ครั้งแรกที่เห็นตัวอย่างหนัง Happy Death Day 2U เราอดรู้สึกไม่ได้ว่านี่เป็นภาคต่อจริงเหรอ ทำไมทุกอย่างมันดูคล้ายเดิมไปหมด ตัวละครและนักแสดงคนเดิม ฉากเดิม เหตุการณ์เดิม เป็นหนังภาคต่อที่ทำออกมาได้แบบมีภาพลักษณ์คล้ายคลึงกับภาคแรกมากๆ จนนึกว่าเอามารีเมก
ซึ่ง พอมาดูหนังเต็มจริงๆ ก็ไม่แปลกใจ เพราะภาค 2 นี้อ้างอิงเรื่องราวจากภาคแรก (Happy Death Day) มาพอสมควร หลายฉากหลายตอนคือถอดแบบมาจากภาคแรกเลย ฉะนั้น ถ้าใครไม่เคยดูภาคแรก หรือลืมภาคแรกไปแล้ว ก็อาจจะงงๆ หน่อย แม้ว่านางเอกจะเล่าย้อนความเดิมให้นิดนึงตอนต้นเรื่องก็เถอะ (แต่ถามจริง ใครฟังทันบ้าง)
เกริ่นก่อนว่าภาคแรกอย่าง Happy Death Day นั้นเล่าถึงการที่ทรี นางเอกของเรื่องที่ต้องมีชีวิตวนลูปอยู่ในวันเกิดของเธอซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งในแต่ละวันเธอจะโดนฆาตกรไล่ฆ่า พอตายปุ๊บก็ตื่นใหม่ในวันเดิม หนีฆาตกร ตาย ซ้ำไปซ้ำมา จนกว่าจะหาคำตอบได้ว่าฆาตกรคือใคร ซึ่งคำตอบก็เฉลยไปแล้วละ แต่เมื่อมี Happy Death Day 2U เหตุการณ์ทุกอย่างจึงยังไม่จบเรียบร้อย หนังเปิดมาด้วยการวนลูปเช่นกัน แต่รอบนี้เป็นคิวของไรอัน หนุ่มเอเชียเพื่อนของคาร์เตอร์ แฟนของทรี เมื่อไรอันเล่าปัญหานี้ให้ฟัง ทรีก็พร้อมจะช่วยเหลือทันทีเพราะเคยเจอมาแล้ว

พวกเขาค้นพบว่าต้นตอของการวนลูปมาจากสิ่งประดิษฐ์ที่ไรอันกำลังพัฒนาอยู่ ชื่อว่า ซิซซี่ ซึ่งก่อให้เกิดความบิดเบี้ยวของช่องเวลา พวกเขาตั้งใจจะแก้ปัญหาให้ไรอันด้วยการใช้เครื่องนี่หยุดการวนลูป แต่กลับกลายเป็นว่าเกิดความผิดพลาด เพราะทรีต้องกลับมาใช้ชีวิตวนลูปในวันเกิดตัวเองอีกครั้ง เท่านั้นไม่พอ เธอยังค้นพบว่ามีเหตุการณ์บางจุดที่ต่างไปจากเดิม มีปริศนาใหม่ที่ต้องแก้ และฆาตกรคนใหม่ที่ต้องเอาชนะให้ได้ ทรีและเพื่อนๆ จากสาขาวิชาวิทยาศาสตร์จึงต้องหาทางหยุดการวนลูปนี้อีกครั้งหนึ่ง

สำหรับ Happy Death Day 2U นี้ มีกลิ่นอายที่แตกต่างไปจากเดิมอยู่ คือถ้าเปรียบกับภาคแรกแล้ว ภาคนี้จะโหดน้อยกว่า ระทึกน้อยกว่า และมีความเป็นไซไฟกับความตลกมากขึ้น ภาคที่แล้วหลักๆ เราจะลุ้นว่าทรีจะสามารถหนีจากฆาตกรได้มั้ย ฟีลแบบหนังระทึกขวัญเลย แต่พอมาภาคนี้ เราจะไม่ค่อยเห็นฉากการไล่ล่าของฆาตกรมากนัก มีน้อยมากๆ เพราะน้ำหนักของหนังถูกเทไปให้กับองค์ประกอบใหม่อย่าง ซิซซี่ ซึ่งเป็นตัวที่เพิ่มน้ำหนักความเป็นเหตุเป็นผลในเชิงวิทยาศาสตร์ให้เหตุการณ์การวนลูปและการทะลุมิติเวลามากขึ้น ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้ยินคำอธิบายเชิงฟิสิกส์และคำศัพท์แปลกๆ ซึ่งเป็นอะไรที่ไม่พบในภาคแรก

ในส่วนของความระทึกขวัญที่น้อยลงนั้น ถูกแทนที่ด้วยความตลกแบบช่างแม่ง ฉากการตายแต่ละรอบของทรีนั้นส่วนใหญ่มาจากการที่เธอคิดจะฆ่าตัวตายเอง ไม่รอให้ฆาตกรมาฆ่า ฆ่าตัวตายไปเรื่อยๆ เพื่อซื้อเวลาให้ทีมเพื่อนของเธอไขปริศนาออก ซึ่งหนังก็เล่าออกมาได้ขำขันดี ถึงอย่างนั้นความระทึกขวัญก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย มันก็ยังมีฉากไล่ล่าฆาตกรอยู่บ้าง ลุ้นอยู่เหมือนกัน ด้วยปัจจัยต่างๆ ที่เปรียบเสมือนอุปสรรคและข้อจำกัดต่อการไขปริศนานั้นมีมากมายเหลือเกิน เช่น เวลาในแต่ละวัน ฆาตกรที่หลุดออกมา คณบดีที่หมายยึดซิซซี่ เพื่อนที่ตาย มันทำให้เราอดลุ้นไม่ได้ว่ารอบนี้จะไขปริศนาได้ไหม ซิซซี่จะทำงานได้ไหม คือลุ้นเพราะปัจจัยสภาพแวดล้อมแบบไม่ต้องมีฉากเลือดสาดว่างั้น

ที่น่าสนใจอีกจุดคือการสอดแทรกความซึ้งความดราม่าเข้ามาด้วย เป็นฉากอารมณ์ที่ค่อนข้างมีพลังเลยทีเดียว น้ำตาคลอๆ ได้อยู่ ตรงนี้หนังมีแอบสอดแทรกแง่คิดเรื่องการใช้ชีวิตได้ดี ว่าด้วยการเผชิญการตัดสินใจที่ทำใจได้ยากว่าต้องเลือกทางไหน การยอมรับในสิ่งที่ผ่านมาของชีวิตว่ามันเป็นสิ่งที่หล่อหลอมทำให้เกิดเราในวันนี้ การตอกย้ำว่าเรามีโอกาสในทุกๆ วันที่จะพัฒนาตัวเราเองให้เป็นเวอร์ชั่นที่ดีขึ้น และการรักชีวิตของเราเอง แม้ว่ามันจะไม่สมบูรณ์แบบก็ตาม
สุดท้ายแล้ว แม้ว่า Happy Death Day 2U อาจจะไม่ตรงกับความคาดหวังของคอหนังทริลเลอร์ซะทีเดียว โดยเฉพาะใครที่คาดหวังว่ามันจะต้องไล่ฆ่าฟันเหมือนภาคแรก แต่โดยรวมแล้วเราว่าเป็นการพลิกโทนของหนังที่น่าสนใจ และยังคงความสนุก+ตื่นเต้นไว้ได้เช่นเดิม ก็เหมือนที่ในหนังบอกแหละ ชีวิตของเราอาจจะมีหลายเวอร์ชั่นในหลายมิติซึ่งมีความแตกต่างกันไป หนังภาคนี้ก็อาจจะเป็นอีกเวอร์ชั่นหนึ่งที่แตกต่างออกมาจากภาคแรก แม้ว่าทั้งสองภาคจะไม่ได้ดีที่สุดในทุกๆ ด้าน แต่องค์ประกอบของแต่ละภาคก็สามารถผสมรวมกันได้อย่างกลมกล่อมเป็นรสชาติของมันเองนั่นละ
Leave a Reply