รีวิว Bird Box (2018): ปิดตาแล้วทำทุกทางเพื่อให้อยู่รอด

ปกติเราเปิดตากันเป็นปกติทุกวัน แต่ก็ยังรู้สึกว่าชีวิตมันยาก

ขนาดว่าเปิดตาแล้วก็ยังต้องเจออันตรายนู่นนี่นั่น จะเพราะอุบัติเหตุหรือเพราะซุ่มซ่ามเองก็เถอะ

Bird Box ท้าทายศักยภาพของมนุษย์ด้วยการชูคำถามที่ว่า “ถ้าตัวละครปิดตาในหนังที่ต้องเอาชีวิตรอด พวกเขาจะรอดมั้ย? จะหาทางสู้ยังไง?”

แล้ว…ให้ตายเถอะ มันโคตรลุ้นเลย

Bird Box เล่นกับเหตุการณ์ 2 ช่วง คือปัจจุบันกับเมื่อ 5 ปีที่แล้ว หนังเปิดเรื่องมาด้วยนางเอกที่สั่งเด็กๆ ไม่ให้เปิดผ้าปิดตา ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะต้องตาย พวกเขาทั้ง 3 ดูเหมือนว่าจะต้องเดินทางยาวไกลผ่านแม่น้ำเพื่อไปถึงจุดหมายที่คาดว่าน่าจะเป็นที่กบดานอันปลอดภัย แต่แล้วหนังก็ย้อนกลับไป 5 ปีก่อนทำให้เรารู้จักนางเอกมากขึ้น นั่นก็คือมาลอรี่ (แซนดรา บูลล็อก) หญิงท้องแก่กับเจสสิกา พี่สาวของเธอ พวกเธอดูข่าวแล้วเจอว่าในต่างประเทศเกิดเหตุการณ์ฆ่าตัวตายหมู่อย่างไม่ทราบสาเหตุ อ้อไม่เป็นไรมันเป็นเรื่องของประเทศอื่นนี่เนอะ ไม่ต้องกังวล แต่แล้วความน่ากลัวเริ่มต้นขึ้นเมื่อพวกเธอออกไปข้างนอกแล้วเผชิญความจริงที่ว่าปรากฏการณ์นี้มาเยือนที่ที่พวกเธออยู่แล้ว

ระหว่างที่มาลอรีกำลังพยายามเอาชีวิตรอด เธอก็ได้รับการช่วยเหลือให้เข้าไปอยู่ในบ้านหลังหนึ่งที่ยังมีคนปกติหลงเหลืออยู่ ณ ที่นั่นเธอได้อยู่เหมือนเป็นบ้านอีกครั้งหนึ่ง แต่เรื่องมันก็ไม่ง่ายนักเพราะมีอุปสรรคหลายอย่างขัดขวางการใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ร่อยหรอ หรือผู้คนแปลกหน้าที่ทยอยเข้ามาขอกบดานด้วยเรื่อยๆ

ตัวหนังตัดสลับไปสลับมาระหว่าง 2 ช่วงเวลา ฟังดูงงๆ แต่พอดูจริงๆ ก็ไม่งงเลย เพราะเหตุการณ์ทั้ง 2 แบบต่างกันอย่างชัดเจน อย่างปัจจุบันจะเน้นโลเคชั่นแม่น้ำ ป่าเขา และการเดินทางเอาชีวิตรอด ในขณะที่เหตุการณ์ในอดีตจะปูพื้นให้เห็นความชุลมุนวุ่นวายตั้งแต่ต้น ความโกลาหลในเมืองที่มีผู้คนอยู่มากมาย การเอาตัวรอดท่ามกลางภาวะที่ไม่ปกติ รวมถึงสะท้อนด้านมืดของมนุษย์ออกมาอีกเช่นเคย

แน่นอนว่าเป็นเรื่องธรรมดามากกกกของหนังแนวสิ้นโลก แนวทริลเลอร์ที่จะต้องสะท้อนสัญชาตญาณดิบของมนุษย์ เรื่องนี้ก็มีให้เห็นเหมือนกันกับคุณลุงที่แสดงความเห็นแก่ตัวออกมาอย่างชัดเจน ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่รู้สึกว่ามันร้ายแรงอะไรมาก หนังนำเสนอออกมาค่อนข้างขำขันด้วยซ้ำ และบางทีเราก็อดเห็นด้วยกับคุณลุงไม่ได้นะเพราะในสถานการณ์วิกฤตแบบนี้บางทีก็ต้องป้องกันตัวเองไว้ก่อน จะใจดีมีเมตตาอย่างเดียวไม่ได้ ซึ่งผลลัพธ์ก็ออกมาว่าเป็นอย่างนั้นจริงเพราะความใจดีบางครั้งก็นำมาซึ่งภัยแบบไม่น่าให้อภัย

เหตุการณ์ในอดีตจะเน้นชูจุดเด่นตรงสังคมที่มาลอรี่ได้เข้าไปอยู่ ส่วนเหตุการณ์ในปัจจุบันจะเน้นการเอาตัวรอดและการผจญภัยล้วนๆ ลุ้นตลอดเวลาเพราะตัวละครทำอะไรที่ไม่น่าทำได้ด้วยการปิดตา เช่น พายเรือทวนกระแสน้ำเชี่ยว สำรวจพื้นที่รกร้าง วิ่งหนีสัตว์ประหลาด ซึ่งเราก็ได้เห็นความทุลักทุเลว่ามันลำบากขนาดไหน แม้ว่าบางฉากจะดูเว่อร์ๆ ไปนิด แบบอะไรจะวิ่งปร๋อขนาดนั้น หรือกระแสน้ำแรงขนาดนั้นทำไมยังรอดมาได้ แต่โดยรวมก็ถือว่าดูสนุกและไม่ได้ติดขัดอะไรมาก ลุ้นไปกับตัวละครจริงๆ

แซนดรา บูลล็อกในบทมาลอรี่คือเอาไปเลยดาวล้านดวง เธอรับบทหนักตั้งแต่การเป็นคนท้องในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ จนกระทั่งการหอบกระเตงเด็กสองคนออกไปผจญภัย ได้ภาพลักษณ์ความเป็นหญิงแกร่งสู้ชีวิตสุดๆ คือคนเดียวก็เอาอยู่ทั้งเรื่องอะ เธอสามารถต่อกรกับอุปสรรคต่างๆ ที่หนังโยนเข้ามาให้ได้ดี ก็ต้องขอบคุณคาแรคเตอร์ที่บิ้วด์มาตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอถูกเลี้ยงดูโดย “หมาป่า” ก็พอจะเดาได้ว่าวัยเด็กของเธอน่าจะไม่ใช่การเป็นลูกคุณหนูแน่ๆ

ตัวสัตว์ประหลาดในหนังนี่ก็เป็นอีกประเด็นที่น่าถกว่ามันคืออะไร ตอนนี้มันเป็นนามธรรมที่ไม่มีใครอธิบายได้ บางทีมันก็มาในรูปแบบเสียงร้องจากความทรงจำ บางทีก็เป็นเสียงของคนที่รัก หรือบางทีอาจจะเป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ เราเองก็ฟันธงไม่ได้ รู้แต่เพียงว่าหากใครเปิดตาแล้วมองเห็นมัน ก็จะเกิดอาการคลุ้มคลั่งอยากทำร้ายตัวเอง อยากฆ่าตัวตายไรงี้ แต่เราก็จะยังเห็นว่ามีผู้คนบางกลุ่มที่เดินเปิดตาโทงๆ แล้วไม่เป็นอะไร พวกนี้คือคนที่บ้าอยู่แล้ว พอเปิดตามองเห็นก็เลยยิ่งบ้าหนัก แล้วเป็นบ้าแบบที่อยากชักชวนให้คนอื่นเปิดตาด้วย ไม่ได้บ้าแบบทำร้ายตัวเอง ซึ่งตรงนี้ก็เป็นอะไรที่น่าสงสัยดีว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพราะคนบ้าเปรียบเสมือนมีภูมิป้องกันตัวอยู่แล้วรึเปล่า? หรือหนังต้องการจะสื่ออะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้น? ตรงนี้เราก็ยังไม่แน่ใจนัก เพราะแม้แต่ในอินเตอร์เน็ตก็ถกเถียงกันอย่างสนุกสนานถึงสารที่หนังต้องการจะสื่อ ซึ่งพอเราไปอ่านแล้วก็รู้สึกว่ามันเป็นไปได้อยู่นะบางอัน ไม่เขียนบอกละกันเดี๋ยวสปอยล์

แล้ว Bird Box ชื่อหนังล่ะมีความนัยอะไร? ตอนแรกเราก็งงๆ แต่ดูไปสักพักก็จะเจอว่าไอเท็มหลักอีกชิ้นของหนังคือนกที่อยู่ในกรง นกเหล่านี้จะสามารถบอกได้ว่าเมื่อไรสัตว์ประหลาดจะมา ถ้าอันตรายมาเมื่อไรพวกมันจะส่งเสียงร้องและบินวนไปวนมาไม่หยุด จึงถือว่าเป็นเครื่องเตือนภัยชั้นดี เตือนให้เราฉุกนึกได้ว่าจริงๆ แล้วสัตว์มีเซ้นส์ไวต่อวิกฤตมาก นอกจากนี้มันอาจจะหมายถึงสถานะของตัวละครที่ตลอดทั้งเรื่องรู้สึกเหมือนโดนกักขังไม่ต่างจากนก ไม่ใช่แค่ตัวละครหรอกแต่คนดูอย่างเราก็อึดอัดตามเหมือนกัน จนกระทั่งตอนจบที่แสดงให้เห็นถึงอิสรภาพที่ตัวละครได้รับ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นอิสรภาพทางกายที่สามารถไปไหนมาไหนได้แต่เป็นอิสรภาพทางใจ ตอนจบของหนังนี่ก็ทำให้ว้าวได้ระดับหนึ่งเหมือนกัน หนังจบได้ละมุนและแฮปปี้เอ็นดิ้งกว่าที่คาดมาก สงสัยเราจะคุ้นเคยกับหนังทริลเลอร์จบดาร์กๆ มานาน

สรุปแล้ว Bird Box กับระยะเวลา 2 ชั่วโมงถือเป็นช่วงเวลาที่สนุกและลุ้นไปกับหนัง เป็นอีกเรื่องที่ไม่หันไปมองนาฬิกาว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว หลายๆ ฉากในหนังสามารถคงความลุ้นระทึกและความไม่น่าไว้วางใจได้ตลอด ทำให้ละสายตาไปจากหน้าจอไม่ได้เลย หนังอาจจะมีฉากเลือดสาดบ้างเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ถึงกับดูไม่ได้ โดยรวมคือคอทริลเลอร์ก็ดูได้ คอดราม่าก็ดูได้ หรือคอที่ไม่ถนัดทั้งสองแนวก็น่าจะดูได้เช่นกันละ

Leave a Reply

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  Change )

Twitter picture

You are commenting using your Twitter account. Log Out /  Change )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  Change )

Connecting to %s

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Blog at WordPress.com.

Up ↑

%d bloggers like this: