รีวิว How It Ends (2018): ขับรถจากชิคาโกไปซีแอตเทิล ในวันที่โลกกำลังจะแตก

อิงจาก Google Maps…การขับรถจากชิคาโกไปซีแอตเทิล ใช้เวลาประมาณ 30 กว่าชั่วโมง

ลองคิดดูเล่นๆ ว่า ระหว่างทาง เจอเหตุการณ์โดนไล่จี้ โดนไล่ยิง รถเสีย หนีภัยพิบัติ และเรื่องราวฉิบหายวายวอดเท่าที่จะนึกออก

เพราะอย่างนี้แหละ เหตุการณ์ใน How It Ends จึงกินเวลาไปเกือบหนึ่งสัปดาห์ เป็นหนึ่งสัปดาห์ที่ดูแล้วรู้สึกทรมานทรกรรมแทนตัวละครมาก…

How It Ends เป็นภาพยนตร์แนวโลกแตกเรื่องใหม่ของ Netflix ที่พอดูตัวอย่างหนังก็จะรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับเอฟเฟ็กต์ภัยพิบัติ อย่างฉากรถที่กำลังขับหนีกลุ่มควันก็ชวนให้นึกถึงเรื่อง The Day The Earth Stood Still (…กว่าจะนึกชื่อออก) พอเห็นตัวอย่าง คาดว่าคอหนังแนวโลกาวินาศน่าจะอยากดูกัน อย่างน้อยก็อยากรู้แหละว่ารอบนี้โลกจะแตกด้วยสาเหตุอะไรอีก หลังจากที่แตกมาหลายรอบแล้ว


เนื้อเรื่องของ How It Ends

คำเตือน: มีสปอยล์เนื้อหาหลักเล็กน้อย แต่ไม่ถึงขั้นเสียอรรถรส (หวังว่า)


หนังปูเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละครก่อน เราได้รู้จักวิลล์ ทนายหนุ่ม กับ แซม แฟนสาวของเขาที่กำลังตั้งท้อง ทั้งคู่ดูเหมือนจะกำลังมีชีวิตครอบครัวที่สุขี แต่แล้วหนังก็บอกเราว่าวิลล์กับทอม พ่อของแซม ไม่ค่อยถูกกันเท่าไรนัก วิลล์พบปะทานข้าวกับพ่อแม่ของแซมที่ชิคาโก เพื่อจะขอแซมแต่งงาน ทว่าบรรยากาศโต๊ะกินข้าวกลับไม่ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่นนัก (ตามคาด) ทอมมองว่าวิลล์ยังเป็นผู้ชายไม่เอาไหน ด้านวิลล์ก็เผลอระเบิดอารมณ์จนโดนไล่ออกมา

วันต่อมา วิลล์ได้วิดีโอคอลคุยกับแซม แต่ก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้นตรงที่ว่าสัญญาณฝั่งแซมเหมือนจะมีเสียงรบกวน แซมเองก็มีท่าทีกลัวๆ แล้วอยู่ดีๆ สัญญาณโทรศัพท์ก็โดนตัดไปดื้อๆ

วิลล์ไปสนามบินเพื่อจะเดินทางกลับไปยังซีแอตเทิล ก่อนจะพบว่าทุกเที่ยวบินถูกยกเลิกอันเนื่องมาจากเกิดเหตุแผ่นดินไหวในแถบชายฝั่งด้านตะวันตก สัญญาณทีวีที่กระจายข่าวก็เริ่มจะเดี้ยง วิลล์ตัดสินใจเดินทางกลับไปยังบ้านของพ่อแม่แซมเพื่อที่จะแจ้งถึงเหตุนี้ แล้วความ surreal ก็เกิดขึ้นเมื่ออยู่ดีๆ ก็มีเครื่องบินเจ็ท F-22 แล่นผ่านหน้ากระจกบ้านพวกเขาไป เหตุการณ์เริ่มจะไม่ชอบมาพากลแล้ว ทอมผู้เป็นพ่อทนห่วงลูกสาวที่อยู่ซีแอตเทิลคนเดียวไม่ไหว ออกปากว่าฉันจะขับรถไปซีแอตเทิลจากชิคาโกนี่แหละ เอ็งจะไปด้วยกันมั้ย? แน่นอนว่าว่าที่ลูกเขยไม่ยอมเสียหน้าอยู่แล้ว ถึงโอกาสโชว์แมนทั้งที

ด้วยเหตุนี้ พ่อเขยและลูกเขยที่ไม่ค่อยถูกกันนักจึงต้องร่วม Road Trip ไปด้วยกัน ท่ามกลางสถานการณ์รอบด้านที่บัดซบลงเรื่อยๆ และคาดเดาไม่ได้ ตรงนี้เราว่าเป็นจุดที่น่าสนใจของหนัง เราอยากจะรู้ว่าความสัมพันธ์ของคู่นี้จะเป็นยังไง จะกัดกันตายกลางทางมั้ย จะรอดไปตลอดรอดฝั่งรึเปล่า? แล้วแซมจะรอดอยู่รอต้อนรับพวกเขามั้ย ถ้าพวกเขาไปถึงน่ะนะ…

จะว่าไปแล้วหนังก็โยนเหตุการณ์มาเรื่อยๆ ตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมงนะ แต่พอถึงกลางเรื่องเราเริ่มรู้สึกว่าการดำเนินเรื่องแอบเฉื่อยลงนิดนึง อาจจะมีง่วงกันได้ (บางสำนักถึงขั้นด่าว่าเป็นวิกฤตโลกแตกที่น่าเบื่อชะมัด) ด้วยตัวหนังไม่ได้เน้นความระทึกตลอดเวลา ไม่ได้มีฉาก CG ภัยพิบัติชวนให้ทึ่งให้เห็นบ่อยๆ บวกกับหลายๆ เหตุการณ์ค่อนข้างซ้ำไปซ้ำมา เช่น โดนปล้นงี้ โดนไล่ตามงี้ มันเลยไม่ได้รู้สึกแบบ “ว้าว” เท่าไรนัก แต่ถ้าใครไปอ่านสปอยล์เนื้อเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ อาจจะรู้สึกว่าเฮ้ย มันดูน่าสนุกอะ ใช่ อ่านแค่เนื้อเรื่องแบบกระชับๆ มันก็สนุกจริงๆ แหละ แต่พอเป็นหนังยาว 2 ชั่วโมง บางจุดมันเลยดูยืดเยื้อและซ้ำซากไปหน่อย แต่ถามว่าถึงขนาดน่าเบื่อเลยมั้ย ก็ไม่ขนาดนั้น… อย่างที่บอก หนังมันโยนเหตุการณ์มาเรื่อยๆ ให้ตามลุ้นอยู่แล้ว

ลองมาดูกันที่คาแรกเตอร์ ขอโฟกัสไปที่ทอมละกัน เพราะเป็นตัวละครที่แอบเหนือคาดนิดหน่อย ตอนแรกเราคิดว่าทอมจะต้องเกรี้ยวกราดกว่านี้ แต่เอาเข้าจริง พ่อเขยกลับใช้น้ำเสียงโทนซอฟต์เกือบจะ 80% ของเรื่อง (แม้ว่าจะกำลังไม่พอใจก็ตาม ขนาดตะโกนยังดูซอฟต์) ทำให้ภาพลักษณ์ดูเป็นพ่อเขยใจดีมีเหตุผลและโคตรเท่ไปเสียอย่างนั้น (อดีตทหารนี่นะ) ความก้าวหน้าของความสัมพันธ์ระหว่างทอมและวิลล์จึงไม่ได้ตราตรึงมากนัก ไม่ใช่ว่าจากร้ายกลายเป็นดี จากศัตรูกลายเป็นมิตรซะทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้น เราก็รู้สึกได้เลยว่าระหว่างการผจญภัย พ่อเขยลูกเขยคู่นี้ก็ได้รู้จักตัวตนของอีกฝ่ายมากขึ้น และสนิทใจกันมากขึ้น ตามแบบฉบับหนังแนว Road Trip

หันมาทางด้านฉากเอฟเฟ็กต์ที่เราแอบคาดหวังไว้ เอาเข้าจริงหนังกลับไม่ได้เน้นเอฟเฟ็กต์โลกแตกเว่อร์วังเท่าไรนัก อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ดังนั้นใครที่หวังจะได้ดูฉากอภิมหาโลกแตก อาจจะผิดหวังตามๆ กันไป เพราะมีให้เสพน้อยมาก และระหว่างที่ดูหนัง เราก็ไม่รู้แบบเคลียร์ๆ ชัดๆ เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับโลก แบบ…ไม่รู้จริงๆ อะ ได้แต่สงสัยไปอย่างนั้น จนกระทั่งดูจนจบแล้วก็ยังปะติดปะต่อไม่ได้ว่าสรุปแล้วเหตุการณ์พิลึกเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้ยังไงวะ แม้ว่าจะมีตัวละครลับโพล่งพูดข้อสันนิษฐานออกมาก็เถอะ (จริงๆ มันมีคนวิเคราะห์หลักการทางวิทยาศาสตร์ไว้นะ ใครดูหนังจบแล้วลองไปหาอ่านดูในเน็ตต่อได้ถ้าสนใจ)


ถ้าอย่างนั้น ภาพกว้างของ How It Ends มันสะท้อนให้เห็นอะไร?


สิ่งที่เห็นได้ชัดเลยคือพฤติกรรมของมนุษย์ที่เปลี่ยนไป หนังพยายามจะสื่อให้เห็นว่าเมื่อธรรมชาติเกิดผิดเพี้ยน เกิดเหตุที่ไม่สามารถอธิบายได้ มนุษย์ก็จะแสดงพฤติกรรมด้านดิบเถื่อนออกมา สัญชาตญาณการเอาตัวรอดเริ่มแรงกล้าขึ้น เริ่มไม่ใส่ใจสังคม ไม่สนว่าเพื่อนร่วมโลกจะอยู่ยังไง กะเอาตัวเองและพรรคพวกรอดอย่างเดียว เพราะอย่างนี้แหละ เราจึงได้เห็นฉากโดนปล้น โดนไล่ โดนขโมย โดนขู่ (ดังที่บ่นไปเมื่อกี้) เสียเยอะ

จึงอาจกล่าวได้ว่า จริงๆ แล้ว How It Ends ไม่ได้เป็นหนังที่เกี่ยวข้องกับวิกฤตโลกแตก

แต่เป็นหนังที่ตีแผ่ให้เห็นด้านมืดของมนุษย์ และความล่มสลายของอารยธรรม ผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันของธรรมชาติต่างหาก

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Blog at WordPress.com.

Up ↑

%d bloggers like this: