รีวิว The End of F***ing World 2 (2019): เพราะความบอบช้ำยังตราตรึง ถึงฆ่ากันก็ไม่หาย

The End of F***ing World ซีรีส์สัญชาติอังกฤษ ดัดแปลงมาจากกราฟิกโนเวลในชื่อเดียวกัน โดยซีซั่นแรกเมื่อปี 2017 นั้นได้รับกระแสตอบรับดีเยี่ยม ตัวเราเองก็ติดใจการเล่าเรื่องแบบห่ามๆ ดิบๆ ไม่สนใจอะไรของหนัง ตอนจบของซีซั่นที่แล้วยังค้างเติ่งไม่ชัดเจนอีกต่างหาก พอมีซีซั่น 2 ก็เชื่อว่าหลายคนน่าจะดีใจเหมือนเรา

อย่างหนึ่งที่เราชอบก่อนดูเรื่องนี้จริงๆ คือตัวอย่าง เพราะจากตัวอย่างนี่เดาไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง คลุมเครือมาก ยิ่งทำให้น่าดูขึ้นไปอีก ทั้งนี้ทั้งนั้น ระวังสปอยล์ด้วย อย่าเพิ่งอ่านเนื้อหาข้างล่าง ถ้ายังไม่ได้ดู 555

มีสปอยล์

The End of F***ing World ซีซั่นที่แล้วจบลงตรงที่เจมส์ (Alex Lawther) ถูกยิงขณะหนีการไล่ล่าของตำรวจ พอมาซีซั่นนี้ที่เนื้อเรื่องทิ้งห่างจากซีซั่นที่แล้ว 2 ปี เราถึงได้รู้ว่าเจมส์ยังไม่ตาย แต่รักษาตัวอยู่นานในโรงพยาบาล โดยมีคุณพ่อคอยดูแล ทางฝั่งอลิสซา (Jessica Barden) นางเอกของเรื่อง ก็มาอาศัยอยู่ในชนบทกับแม่และป้า ทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในร้านอาหาร และปิ๊งรักกับทอดด์ (Josh Dylan) ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เธอเจอที่ร้าน แม้ลึกๆ เธอจะยังรักเจมส์ก็ตาม

16.jpg

ซีซั่นสองนี้อันที่จริงแล้วอีพีแรกไม่ได้เล่าถึงเจมส์กับอลิสซา แต่เล่าถึงบอนนี่ (Naomi Ackie) ตัวละครใหม่ที่หากไม่มีเธอ ซีซั่นนี้คงไม่เกิดขึ้นแน่ๆ เธอแทบจะเป็นแกนหลักของเรื่องเลย โดยในอีพีแรกเราจะได้รู้จักบอนนี่ตั้งแต่เด็กจนโต ได้รู้จักครอบครัวของเธอ ได้รู้ว่าเธอโดนครอบครัวกดดัน โดนลงโทษจนเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ โดนเพื่อนๆ รุมรังแก บอนนี่ไม่เคยได้รับความรักจริงๆ เลย จนกระทั่งเจอกับศาสตราจารย์ไคลฟ์ (Jonathan Aris) ผู้สอนวิชาปรัชญา ที่ตอนแรกดูเหมือนทั้งคู่จะไม่ถูกชะตากัน แต่ไปๆ มาๆ ก็ดันถูกใจซึ่งกันและกัน โดยบอนนี่หลงคิดไปว่านี่คือความรักจริงๆ

เมื่อบอนนี่รู้ว่าศาสตราจารย์ไคลฟ์มีสัมพันธ์กับหญิงอื่น ความรักก็ทำให้ตาเธอบอด เธอตรงดิ่งไปฆ่าหญิงสาวคนนั้นทันที แถมยังมอบตัวเสร็จสรรพ ลงเอยด้วยการอยู่ในคุก ระหว่างนั้นเธอก็พยายามเขียนจดหมายติดต่อหาไคลฟ์ จนกระทั่งวันหนึ่งจดหมายถูกตีกลับ พร้อมกับข่าวร้ายว่าไคลฟ์เสียชีวิตแล้ว

ศาสตราจารย์ไคลฟ์ก็คือ คนที่เจมส์ฆ่าเพราะจะข่มขืนอลิสซาเมื่อซีซั่นที่แล้วนี่แหละ

พอบอนนี่ออกจากคุกมาได้ เธอก็มีเป้าหมายไล่ล่าตามฆ่าเจมส์กับอลิสซา เพื่อล้างแค้นให้กับคนที่รัก การไล่ล่าจึงเริ่มขึ้นโดยที่เจมส์และอลิสซายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

ความสนุกของเรื่องคือเมื่อมีตัวละครที่ 3 โผล่มา ก็ยิ่งชวนให้ระแวงไปทุกช่วงเวลา แถมคราวนี้บอนนี่ยังตามมาแบบเนียนๆ ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวด้วย ด้วยบุคลิกนิ่งๆ ของนางเลยไม่รู้ว่านางจะลงมือตอนไหน

11.png

นอกจากนี้แล้ว การดำเนินเรื่องและลายเซ็นต์ของซีรีส์ยังคงเหมือนเดิม คือมีความดาร์กคอเมดี้ตลกร้าย กัดจิก ตลกหน้าตาย ซึ่งหลายๆ ฉากก็เออตลกจริง ตลกแบบไม่ต้องขำก๊าก บทสนทนายังคงมีความเฉียบ เน้นความมินิมัลน้อยๆ แต่สื่อมาก ถามคำตอบคำห้วนๆ มันนี่แหละ ทว่าแต่ละบทสนทนาหรือคำพูดนี่สะท้อนอะไรได้หลายๆ อย่างเลย

ตัวเจมส์และอลิสซานั้น ดูเหมือนจะมีพัฒนาการจากซีซั่นก่อนอยู่บ้าง เพราะหลังจากเจอเรื่องร้ายๆ มาเยอะ ก็ดูเหมือนจะทำให้ทั้งคู่นิ่งขึ้น ไม่วู่วามเหมือนแต่ก่อน เจมส์เองหลังจากที่พ่อเสียชีวิต ก็ไม่ทิ้งพ่อไปไหน ยังคงแบกโหลอัฐิไปทุกที่ นอกจากนี้เขายังแบกความรักที่มีต่ออลิสซาไว้ด้วย รอเพียงจังหวะเหมาะๆ ที่จะเปิดเผย แต่มันไม่ง่ายเท่าไรเพราะเขาดันเคยถูกแม่อลิสซาบังคับเขียนจดหมายมาตัดสัมพันธ์กับเธอตอนอยู่ในโรงพยาบาล ส่วนหนึ่งเจมส์ก็ยอมรับว่าที่ชีวิตอลิสซาต้องเจออะไรแบบนี้ก็อาจจะเป็นเพราะเขาด้วย

ส่วนอลิสซานั้นก็ยังคงเผชิญฝันร้ายจากบ้านไคลฟ์ คืนนั้นยังคงตามหลอกหลอนเธอตลอด ไหนจะคำตัดสัมพันธ์จากเจมส์ ผู้ชายที่เธอรักอีก แม้จะทำหน้าตายยังไงแต่เราว่าในใจเธอก็คงเจ็บปวด ถึงขั้นคิดจะเยียวยาด้วยการแต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่งที่ปิ๊งชั่วครู่ชั่วคราว เกิดเป็นงานแต่งงานแบบนึกจะแต่งก็แต่ง แต่งเสร็จได้แป๊บนึงนางก็หนีไปอีก ความลมเพลมพัดเอาแน่เอานอนไม่ได้นี่ก็เป็นเอกลักษณ์หนึ่งของซีรีส์เรื่องนี้ ถ้าเป็นเรื่องอื่นอาจจะติ แต่เรื่องนี้นี่ชินซะแล้ว ฮ่าๆๆ

01.jpg

แต่ละตอนของซีรีส์ยังคงไว้แบบเดิมคือประมาณ 20-25 นาที มีทั้งหมด 8 ตอน หาเวลาดูได้ง่ายๆ แม้มีเวลาน้อย แต่ละตอนก็เพลินมาก พอดูจบตอนนึงก็อยากจะคลิกต่อ เพราะจบได้ค้างคาเหลือเกิน เนื้อเรื่องมีความกระชับไม่ยืดเยื้อ ไม่มีเบื่อไม่มีง่วง

อีกอย่างที่ชอบมากคือเพลงประกอบ หนังใช้ธีมเพลงเดียวกันทั้งเรื่อง เป็นเพลงที่ให้กลิ่นอายเก่าๆ คลาสสิกๆ ทำให้บรรยากาศในหนังดูเย็นขึ้นอย่างประหลาด แม้บางซีนจะโคตรเดือดดาลเลือดสาด แต่เพลงก็ทำให้เราใจร่มลงได้ และมองทุกอย่างเป็นเหมือนภาพศิลปะชิ้นหนึ่งแทน

08.jpg

สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดเกี่ยวกับซีซั่นนี้คือ การยึดมั่นถือมั่น ไม่ปล่อยวาง ทุกๆ ตัวละครล้วนถือปมบางอย่างเอาไว้ทำให้รู้สึกหนักอึ้งเสมอ ไม่ว่าจะเป็นความแค้น (บอนนี่) ความรู้สึกผิด (เจมส์) หรือความสะเทือนใจ (อลิสซา) ซึ่งคนที่ปลดปล่อยมันออกมาได้เป็นรูปธรรมที่สุดน่าจะเป็นบอนนี่ ที่ตามไล่ล่าเจมส์กับอลิสซาอย่างไม่คิดเหนื่อย (เราเหนื่อยแทนเธอ) โดยบอนนี่นั้นมโนมาตลอดว่าฉากฆาตกรรมเป็นยังไง ฆ่ากันแบบเลือดเย็นแน่ๆ เลยสินะ เธอหลงคิดว่านั่นคือความจริงมาตลอด เพื่อสุมเชื่อเพลิงในใจให้ยิ่งมอดไหม้

ปมนี้นำพามาซึ่งความพีคในช่วงท้ายๆ ของซีซั่น ที่เล่นเอาลุ้นตาไม่กะพริบ การปะทะทางวาจาของตัวละครยังคงทำให้เราบันเทิงโดยเฉพาะเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างตอนที่บอนนี่ตั้งใจจะฆ่าตัวเอกทั้งคู่แล้ว แต่เมื่อรู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนฆาตกรรม ว่าเจมส์และอลิสซาก็เป็นเพียงอีกเหยื่อ ก็เหมือนสิ่งที่บอนนี่เชื่อมาตลอดได้พังทลายลง และการฆ่าแกงกันก็ไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป

ถามว่า ถ้าไม่ฆ่าล้างแค้นแล้ว จะมีวิธีไหนช่วยเยียวยาความเจ็บปวดได้อีก? อลิสซาตอบว่า ไม่รู้เหมือนกัน

เออ ก็จริงของเค้า เราจะไปรู้ได้ยังไงว่าอีกฝ่ายเจ็บปวดแค่ไหน ในที่สุดแล้ว ต่างคนต่างก็ต้องหาวิธีรับมือ รักษาบาดแผลของตนเอง

ก็เหมือนการที่อลิสซาไปเยือนสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง เพื่อตอกย้ำว่าเรื่องทุกอย่างได้เกิดขึ้นจริง และมันก็ผ่านไปแล้ว เหมือนกับที่เจมส์ ออกตามหาอลิสซาอีกครั้ง เพื่อบอกกับเธอว่าแท้จริงแล้วเขารู้สึกอย่างไร

09.jpg

The End of F***ing World ซีซั่น 2 นี้ จบลงไปแบบอิ่มๆ ฟูๆ ค่อนข้างคอมพลีทในตัวมันเอง ทำให้ไม่เคืองว่าจะไม่มีซีซั่น 3 ต่อแล้ว บทสรุปของซีซั่นนี้จบลงด้วยการที่เจมส์และอลิสซาต่างสารภาพความรู้สึกของตัวเอง ว่าต่างคนต่างรักกัน และแม้ว่าอลิสซาจะขอเวลาอีกนิด แต่เราก็ค่อนข้างมั่นใจว่าทั้งคู่น่าจะได้ลงเอยกัน ก็แหมผ่านอะไรมาด้วยกันเยอะซะขนาดนี้

13.jpg

โดยรวมแล้ว The End of F***ing World เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่เราโปรดปรานกับความตลกร้ายดาร์กๆ ของมัน ให้ฟีลเหมือนอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่บรรยายไม่เยอะ ทว่าแต่ละคำนั้นกัดกินโดนใจแบบจุกๆ ถูกใจคนที่ชอบหนังแนววัยรุ่นกร้านโลก กัดจิกโลกแบบแสบๆ แน่นอน

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Blog at WordPress.com.

Up ↑

%d bloggers like this: