน่าจะดึงดูดน้องๆ หนูๆ อยู่ ส่วนถ้าใครไม่ได้อยากไปดูกับเด็ก แต่อยากไปคลายเครียดเฉยๆ ก็ดูได้เช่นกัน แค่เห็นงานภาพก็น่าจะคุ้มกันแล้ว แต่ถ้าใครคิดว่าพล็อตเรื่องจะต้องมีชั้นเชิง เนื้อเรื่องจะต้องเข้มข้น อันนี้ไม่แนะนำเพราะหนังมันจะโหวงๆ สำหรับท่านมาก อันตัวเรานั้นถ้าไม่ติดช่วงแรกๆ ที่แอบน่าเบื่อไปหน่อย ที่เหลือก็ถือว่าสนุกใช้ได้นะ เราไม่ได้คาดหวังอะไรไปมากกว่าฉากสวย เลยค่อนข้างโอเค สำหรับเรื่องนี้เราขอฉากก่อน พล็อตจะเป็นยังไงก็ช่างมัน 555
ป.ล. สำหรับเรื่องนี้ก็เป็นครั้งแรกที่มีโอกาเข้าไปดูใน Kids Cinema เพราะมันไม่มีโรงอื่นที่ฉายเรื่องนี้เวลานี้แล้ว ตอนแรกก็ลังเลกลัวว่าจะเจอเด็กน่ารำคาญ ซึ่งพอเข้าไปก็เจอจริงๆ 555 แต่ก็ไม่แย่อย่างที่คิดเพราะเสียงจากหนังก็ดังพอจะกลบความวุ่นวายได้อยู่ บวกกับคนไม่เยอะเลยพอดูได้ ที่ติดขัดหน่อยก็น่าจะเป็นความสว่างของโรงซึ่งมากกว่าโรงปกติ เดาว่าเค้าคงเปิดไฟไว้เพื่อไม่ให้เด็กสะดุดหกล้ม ส่วนบ่อบอลหน้าจอภาพยนตร์กับสไลเดอร์ริมห้องก็มีจริงๆ ละ ในที่สุดก็ได้เห็นกับตาตัวเอง มันก็แปลกไปอีกแบบดีนะ
Leave a Reply