เมื่อใกล้ช่วงเทศกาลคริสต์มาส Netflix ก็มักจะมีหนังธีมคริสต์มาสออกมาให้เราได้ดูกันตลอด ปีนี้ก็มีอนิเมชั่น 2D สัญชาติสเปน เรื่อง Klaus ที่เราได้ยินรีวิวด้านบวกมาจากหลายๆ แหล่ง ทั้งด้านงานภาพและงานเรื่อง
มีสปอยล์เล็กน้อย
Klaus เล่าเรื่องของ เจสเปอร์ (Jason Schwartzman) ชายหนุ่มลูกเจ้าของธุรกิจไปรษณีย์ เขาเป็นคุณหนูที่ชีวิตวันๆ ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีเป้าหมาย ไม่ตั้งใจเรียน วันหนึ่งพ่อก็ทนไม่ไหวต้องดัดหลังซะหน่อย ด้วยการส่งเจสเปอร์ไปเป็นบุรุษไปรษณีย์ที่เกาะสเมียร์เรนสเบิร์กอันแสนจะหนาวเหน็บกันดาร โดยมีภารกิจคือภายในหนึ่งปีนี้ต้องส่งจดหมายให้ครบ 6,000 ฉบับถึงจะยอมให้กลับมาบ้านได้ ถ้าไม่ทำจะถูกตัดออกจากกองมรดก!
งานนี้เจสเปอร์เลยต้องรับงานอย่างช่วยไม่ได้ เขาออกเดินทางไปเกาะสเมียร์เรนสเบิร์กแล้วก็ต้องค้นพบว่าเมืองนี้มันเถื่อนจริงๆ โดยประชากรของเมืองนั้นแบ่งแยกออกเป็นสองตระกูลที่ไม่ถูกกัน ทะเลาะตบตีกันตลอด ดูเป็นเมืองที่แสนจะไร้อนาคตและทุรกันดารมากๆ แน่นอนว่าเจสเปอร์ทนไม่ไหวกับการต้องอยู่ที่นี่ เขาจึงพยายามหากลวิธีต่างๆ ในการส่งจดหมาย แต่ก็เป็นเรื่องยากเพราะคนในเมืองนี้ไม่เคยใช้จดหมายเป็นเครื่องมือสื่อสารเลย
จนกระทั่งวันหนึ่ง เจสเปอร์ได้บังเอิญไปเจอกับเคล้าส์ (J.K. Simmons) ช่างไม้ร่างใหญ่หนวดเฟิ้มที่อาศัยอยู่ในกระท่อมอันห่างไกล เจสเปอร์ก็ได้ค้นพบทางสว่าง เมื่อเขาเห็นว่าเคล้าส์เอาของเล่นไปให้เด็กคนหนึ่งที่ถูกขังในบ้าน เพียงเพราะเห็นรูปวาดของเด็กคนนั้น เจสเปอร์จึงปิ๊งไอเดียให้เด็กๆ เขียนจดหมายส่งหาเคล้าส์เพื่อขอของเล่น กลายเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่เป็นต้นกำเนิดของตำนานซานตาคลอส
หนังเรื่องนี้มีความยาวประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ถือว่าไม่สั้นไม่ยาวจนเกินไป แต่บอกเลยว่าคุณภาพคับแก้วมาก ดีสมคำรีวิว งานด้านภาพนั้นแม้จะเป็น 2D แต่ก็มีความตื้นลึกหนาบาง มีมิติ ทำให้บางทีแอบรู้สึกว่ามีความ 3D นิดหน่อย ฉากต่างๆ ก็สวยงาม แม้แต่เสียงในหนังยังมีมิติ มาแบบรอบทิศอย่างรู้สึกได้ชัด ใครที่ชอบงานวิชวลงามๆ รับรองว่าต้องปลื้มเรื่องนี้
ทางฝั่งก็เนื้อหาก็ดีงามไม่แพ้กัน เพราะแม้หนังจะเล่าบนพื้นฐานของตำนานซานตาคลอส แต่หนังก็นำรายละเอียดต่างๆ มาตีความใหม่หมดเลย ใจความหลักของหนังก็คือ จริงๆ แล้ว ซานตาลคอส หรือ ลุงเคล้าส์ ก็เป็นคนธรรมดาๆ เดินดินคนหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ใช่ผู้วิเศษจากไหน ไม่ได้มีโรงงานทำของเล่นวิเศษ ไม่ได้มีกวางเรนเดียร์บินได้ และตัวเขาเองก็ไม่ได้ส่งของขวัญเองด้วย ซึ่งระหว่างที่ดู หนังจะค่อยๆ สอดแทรกรายละเอียดต่างๆ เหล่านี้เข้ามา ให้เราซึมซับทีละนิดๆ ถึงความธรรมดาที่ไม่ธรรมดา ถึงพลังที่ปุถุชนสามารถสร้างให้เกิดตำนานเล่าขานกันในหมู่บ้านเล็กๆ ได้
ตัวอย่างก็เช่น ลุงเคล้าส์เป็นช่างไม้ที่ชอบสร้างชิ้นงานประดิษฐ์ จึงสามารถทำของเล่นให้เด็กๆ ได้ เจสเปอร์เป็นคนกล่อมให้เด็กๆ เขียนจดหมายไปหาลุงเคล้าส์ และเจสเปอร์ในฐานะบุรุษไปรษณีย์ก็เป็นคนส่งของขวัญทุกๆ ชิ้นให้ที่บ้านของเด็กแต่ละคน และแกล้งเด็กเกเรด้วยการใส่ถ่านหินลงไปในถุงเท้าแทน เลยเป็นที่มาว่า ลุงเคล้าส์จะไม่ให้ของขวัญเด็กที่ทำตัวแย่ ทีนี้แหละ เด็กๆ เลยประพฤติดีกันเป็นแถว พลอยทำให้ผู้ใหญ่ที่เกลียดขี้หน้ากันในเมือง เริ่มญาติดีกันขึ้นมา บรรยากาศในเมืองก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ… รายละเอียดตรงนี้ยังมีอีกเยอะเลย แต่อยากให้ลองไปดูในหนังเองจะได้สนุก (แอบกระซิบว่าเรื่องเรนเดียร์บินนี่ฮาจริง)
ทางฝั่งตัวละครก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจ เริ่มแรกที่เจสเปอร์ ชายหนุ่มที่ตอนแรกดูลอยไปลอยมา ไม่เอาจริงเอาจัง แต่ด้วยผลประโยชน์ที่พ่อนำเสนอ เขาจึงต้องรีบกวดขันตัวเองให้ลุกขึ้นมาทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมาย จะว่าไปแล้ว หากไม่ได้ความกระเหี้ยนกระหือรืออยากออกจากเมืองของเจสเปอร์ บางทีเมืองสเมียร์เรนสเบิร์กอาจจะไม่ได้ดิบได้ดีจากของเล่นของลุงเคล้าส์ก็ได้ ส่วนหนึ่งก็ต้องยกความดีความชอบให้ความอยากได้อยากมีของเจสเปอร์ แต่อีกส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าเจตนาของเจสเปอร์ในตอนแรกนั้นไม่บริสุทธิ์ เขาไม่ได้อยากให้เด็กๆ มีความสุข แต่เป็นตัวเขาเองต่างหาก
ถึงอย่างนั้น เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เจสเปอร์ก็เริ่มรู้สึกว่า ตัวเองมีคุณค่า ตัวเองได้ทำอะไรสักอย่างที่มีความหมายจริงๆ มีคนที่รอคอยของเล่นจากเขา มีคนรอบกายที่รักเขาแคร์เขา มีเมืองที่ดีขึ้นด้วยน้ำมือของเขา และมันก็ทำให้เขากลายเป็นคนใหม่โดยสิ้นเชิง
ทางด้านลุงเคล้าส์เอง ตอนแรกก็จะรู้สึกว่าลุงเป็นคนน่ากลัว ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกกับบุคลิกขรึมๆ ไม่ค่อยพูดค่อยจาในตอนแรก แต่เมื่อเริ่มรู้จักกันไปเรื่อยๆ ลุงก็เริ่มคุยมากขึ้น เริ่มแสดงให้เห็นด้านอบอุ่น และความตั้งใจจริงที่อยากให้เด็กๆ มีความสุข ลุงเชื่อว่า “การกระทำที่ปราศจากความเห็นแก่ตัวอย่างแท้จริง จุดประกายให้เกิดการทำความดีเสมอ” ซึ่งเป็นหนึ่งในประโยคหลักของเรื่องนี้ก็ว่าได้
ทว่าเมื่อหนังดำเนินไปเรื่อยๆ เราก็ได้รู้ปูมหลังของลุงเคล้าส์ ว่าแกเคยเจอเรื่องเศร้ามาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภรรยาเสีย หรือเรื่องที่ไม่สามารถมีลูกได้ ทำให้แกต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวเปล่าเปลี่ยวมาตลอด เรียกได้ว่าเป็นโชคดีที่ลุงมาเจอเจสเปอร์ ทำให้ลุงได้ทำในสิ่งที่มีคุณค่ากับผู้อื่น ได้สร้างรอยยิ้มให้เด็กๆ
อีกตัวละครที่เด่นไม่แพ้คนทั้งคู่ข้างต้นคืออัลวา (Rashida Jones) คุณครูสาวที่เกือบจะละทิ้งหน้าที่ครูไปแล้ว ตอนแรกเราจะพบเธอในร้านขายปลาสภาพเน่าๆ โทรมๆ โดยอัลวามีเป้าหมายว่าจะขายปลาเก็บเงินไปเรื่อยๆ เพื่อจะหนีออกจากเมืองนี้ เพราะไม่เห็นหนทางใดๆ ที่เมืองนี้จะดีขึ้นแล้ว แต่ก็ต้องขอบคุณเจสเปอร์อีกเช่นกัน ที่ทำให้เหล่าเด็กๆ อยากจะเรียนหนังสือ เพื่อที่จะได้เขียนจดหมายไปหาลุงเคล้าส์ได้ คราวนี้อัลวาเลยได้กลับมาทำหน้าที่ครูอีกครั้ง และมันก็ทำให้เธอรู้แล้วว่านี่แหละคือความสุขที่แท้จริง
หนังดำเนินเรื่องได้อย่างสนุก กระชับ ไม่มีจุดน่าเบื่อ ชวนติดตามตลอดทั้งเรื่อง มีทั้งช่วงที่ตลก เศร้า และโรแมนติก ถือว่าครบรสเลย ตอนท้ายๆ มีการเร่งเครื่องนิดหน่อยให้มีความไคลแมกซ์และจุดขัดแย้งมากขึ้น เมื่อชาวเมือง 2 ตระกูลไม่พอใจที่ประชาชนเริ่มสร้างสันติสุขกัน ส่วนเจสเปอร์เองก็ต้องเจอบทลงโทษเมื่อทุกคนรู้ความจริงถึงเบื้องหลังความตั้งใจในตอนต้นของเขา ในส่วนของตอนจบนั้นก็ถือว่าทำได้จับใจเลยทีเดียว เป็นการหวนคืนสู่ธรรมชาติของมนุษย์อย่างแท้จริง และทิ้งปมปลายเปิดไว้ให้เราจินตนาการต่อ
โดยรวมแล้ว Klaus เป็นงานอนิเมชั่นห้าดาวที่เราอยากจะแนะนำต่อมากๆ จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือหนัง Netflix ที่ปกติมักจะมีข้อบกพร่องเยอะ ฮา… เรื่องนี้ดูได้ทุกวัยไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ และแม้ฉากในเรื่องนี้เต็มไปด้วยหิมะ แต่รับรองว่าดูแล้วอบอุ่นใจแน่นอน
Leave a Reply