ตั้งแต่เห็นเทรลเลอร์ Homestay เราก็รู้สึกแล้วว่าเฮ้ย น่าสนใจ เป็นหนังไทยที่ดูโปรดักชั่นอินเตอร์มาก โดยเฉพาะฉากที่พระเอกเกาะตึก อินเซปชั่นสุดๆ เลยหมายมั่นปั้นมือว่ากลับมาจากเกาหลีจะต้องดูให้ได้
พอดูหนังจบ ได้เข้าใจ message ที่หนังต้องการจะสื่อ มันรู้สึกอิ่มเอมใจดีนะ เราชอบที่หนังเล่นกับคอนเซ็ปต์ของคำว่า Homestay ซึ่งลึกซึ้งกว่าที่เรื่องย่อนำเสนอ จะเป็นอะไรนั้นไม่ขอบอกละกัน เดี๋ยวจะสปอยล์
Homestay เป็นเรื่องของวิญญาณเร่ร่อนที่ได้รับรางวัลเป็นการฟื้นคืนชีพผ่านการเข้ามาอยู่อาศัยในร่างของมิน เด็กหนุ่มที่ก่อนหน้านี้ตัดสินใจฆ่าตัวตาย กติกาคือวิญญาณเร่ร่อนในร่างมินจะต้องหาคำตอบให้ได้ภายใน 100 วันว่าใครเป็นต้นเหตุทำให้มินฆ่าตัวตาย ถ้าตอบถูก ก็จะได้ใช้ชีวิตในร่างมินต่อไป แต่ถ้าตอบผิด ก็จะไม่ได้ผุดได้เกิดอีกเลย แถมยังตอบได้ครั้งเดียวด้วยนะ กติกาโหดสิ้นดี เพราะแบบนี้วิญญาณในร่างมินจึงต้องใช้ชีวิตเสมือนตัวเองเป็นมิน คอยสังเกตสิ่งแวดล้อมรอบตัวว่ามีอะไรผิดแปลก และพอจะเป็นเบาะแสนำไปสู่การตัดสินใจฆ่าตัวตายของมินได้ แวบแรกดูเหมือนมินจะมีชีวิตที่ดี แต่ยิ่งขุดลึกลงไป ก็ต้องพบกับปริศนาดำมืดมากมาย
งานโปรดักชั่นของเรื่องนี้ดีมาก เป็นหนังไทยที่ทำเอฟเฟ็ตก์ออกมาได้ตระการตาและดูเนียน ไม่โดดเลอะเทอะเหมือนเรื่องอื่นๆ ดูแล้วมีความไซไฟ + ความการ์ตูนญี่ปุ่นนิดๆ โดยเฉพาะฉากเกาะตึกนั่นละ อันนี้เราว่าอลังการสุดแล้ว นอกเหนือจากนั้นก็จะมีฉากอื่นๆ เช่นฉากสโลว์โมชั่นอื่นๆ ก็ทำออกมาสวยดี โดยรวมคืองานภาพให้ผ่านเลย สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ถือว่าสอบผ่าน โกอินเตอร์ได้เลยจริงๆ นะ
ทางด้านการดำเนินเรื่องและเนื้อเรื่อง เราไม่เคยอ่านหนังสือหรือดูอนิเมชั่นเรื่อง Colorful อันเป็นต้นฉบับของหนังเรื่องนี้ เลยไม่สามารถเปรียบเทียบได้ว่าเป็นยังไง แต่จากที่ดู เราชอบนะ ชอบความร่วมลุ้นแกะปริศนาไปกับตัวละคร ชอบที่จะได้เรียนรู้ไปทีละนิดว่าชีวิตของมินเป็นยังไง ซึ่งปมมันจะค่อยๆ เผยออกมา สำหรับเรามันตื่นเต้นดีที่ได้รู้จักมินและคนรอบข้างของเขา และช่วยคิดว่าสรุปแล้วมินตายเพราะอะไร
การดำเนินเรื่องก็ฉับไวไม่เบื่อหน่าย มีกลิ่นอายความเป็นทริลเลอร์ในบางฉาก แต่ขอยืนยันว่าหนังเรื่องนี้มีพาร์ทที่เป็นทริลเลอร์น้อยกว่าที่คิดนะ เราว่าส่วนใหญ่มันคือดราม่าแฟนตาซีมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อผ่านช่วงแรกๆ ไป จะเริ่มรู้สึกว่าเน้นดราม่า ชีวิตวัยรุ่นมากขึ้น และมีช่วงนึงหลุดไปถึงขั้นโรแมนติกเลย ถึงอย่างนั้นมันก็จะมีบางฉากที่เราแอบรู้สึกว่าตัดเร็วไป กำลังอินอยู่ อ้าว เปลี่ยนโฟกัสตัวละครแล้ว อะไรแบบนี้ แต่โดยรวมเราว่ามันโอเคนะ สามารถดูได้เพลินๆ เลยแม้ว่าระยะเวลาหนังจะค่อนข้างยาวอยู่ (~132 นาที ก็ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ) ทางด้านตัวละครและนักแสดง ไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากมายเลย คือดีทุกคน สามารถดึงอารมณ์ของตัวละครออกมาได้ชัดเจนสุดๆ ในใจแอบลุ้นบทของเฌอปรางด้วยนิดหนึ่ง เพราะเป็นการแสดงครั้งแรกด้วยอะเนอะ ซึ่งเฌอก็แสดงได้ดีเลย ซีนดราม่านี่เอาอยู่จริงๆ
หนังมีประเด็นและ message หลายๆ อย่างที่น่าสนใจและน่าเอามาถกต่อ แต่ตรงนี้คงถกได้ไม่มากเนอะเพราะเดี๋ยวจะสปอยล์กัน ขอถกแบบกว้างๆ ละกัน เราชอบการที่หนังเน้นประเด็นเรื่อง “ชีวิต” อย่างชัดเจน คือหนังทำให้เราเห็นความสวยงามของชีวิตจริงๆ นะ มันทำให้เราตระหนักว่าไอ้เรื่องที่พบเจอกันทุกๆ วันจนชินตา หรืออะไรที่เราคิดว่ามันธรรมดาเพราะเห็นมันตลอด แท้จริงแล้วมันคือความสวยงามของชีวิตซึ่งหลายๆ ครั้งเราอาจจะ take it for granted หรือละเลยที่จะใส่ใจมัน จนกระทั่งเมื่อเสียมันไปนั่นแหละเราถึงได้รับรู้ว่าเฮ้ย ชีวิตที่เรามี มันก็ดีนะ
หนังเหมือนจะบอกเราว่า ให้เราเห็นค่าชีวิตของเราวันนี้ ก่อนที่เราจะไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตอีก
แน่นอนว่าชีวิตมันก็ไม่ได้สวยงามไปตลอด มันก็ต้องมีเรื่องน่าทุกข์ใจบ้าง เหมือนชีวิตของมินที่ตัวหนังค่อยๆ เผยทีหลังว่าต้องเจอปัญหาอะไรบ้าง คนรอบตัวทำเรื่องน่าลำไยอะไรไปบ้าง ซึ่งมันหลีกเลี่ยงไม่ได้หรอกในชีวิตเรา แต่ประเด็นสำคัญคือมันอยู่ที่ว่าเรารับมือกับมันได้แค่ไหน เรานำความลำไยของคนรอบข้างมาประกอบเป็นชีวิตเราด้วยรึเปล่า เราโมโหที่คนอื่นทำในสิ่งที่เราไม่พอใจรึเปล่า หรือเราแค่เข้าใจและยอมรับว่าเอ้อ มันชีวิตของเขา เขามีสิทธิ์ที่จะทำอะไรที่เขาอยากทำ เราอาจจะไม่พอใจแต่เราก็จะพยายามเคารพการตัดสินใจนั้น และจะพยายามเข้าใจว่าความขัดแย้งมันก็เกิดขึ้นได้นะ
ลองถามตัวเองดูว่าเราเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของโลกอยู่รึเปล่า?
เราไม่รู้ว่าก่อนถึงตอนจบ คนอื่นตีความคำว่า Homestay ได้ตรงเป๊ะเหมือนฉากจบของในหนังไหม แต่เราเป็นคนหนึ่งที่ปล่อยหัวว่างแล้วไม่คิดอะไรเลย ไม่ตีความคำนี้ลึกไปกว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ในพล็อตเรื่อง ฉากจบที่นำไปสู่ message หลักของเรื่องนี้จึงประทับใจเรามาก โคตรโดนใจเลย มันเป็นความจริงที่เรารู้กันอยู่แล้วแหละ แต่เรามักจะลืมมันไป การใช้คำว่า Homestay มาอธิบายความจริงนี้มันช่าง creative และเห็นภาพสุดๆ
สำหรับใครที่กำลังคิดว่าจะไปดูดีไหม แนะนำสั้นๆ ว่า ไปดูเถอะ สนุกและได้ข้อคิดดีๆ จริงๆ 🙂
Leave a Reply