อย่าด่าเรา เราเพิ่งดู…
ล่าสุด Netflix นำ Doctor Strange มาให้เราสตรีมกันแล้ว จึงเป็นโชคดีของเราที่ไม่ทันได้ดูตอนหนังเข้าฉายในโรง จำได้ว่าตอนนั้นเพื่อนๆ ที่ไปดูก็มาเล่าให้ฟังว่ามันสนุก ดังนั้น Doctor Strange จึงน่าดูเป็นทุนเดิมสำหรับเรา ไหนจะความเป็นมาร์เวล ไหนจะเบเนดิกต์ คัมเบอร์แบตช์ ไหนจะภาพลักษณ์หนังแนวจอมเวทย์ดังที่แสดงให้เห็นในตัวอย่าง แค่นี้ก็น่าดึงดูดสำหรับเราแล้ว
มาเริ่มกันที่เนื้อเรื่องของ Doctor Strange ก่อน
คำเตือน: มีสปอยล์เนื้อหาหลักเล็กน้อย แต่ไม่ถึงขั้นเสียอรรถรส (หวังว่า)
เนื่องจากเป็นการแนะนำตัวละคร Doctor Strange ครั้งแรก จึงต้องมีการปูพื้นกันหน่อยว่าเขาทำอะไรก่อนจะมาเป็นซูเปอร์ฮีโร่ พระเอกอย่างคุณหมอสตีเฟ่น สเตรนจ์นั้นเป็นศัลยแพทย์มือดีที่เชี่ยวชาญเรื่องประสาทวิทยา (Neurology) เรียกได้ว่าหัวดีมาก ใครๆ ก็อยากให้พี่แกรักษา แต่พี่หมอแกเลือกได้ละว่าอยากจะรักษาใคร ทั้งนี้ทั้งนั้น หากเจอเคสไหนที่ไม่น่าสนใจ เขาก็จะไม่รับรักษา เรียกได้ว่าเป็นคนที่มีอีโก้สูงเลยทีเดียว ประมาณว่า เวลาฉันมีจำกัดนะ ถ้าอาการป่วยของเธอไม่น่าสนใจพอ ไม่น่าทำให้ฉันมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น ฉันจะไม่เสียเวลาด้วย
อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเหตุพลิกผัน เมื่อสตีเฟ่นประสบอุบัติเหตุ ทำให้ไม่สามารถใช้มือทั้งสองข้างได้เหมือนเดิม แน่นอนว่าการที่ศัลยแพทย์ไม่สามารถควบคุมมือตัวเองได้นั้นถือเป็นเรื่องที่น่าสลดหดหู่จริงๆ ตอนนั้นเรารู้สึกได้ถึงอาการเฮิร์ตของหมอเลย โดยเฉพาะหมออีโก้สูงๆ แบบเฮีย ที่รู้สึกหมดพลังในการก้าวเดินต่อ รู้สึกไม่มีค่าต่อโลกใบนี้
ในเมื่อรักษาเท่าไรก็ไม่หายเร็วดังใจสักที สตีเฟ่นก็เริ่มท้อ แต่แล้วก็มีคนแนะนำให้เขารู้จักกับแพงบอร์น อดีตผู้ป่วยรายหนึ่งที่เคยอาการหนักกว่าเขาเสียอีก ที่น่ามหัศจรรย์คือตอนนี้แพงบอร์นกลับเดินๆ วิ่งๆ ใช้ชีวิตได้ดังคนทั่วไป สตีเฟ่นได้รู้อย่างนั้นจึงไม่รอช้า รีบไปหาและถามเลยว่าทำอีท่าไหนถึงได้กลับมาหายขาดแบบนี้ แพงบอร์นได้แนะนำสถานที่หนึ่งให้สตีเฟ่นรู้จัก นั่นก็คือ คามาร์-ทาร์จ ซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล
ได้ลายแทงแล้วก็ไม่รอช้า สตีเฟ่นเดินทางไปคามาร์-ทาร์จด้วยความช่วยเหลือจากมอร์โด หนึ่งในศิษย์เอกของที่นี่ เมื่อไปถึงคามาร์-ทาร์จ สตีเฟ่นก็ได้พบกับ The Ancient One นักเวทย์สาวที่อยู่มานานสมชื่อ ตอนแรกสตีเฟ่นก็ไม่เชื่อเรื่องเวทมนตร์และความลี้ลับของจักรวาลซึ่งอยู่เหนือวิทยาศาสตร์ แต่เจอ The Ancient One แสดงฤทธานุภาพเข้าไป สุดท้ายจึงน้อมคำนับขอเป็นศิษย์ด้วยคน ด้วยหวังว่าเวทมนตร์ที่กำลังจะได้เรียนนั้น จะสามารถช่วยให้มือเขากลับมาหายดีเป็นปกติได้
แต่แล้วเรื่องราวกลับไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะทีมนักเวทย์แห่งคามาร์-ทาร์จ มีภารกิจที่ยิ่งใหญ่กว่า นั่นก็คือการหยุดยั้งศิษย์เก่าผู้ทรยศอย่างไคซิเลียส ไม่ให้นำพาโลกไปสู่อำนาจมืดของดอร์มันมู ที่จะทำให้โลกกลายเป็นดินแดนไร้กาลเวลา อยู่กันแบบชั่วกัปชั่วกัลย์ งานนี้สตีเฟ่นเลยเผลอจับพลัดจับผลูเข้าร่วมทีมด้วยไปอย่างงงๆ
การดำเนินเรื่องถือว่าเป็นไปได้อย่างลื่นไหล สนุก ไม่ชวนง่วงนะสำหรับเรา หนังมาร์เวลจะมีบางเรื่องที่อืดๆ ชวนง่วง แต่เรื่องนี้ไม่มี เพราะเรารู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันคืบหน้าตลอดเวลา ชวนให้ลุ้นว่าสตีเฟ่นจะต้องเจออะไรบ้าง และจะพัฒนาสกิลต่อไปยังไง ในแง่ของความสนุกก็คือให้ผ่านเลย สามารถดูสบายๆ ไม่คิดอะไรก็ได้ เพราะปมไม่ได้ซับซ้อน และมีความแปลกใหม่ในแง่ของการเล่นเวทย์แทนที่จะเป็นพลังวิเศษหรือวิทยาศาสตร์แบบหนังฮีโร่เรื่องอื่นๆ
ตัวละครหลักอย่างสตีเฟ่น ก็มีบุคลิกลักษณะที่ชัดเจนดี ให้อารมณ์โทนี่ สตาร์กเวอร์ชั่นหมอ แอบมีอารมณ์ขันหยอดมาบ้าง สไตล์มาร์เวลนั่นแหละ ส่วนอีกตัวละครที่ชอบคือ The Ancient One ดูมีความน่าเกรงขามแต่ก็ดูอ่อนโยน และยังดูลึกลับๆ อีกด้วย ที่น่าเสียดายคือนอกจากตัวละครสองตัวนี้แล้ว เรารู้สึกว่าตัวอื่นๆ ไม่ค่อยมีบทบาทเด่นเท่าไร เหมือนใส่มาประกอบฉากมากกว่า อย่างคุณหมอคริสทีน พาล์มเมอร์ ที่ควรจะเป็นนางเอก ก็ไม่ได้เด่นขนาดนั้น ฉากสวีตกับพระเอกก็ยังไงๆ ไม่รู้ ไม่อินเท่าไร ส่วนตัวร้ายอย่างไคซิเลียสและดอร์มันมู ก็ไม่ได้ร้ายขนาดนั้น ค่อนข้างจะซอฟต์และออกไปทางตลกโปกฮาด้วยซ้ำ (โดยเฉพาะฉากสุดท้ายที่สตีเฟ่นต่อกรกับดอร์มันมู อะไรจะซิตคอมขนาดนี้)
อีกจุดที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะเห็นกันมาตั้งแต่ตัวอย่างหนังแล้ว ก็คือเอฟเฟ็กต์ตระการตา เมืองพับเมือง มิติพับมิติ แนวๆ Inception แบบนั้นเลย ซึ่งก็ได้ภาพออกมาชวนพิศวงสวยงามดี อันนี้ชอบ ดูหลุดโลกดี
ประเด็นที่น่าสนใจจาก Doctor Strange
คำเตือน: สปอยล์รัวๆ นะจ๊ะ ถ้าตั้งใจจะดูหนังเรื่องนี้ อย่าเพิ่งอ่านตรงนี้
1. อย่าคิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง แล้วตัวเองเจ๋งสุด
การเป็นหมอศัลยแพทย์ตัวฉกาจอย่างสตีเฟ่น ทำให้เขามีอีโก้สูง เชื่อว่าสิ่งที่เขารู้คือสิ่งที่ถูกต้อง เชื่อว่าวิทยาศาสตร์เท่านั้นคือคำตอบ เมื่อไปเจอ The Ancient One ครั้งแรกแล้วได้รับรู้ว่ามีสิ่งที่เหนือกว่าวิทยาศาสตร์ เขาทำใจให้เชื่อไม่ได้ โดย The Ancient One เปรียบเขาว่าทั้งชีวิตนี้เขามองโลกผ่านรูกุญแจ พยายามที่จะขยายรูกุญแจนั้น แต่พอรู้ว่ามันมีวิธีที่จะขยายรูกุญแจนั้นจริงๆ กลับไม่ยอมรับและมองว่าเป็นเรื่องงมงายไร้สาระ จนกระทั่งได้เห็นพลังนั้นกับตาตัวเองนั่นแหละ ดังนั้น ถ้าอยากจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆ เราก็ควรตระหนักเสมอว่าเราไม่ใช่ที่สุดบนโลกใบนี้ และยังมีอะไรๆ ที่เหนือความคาดหมายของเราอีกเยอะ
2. It’s Not About You.
ต่อจากข้อที่แล้วนิดนึง นี่คือประโยคจากฉากที่ The Ancient One คุยกับสตีเฟ่นในช่วงท้ายๆ ถึงตรงนี้ The Ancient One บอกว่าสตีเฟ่นเป็นคนเก่งก็จริง แต่ความเก่งนั้นไม่ได้มาจากความต้องการสำเร็จ แต่เป็นเพราะต้องการหลบหลีกความล้มเหลวต่างหาก สตีเฟ่นบอกว่าเพราะอย่างนี้แหละเขาถึงได้เป็นหมอที่ดี แต่ The Ancient One ก็สวนกลับมาว่าเพราะสิ่งนี้แหละที่ทำให้สตีเฟ่นไม่สามารถประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้ เพราะการกลัวที่จะล้มเหลว บวกกับความมีอีโก้ ทำให้ไม่กล้าเรียนรู้ในเรื่องง่ายๆ ที่สำคัญ ที่ว่า “It’s not about you.” หรือประมาณว่าตัวคุณไม่ใช่จุดศูนย์กลางของโลก สิ่งที่สำคัญคือสิ่งที่คุณมอบไว้ให้กับส่วนรวมต่างหาก
3. ทางเลือกอื่นๆ ย่อมมีเสมอ
ตอนแรกที่สตีเฟ่นรู้ว่ามือของเขาใช้การไม่ได้ดีดังเดิม เขารู้สึกท้อใจและรู้สึกว่าชีวิตที่ทำงานไม่ได้ช่างไร้คุณค่า เขายังไม่เข้าใจคำของคริสทีนที่บอกว่ามันยังมีทางเลือกอื่นๆ ที่สร้างคุณค่าได้เหมือนกัน ผ่านไปสักระยะหนึ่ง เขาถึงได้ค้นพบว่าทางเลือกอื่นนั้นมีอยู่จริง แม้ว่ามันจะยากกว่าหรือแปลกไปกว่าเดิมก็ตาม (นั่นก็คือการเป็นฮีโร่ช่วยโลกนั่นแหละ) ดังนั้น ถ้ารู้สึกว่าหนทางเดิมมันช่างว่างเปล่าดูยากที่จะเป็นไปได้ ก็ลองเปิดใจให้กับความเป็นไปได้อื่นๆ ดู ไม่แน่ว่ามันอาจนำมาซึ่งคุณค่าที่ยิ่งใหญ่กว่าทางเลือกเดิมก็เป็นได้
4. บางที เราก็ต้องแหกกฎ เพื่อนำมาซึ่งสิ่งที่ดีกว่า
ก็เหมือนกับ The Ancient One ที่แอบจิ๊กพลังของดอร์มันมูมาทำให้ตัวเองเป็นอมตะ เพื่อปกป้องโลกนี้จากภัยร้าย เหมือนกับที่สตีเฟ่นบิดเบือนกฎธรรมชาติเพื่อต่อกรกับดอร์มันมู เราต้องยอมรับว่าโลกนี้มันไม่เป๊ะๆ หรอก ต้องมียืดหยุ่นและโอนอ่อนกันบ้าง แต่ไม่ใช่ว่าจะแหกกฎทุกอย่างนะ เรื่องแบบนี้มันต้องดูเป็นกรณีๆ ไป ยังไงก็ตาม ขอเพียงเราตระหนักรู้ว่าแหกกฎนี้เพื่อจุดประสงค์อะไร มันจะทำให้เกิดผลกระทบอะไรบ้าง ความเสี่ยงมีอะไรบ้าง หากเข้าใจได้ประมาณนี้ก็น่าจะพอช่วยในการตัดสินใจได้
สรุปแล้ว Doctor Strange อาจจะไม่ใช่หนังฮีโร่สายฮาร์ดคอร์ ไม่ได้มีปมที่พีคมากมาย แต่ก็ถือว่าเป็นหนังมาร์เวลที่ดูสนุกเพลินๆ แฝงปรัชญาอีกเรื่องหนึ่ง ใครที่ชอบหนังแนวร่ายเวทย์ เนื้อเรื่องฉับไว ปมไม่น่าปวดหัวเกิน ก็น่าจะถูกใจละ
Leave a Reply