รีวิว The Two Popes (2019): ทุกคนล้วนมีตำหนิ ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์ผู้ซึ่งเป็นตัวแทนพระเจ้า

ก่อนดู The Two Popes เราแอบกลัวว่าจะดูไม่รู้เรื่อง เพราะหนังอิงกับประวัติศาสตร์ซึ่งเราไม่เชี่ยวเอาซะเลย อีกทั้งยังเจาะประเด็นศาสนาคริสต์ที่เราก็ไม่ได้รู้ลึกอีก ก่อนดูเลยไปหาอ่านรีวิวมาคร่าวๆ

ซึ่งมันก็ช่วยได้เยอะเลย เพราะทำให้เข้าใจบริบทของหนังมากขึ้น ตอนดูก็จะไม่ได้สงสัยอะไรมาก

อีกอย่างคือ เห็นในรีวิวบอกว่าหนังค่อนข้างจะเรียบๆ เน้นบทสนทนา ไม่เน้นมันส์ ตามสไตล์หนังท้าชิงรางวัล เราก็เตรียมใจไว้ระดับนึงละ

แต่แบบ เฮ้ย พอดูจริงแล้วเพลินกว่าที่คิดนะ

The Two Popes เล่าเรื่องเริ่มต้นในปี 2005 ณ ช่วงเวลาที่สมเด็จพระสันตะปาปาจอห์น พอลที่ 2 สวรรคต ทีนี้ คณะพระคาร์ดินัลก็ต้องประชุมออกเสียงกันว่าใครจะเป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่ มีอยู่สององค์ที่สูสีกันคือพระคาร์ดินัลโยเซฟ รัทซิงเงอร์ (Anthony Hopkins) จากเยอรมนี และ พระคาร์ดินัลฮอร์เฮ มาริโอ เบร์โกกลิโอ (Jonathan Pryce) จากอาร์เจนตินา ซึ่งสององค์มีจุดยืนชัดเจน องค์แรกมีความเป็นอนุรักษ์นิยมสูงมาก ในขณะที่องค์ที่สองนั้นจะมีความเป็นหัวสมัยใหม่

โยเซฟ รัทซิงเงอร์ จากเยอรมนี ได้รับคะแนนโหวตชนะ จึงได้กลายเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 และครองตำแหน่งมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปี 2012 ที่เริ่มมีข่าวเสียๆ หายๆ เกี่ยวกับวงการคริสตจักรออกมา ในขณะเดียวกัน เบร์โกกลิโอก็ต้องการจะลาออกจากการเป็นอาร์ชบิชอป โดยได้เขียนจดหมายหาพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ แต่ท่านก็ไม่ได้ตอบ สุดท้ายทั้งคู่เลยได้ไปเจอกันที่วาติกัน และได้แลกเปลี่ยนบทสนทนาซึ่งมาจากต่างมุมมองต่างความคิด อันนำไปสู่บทสรุปของเรื่องราว

03.jpg

อย่างที่บอก พอทำการบ้านมาแล้ว เรารู้สึกว่าดูหนังได้อย่างเพลิดเพลิน และไม่มึนระหว่างทาง เลยขอแนะนำใครก็ตามที่จะดู ไปหาอ่านรีวิวหรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องมาก่อน จะช่วยได้เยอะ แม้ว่าหนังจะไม่ได้อิงประวัติศาสตร์ 100% คือยังมีใส่สีเติมไข่เข้ามาเพื่อให้ดูบันเทิง แต่เค้าโครงหลักก็มาจากเรื่องจริง ตัวอย่างข้อเท็จจริงที่ไม่เหมือนในหนังก็เช่น ในปี 2012 เบร์โกกลิโอไม่ได้บินไปอิตาลีเพื่อขอเกษียณกับเบเนดิกต์ พวกเขาสองคนไม่ได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน เบเนดิกต์ก็ไม่ได้บอกเบร์โกกลิโอล่วงหน้าว่าตัวเขาเองนั่นละจะลาออก ไม่ได้บอกว่าตนไม่เหมาะสมที่จะเป็นพระสันตะปาปาต่อไป และก็ไม่ได้บอกด้วยว่าเบร์โกกลิโอจะเป็นพระสันตะปาปาองค์ต่อไปที่เหมาะจะมาแทนเขา

อืม…เยอะอยู่ และจากลิ้งก์ข้างต้นที่เราอ่านมาคร่าวๆ ก็ดูเหมือนหนังจะทำมาเพื่อเน้นเล่าเรื่องแบบ fictional โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริง มากกว่าที่จะเล่าเรื่องจริงแบบจริงๆ

หนังดำเนินเรื่องแบบเรื่อยๆ ไม่ได้เร้าใจหรือตื่นเต้น แต่ก็ชวนให้ติดตามเรื่อยๆ ถือว่าดีกว่าที่คาดไว้เยอะ การดำเนินเรื่องของหนังก็ไม่ได้เครียดนะแม้ว่าจะเป็นหนังที่คุยถกเถียงกันเยอะ หนังมีความน่ารักแทรกอยู่เรื่อยๆ พอให้อมยิ้มได้ อย่างการใช้เพลง Dancing Queen ประกอบฉากโหวตพระสันตะปาปาในช่วงแรก มีความตลกแทรกเข้ามาในบทสนทนาที่แอบกัดจิกกันเองบ้าง ตัวหนังยังสอดแทรกความฟีลกู๊ดในความสัมพันธ์ของสองพระสันตะปาปา ที่บางทีก็ดูเป็นศัตรูกันในแง่ความคิด บางทีก็ดูเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหาย มีดีกันบ้าง มีงอนกันบ้าง จุดนี้ก็ทำให้รู้สึกอุ่นๆ ในใจดีเหมือนกัน ต้องขอบคุณการแสดงของสองนักแสดงนำด้วยที่เล่นเข้าขากันได้ดี ส่งอารมณ์และสนทนากันได้อย่างเป็นธรรมชาติมากๆ

อีกหนึ่งสิ่งที่ทึ่งอยู่ไม่น้อยคือฉากต่างๆ ในหนัง ซึ่งบางฉากทีมงานก็สร้างขึ้นมาใหม่ด้วยเพราะไม่สามารถเข้าไปถ่ายทำในฉากจริงได้ หนึ่งฉากที่ว่าคือ Sistine Chapel ที่สร้างขึ้นมาใหม่ในสตูดิโอในโรม ดูเหมือนของจริงมากๆ ชนิดที่ถ้าไม่บอกก็นึกได้เลยว่าไปถ่ายทำกันในสถานที่จริงๆ

06.jpeg

การดำเนินเรื่องของหนังนั้นเน้นไปที่การสนทนาระหว่างพระสันตะปาปาสองท่าน หรืออันที่จริงคือพระสันตะปาปาองค์ปัจจุบัน (ทามไลน์ในหนัง) กับว่าที่พระสันตะปาปาในอนาคต (เบร์โกกลิโอ) ที่บอกว่าเน้นก็คือเน้นจริงๆ น้ำหนักของหนังแทบจะให้กับบทสนทนาเกือบหมด ถ้าใครไม่ชอบฟังบทสนทนายาวๆ อาจจะทิ้งหนังเรื่องนี้ไป แต่ถ้าชอบการปะทะวาจากัน แลกเปลี่ยนมุมมองความเห็นกันในรูปแบบบทสนทนาเฉียบๆ ก็น่าจะสนุกกับการติดตามสองท่านนี้เค้าโต้ตอบกัน

เห็นว่ามีการโต้เถียงกันแบบนี้ แต่ไม่มีฝ่ายดี-ร้ายนะ ทั้งคู่เพียงแต่มีมุมมองที่ต่างกัน ที่น่าเอาใจช่วยคือทั้งคู่ไม่ปิดกั้นความเห็นที่แตกต่างของอีกฝ่าย แต่รับฟังอย่างเปิดกว้าง รวมถึงสะท้อนออกมาว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อนั้นส่งผลอย่างไรกับชีวิต เบร์โกกลิโอเป็นคนเฟรนด์ลี่ที่สร้างมิตรกับผู้คนไปทั่ว ในขณะที่เบเนดิกต์ที่มีความเข้มงวดนั้นส่งผลให้ชีวิตของเขาค่อนข้างเงียบเหงา

08.jpg

หนังพยายามขุดลึกลงไปในความเป็นมนุษย์ในร่างพระสันตะปาปาของทั้งสองฝ่าย เราจะได้เห็นว่าทั้งคู่ต่างก็มีจุดบกพร่องต่างกันไป แต่หนังดูเหมือนจะโฟกัสไปที่เบร์โกกลิโอมากกว่า  ระหว่างที่คุยกัน จะมีการแฟลชแบ็กไปถึงอดีตของเบร์โกกลิโอ ตั้งแต่สมัยเริ่มต้นเป็นบาทหลวง เจอความขัดแย้งและปัญหาในช่วงทหารบุกยึดอำนาจในอาร์เจนตินา ซึ่งก็กลายมาเป็นความรู้สึกผิดที่ติดตัวมาตลอด

ในฝั่งของเบเนดิกต์ หนังไม่ได้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับอดีตมากนัก แต่จากหลายๆ ฉากก็พอจะทำให้เราได้รู้ว่าเบเนดิกต์เป็นมนุษย์ที่ค่อนข้างตัดขาดจากสังคม เพราะเขาไม่รู้จักเพลงดังๆ อย่าง Yellow Submarine ถามว่าจุดไหนที่เป็นข้อบกพร่องของเบเนดิกต์ อาจจะเป็นเรื่องการที่เขาค่อนข้างวางเฉยกับข่าวฉาวเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศของบาทหลวง ซึ่งเขาคิดว่าแค่การขอโทษก็เพียงพอแล้ว จุดนี้ทำให้เบร์โกกลิโอไม่พอใจนัก ติงว่าศาสนาตอนนี้ทำเหมือนกับว่าบาปเป็นเพียงรอยเปื้อนที่แค่เช็ดก็หาย ไม่ใช่รอยแผลที่ต้องได้รับการเยียวยา โดยเฉพาะเหยื่อที่ถูกกระทำ ดังนั้นก็จะเห็นได้เลยว่าการโต้เถียงระหว่างความดั้งเดิมกับการปฏิรูปนั้นไม่ได้มีไว้แค่เชิงวิชาการ แต่มันส่งผลกระทบต่อคนจริงๆ

โดยรวมแล้ว เรามองว่า The Two Popes ใช้เรื่องจริงมาเป็นเพียงองค์ประกอบการเล่าเรื่องราว ไม่ได้สมบูรณ์แบบขนาดนำมาใช้ศึกษาประวัติศาสตร์ได้ ในทางกลับกัน หนังน่าจะเป็นสื่อที่ดีในการให้แรงบันดาลใจว่าเราจะจัดการยังไงกับบาป ข้อบกพร่อง และการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเรา ประเด็นที่ว่าตัวแทนของพระเจ้าบนโลกนี้ยังมีข้อบกพร่องในฐานะมนุษย์อยู่นั้นถือเป็นประเด็นอ่อนไหวแต่หนังก็เล่าเรื่องอย่างละมุนละม่อม คิดว่านี่น่าจะเป็นหนังที่ไม่ว่าเราจะนับถือศาสนาไหนก็ดูได้เพลินๆ นะ อย่าลืมอ่านแบ็กกราวด์หนังมาคร่าวๆ ก่อนละ

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Blog at WordPress.com.

Up ↑

%d bloggers like this: