รีวิว If Cats Disappeared From The World (2012): ชีวิตที่เพิ่มมา กับบางอย่างที่หายไป

“จงสละของหนึ่งชิ้น”

เป็นโจทย์ที่ถ้าได้รับ ณ เดี๋ยวนั้น คงคิดอยู่นาน เพราะทั้งๆ ที่ดูเหมือนว่าชีวิตจะมีสิ่งมากมายที่เราคิดว่าสละได้ แต่พอเอาเข้าจริง เราก็ไม่อยากสละอะไรเลย อยากเก็บมันไว้หมด

ก็คงเหมือนเวลาที่ตั้งใจจะทิ้งอะไรสักอย่าง พอหยิบขึ้นมาดู ก็ได้แต่ไตร่ตรอง ครุ่นคิด ลังเล ชั่งน้ำหนัก สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการวางมันไว้ที่เดิม เพราะเสียดาย

แต่เมื่อเรากำลังจะตาย แล้วจู่ๆ ได้รับข้อเสนอว่าต้องสละบางอย่างในโลกนี้ออกไปหนึ่งอย่าง เพื่อให้มีชีวีตเพิ่มอีกหนึ่งวัน คราวนี้ละ เราอาจจะมองทุกอย่างเปลี่ยนไป เราจะเริ่มคิดมากขึ้น และอาจถึงขั้นเปลี่ยนมุมมองต่อชีวิตไปเลยก็ได้

สิ่งนี้เกิดขึ้นกับชายหนุ่มบุรุษไปรษณีย์ ใน If Cats Disappear From The World วรรณกรรมญี่ปุ่นที่เขียนโดย Genki Kawamura โดยเขาจะต้องผ่านโจทย์นี้ซ้ำๆ เพื่อยืดชีวิตตัวเอง แต่เขาจะสามารถทำได้ถึงเมื่อไร?

IMG_8045

If Cats Disappear From The World เปิดเรื่องมาด้วยผลวินิจฉัยโรคของพระเอก ซึ่งระบุว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่ๆ แค่นั้นยังไม่พอ… ณ จุดที่พระเอกเริ่มจะปลงกับชีวิตแล้ว จู่ๆ ก็มีบุรุษปริศนาปรากฏตัว เขาผู้นี้มีหน้าตาเหมือนพระเอกเป๊ะ ต่างกันเพียงบุคลิกท่าทางและการแต่งกายที่เหมือนอยู่ฮาวาย เขาผู้นี้แนะนำตัวว่าตัวเองคือปีศาจ และบอกข่าวร้ายกับพระเอกว่าพระเอกจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 1 วันต่างหาก! อ้าวแย่แล้ว วันตายมาไวกว่าที่คิด แต่ไม่ต้องห่วง ก่อนจะกระวนกระวายไปมากกว่านี้ ปีศาจก็ได้ยื่นข้อเสนอว่า เขาจะช่วยยืดชีวิตของพระเอกให้ 1 วัน แต่ต้องแลกกับการที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งหายไปจากโลกนี้

ตอนแรกพระเอกก็คิดว่า งานหมูละ งั้นจัดการเอาของไม่มีประโยชน์ออกไปดีกว่า แต่ปีศาจฉลาดกว่า จึงขัดว่า ฉันนี่แหละจะเป็นคนกำหนดเองว่าอะไรจะหายไป ส่วนนายแค่ approve ก็พอ เคนะ? ไม่เหลือหนทางอะไรแล้ว พระเอกจึงต้องทำสัญญา โดยหารู้ไม่ว่าแต่ละการตัดสินใจจะเริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ และการเดินทางครั้งนี้ก็จะทำให้เขาเปลี่ยนมุมมองต่อชีวิตไปโดยสิ้นเชิง…

IMG_8046

เป็นวรรณกรรมกึ่งๆ ความเรียง ดำเนินเรื่องแบบเรียบๆ

สำหรับเรื่องนี้ เรายังไม่ได้ดูหนัง กะว่าดูหลังอ่านจบนี่แหละ หนังสือเล่มนี้เป็นวรรณกรรมเล่มเล็กๆ ที่ตอนแรกนึกว่าจะอ่านจบอย่างรวดเร็ว แต่กลับใช้เวลานานกว่าที่คิด อาจจะเพราะเนื้อหาที่ชวนให้สะดุดคิดอยู่เรื่อยๆ บางจุดเราก็อ่านซ้ำอีกรอบเพราะรู้สึกว่าเนื้อหามันมีความหมายลึกซึ้งดี ขอแนะนำว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับการละเมียดละไม เพราะหนังสือสอดแทรกประเด็นให้คิดไว้ในหลายจุด มีประโยคสวยๆ เยอะอยู่

ในฝั่งของการดำเนินเรื่อง เป็นแบบเรียบเรื่อยๆ ไม่เน้นพล็อต ไม่เน้นสนุกตื่นเต้น ดังนั้นใครอยากหาหนังสืออ่านเอามันส์คงไม่เหมาะกับเรื่องนี้ สถานการณ์ในเรื่องก็เป็นไปแบบธรรมดาๆ สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดกว่าสถานการณ์ในเรื่องคือการสะท้อนความคิดตัวเองของพระเอก ทุกๆ การกระทำ หนังสือจะแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระเอกคิดอะไร ย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์อะไร รู้สึกอย่างไร ซึ่งตรงนี้ละทำให้เรารู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้มีความเป็นเรียงความแบบ non-fiction อยู่ด้วย ไม่ใช่ fiction จ๋า อารมณ์ประมาณว่า อ่านๆ ไปแล้วรู้สึกว่าเออ เป็นความคิดพระเอกหมดเลยนี่หว่า พระเอกก็จะครุ่นคิดวิเคราะห์เรื่องนู้นนี้ไปเรื่อย ตั้งคำถามถึงความเป็นไปในสิ่งต่างๆ หากมองว่าพระเอกเป็นผู้เขียน นี่ก็จะกลายเป็น non-fiction ไปเลย

เราอ่านเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษที่สั่งจาก Bookdepository.com (แนะนำเว็บนี้มาก) ภาษาอ่านง่ายไม่ติดขัด ไม่ได้เล่นคำซับซ้อน ใช้ความเรียบง่ายนี่ละบรรยายสิ่งที่ลึกซึ้งมาก ซึ่งเรามองว่าก็เป็นเสน่ห์ของวรรณกรรมญี่ปุ่นนะ

มนุษย์เรามีของ extra มากไปรึเปล่า?

หนังสือเล่นหลายประเด็นมาก ตอนแรก เรามีความรู้สึกว่า หนังสือต้องการจะบอกว่า มนุษย์เรามีของ extra มากไปรึเปล่า? แท้จริงแล้ว การที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีชีวิตรอด ก็ต้องการเพียงปัจจัยหลักๆ ไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง ที่เหลือล้วนเป็นการประดิษฐ์ส่วนเกินขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกรวมถึงมอบความบันเทิง กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน กลมกลืนราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย

แต่จริงๆ แล้วเราจำเป็นต้องมีสิ่งนี้รึเปล่า? ถ้าไม่มีเราอยู่ได้ไหม?

ถ้าไม่มีมือถือ เราจะอยู่ได้หรือเปล่า

ถ้าไม่มีภาพยนตร์ เราจะอยู่ได้หรือเปล่า

ถ้าไม่มีนาฬิกา เราจะอยู่ได้หรือเปล่า

หลายคนมีมือถือเป็นเสมือนอวัยวะที่ 33 ไปแล้ว ถ้าขาดไปรู้สึกเหมือนมีบางอย่างไม่สมบูรณ์ (เราก็เป็น) ผู้คนคุ้นชินกับการจ้องหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ว่างเป็นเมื่อไรต้องหยิบมือถือ ทั้งที่ก่อนหน้าการกำเนิดของมือถือ เราก็มีอย่างอื่นให้ทำ ระหว่างขึ้นรถไฟเราก็อ่านหนังสือ ตอนเด็กๆ เราก็เล่นเกมกระดาน จะสื่อสารกันก็ใช้จดหมาย

แน่นอนว่ามือถือก็สำคัญ ทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้นมาก แต่เมื่อมันเริ่มจะครอบครองพื้นที่ในชีวิตเรามากขึ้นเรื่อยๆ ก็น่าตั้งคำถามว่า แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งมือถือหายไปจากโลกนี้ล่ะ เราจะอยู่กันได้ไหม?

สิ่งอื่นๆ ที่หนังสือหยิบยกมาเป็นตัวอย่าง ก็เผชิญคำถามนี้เช่นกัน หากภาพยนตร์หายไปจากโลกนี้ จะมีใครบ้างที่เดือดร้อน? จะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง? ภาพยนตร์ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่อำนวยความบันเทิงอันแสนจะสากลของโลกนี้ แต่นอกจากให้ความบันเทิงแล้ว มันยังให้แรงบันดาลใจ ให้หน้าต่างมองดูโลก ให้ความรู้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าส่วนหนึ่งของมนุษย์เราถูกหล่อหลอมมาจากภาพยนตร์ เรารู้จักต่างประเทศจากภาพยนตร์ เข้าใจอดีตจากภาพยนตร์ เห็นความรักจากภาพยนตร์ เราพบเจออะไรมากมายในภาพยนตร์ ในแบบที่ไม่มีวันเจอในชีวิตจริง

ในส่วนของนาฬิกา ตรงนี้มีเชื่อมกับประเด็นเรื่องเวลา ถ้าว่ากันตามจริง มนุษย์นั่นแหละเป็นผู้ประดิษฐ์เวลาขึ้นมา เป็นผู้คิดค้นวิธีคำนวณแบบวินาที นาที ชั่วโมง เวลากลายเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความเป็นระเบียบให้กับชีวิตมนุษย์ แต่ขณะเดียวกันก็กักขังหน่วงเหนี่ยวไม่ให้เป็นอิสระ ตัวพระเอกนั้นสะท้อนความคิดออกมาว่า ตอนที่นาฬิกาหายไปจากโลกนี้ เขารู้สึกเหมือนถูกปลดปล่อยจากพันธนาการ ไม่ต้องคอยดูเวลาว่าสายไหม ตรงเวลาไหม

แต่ละสิ่งล้วนมีความสำคัญของมัน

แต่ก่อนจะเริ่มเข้าใจสารของหนังสือไปว่า “เราไม่จำเป็นต้องมีของพวกนี้ก็อยู่ได้” หนังสือก็หย่อนโจทย์ชิ้นต่อไปมา นั่นก็คือ “ถ้าเป็นแมวล่ะ ถ้าแมวหายไป เราจะอยู่ได้ไหม”

หลายคนอาจจะตอบทันทีเลยว่า ได้! แต่ไม่ใช่สำหรับคนที่มีแมวเป็นสัตว์เลี้ยงเพื่อนรักอย่างพระเอกเป็นแน่ เขาชั่งน้ำหนักอยู่นานเหมือนกัน แต่สุดท้าย เมื่อคิดว่าจะต้องจากสัตว์เลี้ยงผู้เป็นที่รักไปจริงๆ เขากลับทำใจไม่ได้ เขาไม่สามารถแลกชีวิตตัวเองกับชีวิตของแมวได้

และถ้าเขาตัดสินใจยืดชีวิตตัวเองออกไป แต่ต้องแลกกับการไม่มีแมวอยู่ข้างกาย ชีวิตของเขาก็คงจืดชืดเหี่ยวเฉาเป็นแน่

…เช่นเดียวกันหลายๆ สิ่งที่เขาได้เอาออกไปจากชีวิตแล้ว

เมื่อมาถึงจุดนี้ พระเอกก็เริ่มตระหนักว่า ทุกๆ สิ่งมีความหมายในตัวของมัน แม้จะเป็นสิ่งเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม เราไม่ควรที่จะเอาชีวิตของใครไปเปรียบเทียบคุณค่ากับชีวิตของใคร หรือเอาชีวิตไปเปรียบกับสิ่งของอะไร เพราะทุกๆ อย่างมันดำเนินไปในแบบที่มันควรจะเป็น ทุกๆ อย่างร่วมกันก่อร่างสร้างโลกที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้…

เราอาจจะคิดว่า สิ่งนี้มันล้นเกิน ไม่จำเป็น แต่หารู้ไม่ว่ามันก็เหมือนเครื่องปรุงพิเศษที่เราใส่เข้ามาเพื่อให้อาหารอร่อยนั่นละ คือมันไม่ได้จำเป็นกับการมีชีวิต แต่มันทำให้อาหารกลมกล่อมขึ้น ทำให้เรามีความสุขกับการทานอาหารมากขึ้นต่างหาก

หนังสือสะท้อนแง่คิดเรื่องความหมายของชีวิตได้ดี รวมถึงความหมายของสิ่งเล็กๆ น้อยๆ บนโลก ที่บางทีเราอาจจะมองข้ามไป ไม่เห็นถึงความสำคัญของมัน แต่แท้จริงแล้ว ทุกๆ สิ่งย่อมมีความสำคัญ และการมีอยู่ของมันก็ย่อมส่งผลกระทบต่อสิ่งอื่นๆ เช่นกัน

นอกจากประเด็นเรื่องคุณค่าของสิ่งต่างๆ หนังสือยังเล่นประเด็นของการเห็นคุณค่าของปัจจุบัน ปกติเรามักเฉยเมยกับปัจจุบันเพราะเราคิดว่าคงยังไม่ตายเร็วๆ นี้หรอก เอาไว้ก่อนก็ได้ แต่สำหรับคนที่รู้ตัวว่ากำลังจะตายแล้ว ทุกอย่างมันเปลี่ยนหมดเลย ทุกวินาทีมีค่าขึ้นมาทันใด เพราะฉะนั้น จริงๆ เราก็ควรรำลึกไว้เสมอว่าเราทุกคนย่อมมีวันตาย…

ดังนั้น เวลาที่มีอยู่นี้ก็ควรใช้ให้คุ้มค่าที่สุด รีบทำในสิ่งที่อยากทำ ใช้เวลาอยู่กับคนที่รัก

โดยรวมแล้ว If Cats Disappear From The World เป็นหนังสือที่ดีมากๆ เล่มหนึ่ง แนะนำสำหรับใครที่กำลังรู้สึกท้อแท้กับชีวิต หรืออยากได้คำปลอบใจ เราว่าเล่มนี้เหมาะเลย

2 thoughts on “รีวิว If Cats Disappeared From The World (2012): ชีวิตที่เพิ่มมา กับบางอย่างที่หายไป

Add yours

  1. เป็นสายมาจากดูหนังครับ หนังสือเล่มนี้ยังไม่ได้อ่าน
    สำหรับผมเป็นการคิดมุมกลับดีนะครับ คือ ของบางอย่างอาจจะไม่ได้จำเป็นในการมีชีวิตก็จริง แต่สิ่งที่คิดจากหนังเรื่องนี้คือ ทุกอย่างมีความสัมพันธ์กัน ถ้าตัดอย่างหนึ่งอย่างใดไปห่วงโซ่ก็จะขาดสะบั้นไป

    Like

    1. ใช่เลยค่ะ พออ่านจบถึงค่อยเข้าใจสารแท้จริงที่หนังสือต้องการจะสื่อ ว่าแล้วเดี๋ยวต้องไปหาเวอร์ชั่นหนังมาดูบ้างละ

      Like

Leave a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Blog at WordPress.com.

Up ↑