ช่วงวันแรกของการมาเยือนเอดินบะระ ทำให้เราพบเจอเมืองนี้ในอีกแง่มุม
ทั้งที่เราก็อยู่เมืองนี้มาหนึ่งปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกว่าเมืองโคตรเงียบ โคตรร้าง
ความเงียบและความมืดระหว่างนั่งรถแอร์ลิ้งก์ (Airlink 100) เข้ามาในตัวเมือง ถือว่ายังพอเข้าใจได้ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงเช้าตรู่มาก ท้องฟ้ายังมืดสนิทเพราะช่วงนี้เป็นหน้าหนาว
ความเงียบท่ามกลางตลาดคริสต์มาสที่เต็มไปด้วยสีสันสดใสก็ยังพอเข้าใจได้ ว่าช่วงเช้าคงยังไม่ค่อยมีใครมาเดินชมเท่าไร
แต่ไอ้การเงียบสนิทชนิดที่ว่าร้านอาหารซึ่งมักจะมีคนพลุกพล่านตลอดเวลาช่วงก่อนเที่ยง กลับว่างเปล่าไร้ผู้คนราวกับเจ๊งไปแล้ว มันคืออะไรกัน…
เราไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะวันนั้นเป็นวันธรรมดา (วันศุกร์) เป็นวันที่อากาศหนาว (ก็เห็นเอ็งหนาวทุกวัน) หรือเป็นวันที่เรามาเดินเมืองเช้าไปหน่อย ผู้คนคงยังไม่ลุกจากเตียง ไม่ก็แห่ไปทำงานกันหมดแล้ว
ถ้ามองย้อนกลับไปช่วงนี้เมื่อปีที่แล้ว ก็ค้นพบว่าเราไม่ค่อยได้แวะเวียนเข้าไปในตัวเมืองสักเท่าไร ส่วนใหญ่จะคลุกคลีอยู่ระหว่างโรงเรียนกับหอ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่ชีวิตเต็มไปด้วยเดดไลน์งาน ทั้งงานกลุ่มงานเดี่ยว งานเขียนงานพรีเซ้นต์ อากาศก็หนาวแสนหนาว มืดก็เร็ว เลยทำให้ไม่อยากออกไปผจญภัยมากเท่าที่ควร
จึงพอเข้าใจได้ว่าทำไมเราถึงเห็นว่าเมืองในตอนนี้แปลกไปผิดหูผิดตา เพราะเราคุ้นเคยกับการที่เห็นคนพลุกพล่าน ร้านอาหารแน่นขนัด
การเดินผจญความหนาวเกือบ 0 องศาเป็นเวลานานๆ นั้นจึงไม่เชิงว่าเป็นประสบการณ์คุ้นเคยเสียทีเดียว
เราใช้เวลาช่วงเช้าอันยาวนาน (เพราะเครื่องลงตั้งแต่หกโมงกว่าๆ) เดินทางจากฝั่งเมืองใหม่ (New Town) ไปยังเซอร์วิสอพาร์ตเม้นต์ฝั่งเมืองเก่า (Old Town) เมื่อถึงอพาร์ตเม้นต์เท่านั้นแหละ พวกเราก็กระโจนเข้าหาความอบอุ่นภายในห้องทันที
เราชอบอากาศหนาวก็ตรงนี้ มันทำให้เราเห็นค่าของอากาศอุ่นๆ และทำให้การคุดคู้อยู่ในห้องเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขอีกแบบหนึ่ง
เมื่อใกล้เที่ยง พวกเราก็มุ่งหน้าไปยังร้านอาหารฝั่งเมืองใหม่ซึ่งเป็นหนึ่งในร้านโปรดตลอดกาล เป็นร้านอาหารทะเลชื่อว่า Mussel’s Inn
โปรดขนาดไหนคิดดู มากินตั้งแต่ทริปเอดินบะระครั้งแรกเมื่อ 2 ปีก่อน จากนั้นก็ซ้ำเรื่อยมา
ด้วยเพราะอากาศหนาว และเพราะอาหารเช้าที่ทานไปตั้งแต่เช้ามืดบนเครื่องบิน ทำให้เราโหยหาอาหารมื้อนี้มาก ตั้งใจกะไปยัดท้องสุดๆ
เราเดินเข้าไปตามตรอกซอกซอย Rose Street อันคุ้นเคย แต่ที่แปลกตาไปคือการที่หน้าร้าน Mussel’s Inn ไร้ซึ่งโต๊ะเก้าอี้และรั้วกั้นบริเวณร้าน…
โอ้โห มันเป็นภาพที่แปลกตาจริงๆ นะ เพราะทุกครั้งที่เดินผ่านร้านนี้ เราจะต้องเห็นโซนสีฟ้าอันเต็มไปด้วยโต๊ะเก้าอี้และฉากกั้น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ที่ทำให้เราเดินไม่หลงเวลาตามหาร้านนี้
เกือบนึกไปแล้วว่าร้านปิด เพราะพอส่องหน้าต่างก็เห็นว่าไม่มีใครเลย แต่ก็ต้องกระจ่างเมื่อพบว่าร้านเปิดเที่ยง ส่วนช่วงเวลา ณ ขณะนั้นเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงเกือบเที่ยง
เออนะ นานๆ ทีจะมาถึงร้านอาหารก่อนร้านเปิดตอนเที่ยง เพราะทุกครั้งเรามักจะทานข้าวเที่ยงหลังเที่ยงตรงเสมอ
พวกเราจึงตัดสินใจฆ่าเวลาด้วยการเดินเล่นในห้าง Primark ใกล้ๆ กันสักพัก เมื่อเที่ยงตรงก็พุ่งเข้าไปซบไออุ่นและกลิ่นหอมของร้านอาหารในทันที
อาหารของร้านนี้ยังคงเอร็ดอร่อยไม่เปลี่ยน ด้วยความหิวโหยจึงสั่งมาเสียหลายจาน (แต่ก็กินหมดจนได้)
โปรไฟล์ลูกค้าของร้านนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนเช่นกัน โดย 90% ของลูกค้าเป็นคนเอเชีย (ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม)
น่าสังเกตที่ว่าทุกครั้งที่มาร้านนี้ เรามักจะไม่ได้มาตัวคนเดียว แต่จะมาพร้อมครอบครัวไม่ก็เพื่อน
เดาว่าเป็นเพราะลักษณะร้านที่ดูเป็นร้านอาหาร มากกว่าร้านคาเฟ่นั่งเล่น โดยส่วนตัวนั้นหากเราตัดสินใจทานอาหารคนเดียว เราจะพุ่งตรงไปยังร้านคาเฟ่ชิวๆ มากกว่า เพราะการเข้าร้านอาหารนั้นดูเป็นเรื่องเป็นราว ดูจริงจัง ดูเป็นสถานที่สำหรับนัดกินกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนมากกว่า
อ้อ และแพงกว่าด้วย
เมื่ออิ่มแล้ว เราก็ออกมาจากร้าน ด้านหน้ายังคงโล่งว่าง ไม่มีวี่แววของพื้นที่สีฟ้า คงเพราะอากาศที่หนาวเกินไปจึงไม่มีลูกค้าคนไหนอยากนั่งโต้ลม
ร่างกายกลับมาเผชิญความหนาวดังเดิม เพิ่มเติมคือผู้คนที่หนาตาขึ้น
อืม ก่อนหน้านี้เราคงคิดมากไปเอง เมืองมันก็ไม่ได้เงียบสักหน่อย มันก็เป็นปกติของมันแหละ
มีช่วงเวลาที่หลับใหล และมีช่วงเวลาที่ตื่นมา
เช้าวันนั้นเมืองอาจจะตื่นสายไปหน่อย
บ่ายวันนั้นเมืองเลยเต็มไปด้วยพลังงานเพราะได้หลับอย่างสดชื่นนี่เอง
Leave a Reply