ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้แวบไปกาญจนบุรี 3 วัน 2 คืน ซึ่งตามสไตล์การไปเที่ยวต่างจังหวัดของบ้านเรานี้ออกตัวก่อนเลยว่าไปเพื่อพักผ่อนจริงๆ ไม่ได้มีผจญภัยลุยป่าแต่อย่างใด เอาจุดหมายมาแชร์กันเผื่อใครจะหนีกรุงไปกาญจนบุรีกัน
วันที่ 1
เราออกจากบ้านกันประมาณ 10.30 น. แต่กว่าจะหลุดออกจากกรุงเทพฯ ได้นี่ใช้เวลาเป็นชั่วโมงเลยทีเดียว กรุงเทพฯ หนอกรุงเทพฯ ขนาดไม่ใช่ rush hour แกยังรถติดขนาดนี้ ระหว่างทางเรามีแวะจุดซื้อของฝากแป๊บนึง ก่อนจะไปยังที่ที่เราจะไปฝากท้องมื้อเที่ยงนั่นก็คือร้านไทยเสรี ร้านอาหารไทยขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่งของกาญจนบุรี เราเอารถไปจอดในปั๊มใกล้ๆ กัน (แต่ดูเหมือนว่าจอดหน้าร้านได้ ถ้าไม่มีรถอื่นจอดอยู่ก่อน) เมื่อประจำที่เรียบร้อยก็จัดการสั่งอาหาร
4 จานที่เราได้ทานคือผัดผักหวาน ปลาค้าวทอดน้ำปลา แกงป่าลูกชิ้นปลากราย และฉู่ฉี่ปลาคัง ว่าแล้วก็ขอรีวิวแต่ละจาน
ผัดผักหวาน : เป็นผักที่ตอนแรกเคี้ยวเพลินเพราะมีรสสัมผัสกรุบๆ มันๆ แถมร้านนี้ให้ปริมาณเยอะมากกก รับรองว่ากินกันสะใจ แต่รสชาติอ่อนไปหน่อย กินไปสักพักเริ่มจืด จากเคี้ยวเพลินก็เริ่มจะกลายเป็นเมื่อยปาก เพราะตัวผักดูเหมือนจะไม่สุกมาก เนื้อยังแข็งๆ อยู่บางส่วน ถ้าสุกกว่านี้ก็น่าจะนิ่มกว่านี้

ปลาค้าวทอดน้ำปลา : จานนี้ได้ลองชิมไปนิดนึง ปลาค้าวเป็นปลาที่มีรสชาติมันๆ กว่าปลาอื่นอยู่ หอมกลิ่นน้ำปลานิดๆ รสชาติโดยรวมกำลังดีเช่นกัน แต่ปริมาณแอบน้อยไปหน่อย

แกงป่าลูกชิ้นปลากราย : จานนี้เป็นจานเด็ดของทางร้านที่แนะนำโดยชาว wongnai หลายคน เห็นรีวิวแล้วก็อดใจสั่งไม่ได้ แล้วก็ไม่ผิดหวังว่าเนื้อสัมผัสลูกชิ้นปลากรายหนึบ!มาก! เหนียว! มาก! เคี้ยวสะใจ ส่วนน้ำแกงก็ค่อนข้างเผ็ดนิดนึง แต่ไม่ถึงกับเผ็ดเกินไปสำหรับเรา

ฉู่ฉี่ปลาคัง : จานนี้เป็นจานโปรดเรา คงเพราะเราชอบเมนูนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว น้ำแกงของที่นี่จะค่อนข้างเหลวๆ หน่อย ไม่ค่อยมีเนื้อกะทิชัดเจน แต่ไม่ใช่ว่าไม่อร่อยนะ ก็ยังอร่อยมากอยู่ดี ปริมาณก็ไม่เยอะไม่น้อย (ค่อนไปทางน้อย) เนื้อปลาหั่นมาเป็นชิ้นพอดีคำ

โดยรวมแล้วก็เป็นอีกร้านนึงที่ถ้าใครแวะเวียนมาแถวนี้ก็ลองมาชิมดูกันได้ แต่ถ้าใครอยากได้วิวสวยๆ บรรยากาศดีๆ ก็ตามมาต่อเลย
จุดต่อไปที่เราแวะพักกินกาแฟก็คือ Library Cafe เป็นคาเฟ่ที่ไซส์ไม่คาเฟ่ จริงๆ เหมือนร้านอาหารมากกว่า ดูจากตัวตึกที่ค่อนข้างใหญ่ พอเข้าไปนี่นึกว่าอยู่ในบาร์ เพราะบรรยากาศมืดๆ สลัวๆ มีแสงไฟสว่างเป็นจุดๆ ถ่ายรูปแล้วนึกว่ามาตอนกลางคืน แถมห้องข้างในก็โอ่โถงใช้ได้



ตะลึงกับเมนูอยู่นานเพราะมีหลายอย่างให้เลือกเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นของคาว (อันนี้ตัดไป เพราะกินข้าวมาแล้ว) ของหวาน กาแฟ เครื่องดื่ม ฯลฯ ตาลายกันสักพักว่าจะสั่งอะไร สุดท้ายก็ได้สั่งกาแฟ Corsedo เค้กช็อกโกแลต และ ชาเขียวหน้าดำ (อือ นั่นชื่อเมนู) ว่าแล้วก็มารีวิวแต่ละเมนู
Corsedo : นั่งงงกันอยู่สักพักว่าคือกาแฟอะไรเพราะไม่เคยได้ยินชื่อ ถามพนักงานเสิร์ฟน้องเค้าก็งงๆ ต้องไปถามคนอื่นก่อน เราลองเสิร์ชกูเกิ้ลหาคำตอบ บวกกับพนักงานกลับมาบอกคำตอบ ก็ค้นพบว่าจริงๆ มันก็คือเอสเพรสโซผสมนมอะแหละ ศัพท์นี้แฟนซีไปงั้นเพราะเป็นศัพท์ภาษาสเปน กาแฟเสิร์ฟพร้อมขนมปัง ABC ยอดฮิตของร้านกาแฟทั่วราชอาณาจักร ตัวกาแฟเข้มข้นใช้ได้แม้จะมีเจือจางไปนิดนึงจากรสชาติของนม แต่นั่นก็คือสิ่งที่เราคาดหวังกันอยู่แล้วแหละ

เค้กช็อกโกแลต : หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Soft Chocolate Cake เป็นหนึ่งในเค้กช็อกโกแลตที่ตั้งเรียงรายหน้าตู้กระจก ชั่งใจอยู่นานว่าจะกินอันไหนดีก็มาลงเอยที่อันนี้ เพราะเกล็ดช็อกโกแลตบนตัวเค้กมันยั่วยวนใจเหลือเกิน พอได้กินก็ไม่ผิดหวังเพราะรสชาติเข้มข้นจริง หวานน้อย ตักไปตรงไหนก็เจอแต่ความเป็นช็อกโกแลต คนรักช็อกโกแลตห้าม!พลาด!

ชาเขียวหน้าดำ : ย้ำอีกครั้งว่านั่นชื่อเมนู ถ้าให้อธิบาย มันคือชาเขียวผสมไข่มุก และที่มันหน้าดำก็เพราะมีการลนไฟตรงน้ำตาลบนพื้นผิวของชา ทำให้เกิดเป็นเส้นสายสีน้ำตาลเข้มๆ ค่อนไปทางดำ รสชาติหวานกำลังดี เหมือนกินชาเขียวนมใต้ตึกสมัยเรียนมหา’ลัย แต่ยังขาดความเข้มข้นของชาเขียวอยู่ ถ้าเพิ่มเข้าไปจะเยี่ยมมาก ไข่มุกก็สาดมาเยอะเลย ใครเป็นสายเคี้ยวน่าจะถูกใจ

เมื่อท้องอิ่มแล้วก็ถึงเวลาเข้ารีสอร์ตสักที เรามุ่งหน้าตรงไปยังรีสอร์ต U Inchantree Kanchanaburi อีกหนึ่งโรงแรมเครือ U ที่ดูเหมือนว่าปีนี้บ้านเราจะเก็บแต้มเครือนี้เป็นพิเศษ เพราะนี่เป็นที่ที่ 3 ของปีแล้ว เมื่อมาถึงก็ถูกต้อนรับด้วยรั้วต้นไม้แลดูร่มรื่น เดินเข้าไปก็จะพบกับศาลาล็อบบี้และลานสนามหญ้ากว้างๆ พร้อมกับอาคารห้องพักที่หน้าตาดูโบราณๆ หน่อยนึง ตรงกลางสนามหญ้าที่ตั้งโดดเด่นอยู่นั่นก็คือต้นอินจัน เป็นต้นไม้ทูอินวันที่รวมร่างต้นอินต้นจันไว้ในต้นเดียว ซึ่งทั้งสองต้นนี้ก็จะสลับกันออกผลในแต่ละปี อยากเห็นเหมือนกันว่าจะเป็นยังไง พอสอบถามไปมา ก็ได้รู้ว่าโรงแรมนี้สมัยก่อนชื่อว่าโรงแรมอินจัน ซึ่งเครือ U ได้มาซื้อทีหลังน่ะเอง





ระหว่างทางเดินไปห้องพักก็ได้ผ่านลานสนามหญ้าอีกแห่งหนึ่ง ส่วนที่เราชอบคือเส้นสายลวดลายของการตกแต่งที่นี่ ถ่ายรูปออกมาสวยมาก


ทางด้านห้องพัก เราไม่ทันได้ถ่ายรูปมา แต่ห้องพักที่นี่คือกะไว้ให้ ‘พัก’ จริงๆ พี่แกตั้งใจให้เรามานอนอย่างเดียว เนื่องจากตัวห้องจะสลัวๆ และไม่มีระเบียงให้ออกมานั่ง ถ้าจะนั่งเล่นคือควรออกมานั่งข้างนอก จะรู้สึกอุดอู้น้อยกว่า แต่ถึงอย่างนั้นไซส์ของห้องก็ถือว่าใหญ่ดีสำหรับการอยู่ 3 คน
เก็บของเข้าห้องพักก็ออกไปสำรวจโรงแรม เดินไปทั่วๆ แล้วก็ลงความเห็นว่าที่นี่ไม่ใช่รีสอร์ตใหญ่โต เดินแป๊บเดียวก็วนทั่วแล้ว ถึงอย่างนั้นก็มีบริการพร้อม ไม่ว่าจะเป็นสปา ฟิตเนส ห้องสมุด ร้านอาหาร สระว่ายน้ำ มีจุดชมวิวตรงริมแม่น้ำแคว ที่ที่เราสามารถมองไปเห็นสะพานข้ามแม่น้ำแควได้ด้วย นานๆ ทีก็จะมีรถไฟแล่นมาให้ตื่นตาตื่นใจ






เรามุ่งตรงไปที่ห้องสมุด กะจะนั่งอ่านหนังสือสบายๆ แต่ก็ค้นพบว่าแอร์!ร้อน!มาก! ต้องไปขอให้ทางล็อบบี้ส่งช่างมาตรวจ อันที่จริงปัญหาแอร์ร้อนนี่เจอตั้งแต่ตอนเข้าห้องพักแล้ว แต่ช่างก็มาดูได้รวดเร็วดี กลับมาอีกทีห้องก็เย็นฉ่ำแล้ว
ตอนกลางคืน หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพักว่าจะไปกินข้าวเย็นที่ไหน ในโรงแรมหรือนอกโรงแรม จึงสรุปได้ว่าอยากไปกินนอกโรงแรมกัน ลงเอยกันที่ร้านคีรีมันตรา ร้านอาหารที่อยู่ไกลออกไปนิดนึงแต่ก็ไม่ไกลเกินความพยายามอยากกิน อันที่จริงร้านนี้เหมาะจะมาตอนกลางวัน เพราะจะได้ถ่ายรูปวิวภูเขากับสนามหญ้าสวยๆ แต่เราก็ทะลึ่งไปกันตอนกลางคืนจนได้



ซึ่งเอาเข้าจริง บรรยากาศมันก็ไม่ได้แย่ซะทีเดียว เพราะถึงแม้จะถ่ายรูปห่านอะไรไม่ได้เลย แต่ได้บรรยากาศที่ค่อนข้างสงบ คนน้อย เสียงไม่ดัง เหมาะสำหรับใครอยากพาคนมาเดตนะฮะ เราสั่งอาหารกันมาทานประมาณ 4-5 จาน แต่ขอไม่ลงรายละเอียดเพราะถ่ายรูปไม่ทันด้วย ไม่สิ ความจริงคือตัดสินใจไม่ถ่ายเพราะแสงไม่ดี ถ่ายออกมาก็เบลอๆ เละๆ อยู่ดี แต่เนื่องจากอาหารอร่อย จึงลงมติกันว่าพรุ่งนี้ช่วงเที่ยงจะมากินที่นี่อีก จะได้ถ่ายรูปวิวด้วย


ทางด้านสถานที่ กว้างมาก อาจจะเพราะมันมืดๆ เลยดูมืดสุดลูกหูลูกตา แม้แต่ห้องน้ำยังกว้าง เดินไปเดินมาก็เจอเคาน์เตอร์ขนมของร้าน Library Cafe อีก และได้ค้นพบว่าเจ้าของที่นี่ก็เจ้าของเดียวกันกับ Library Cafe นั่นแหละ และร้านคีรีมันตราก็ติดกับร้านคาเฟ่ The Village Farm to Cafe ด้วย ตอนแรกไม่นึกว่าจะอยู่ใกล้กัน เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวจริงๆ
วันที่ 2
ที่โรงแรมมีบริการอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ และที่พิเศษคือถึงแม้ว่าเราจะลงมากินไม่ทัน ก็สามารถขอให้ทางโรงแรมจัดอาหารเป็นเซ็ต ส่งตรงไปถึงห้องได้ ช้อยส์อาหารก็มีมากมาย ตามแบบฉบับบุฟเฟ่ต์โรงแรมนั่นแหละ โดยปกติแล้วเราเป็นพวกใช้บุฟเฟ่ต์โรงแรมไม่คุ้มเท่าไร เพราะเราชอบกินซีเรียลซึ่งเป็นอาหารที่มูลค่าต่ำมาก -_- แต่มันชอบนี่หว่า อยู่บ้านไม่มีหรอกนะที่จะได้ตักซีเรียลหลายๆ ยี่ห้อกินในมื้อเดียวอะ รอบนี้เราก็ทำเป็นปกติแหละ แต่สิ่งที่เราลืมทำคือเราลืมชิมนมถั่วเหลืองก่อนที่จะเทราดลงไปในชามซีเรียล เพราะทุกทีที่เราชิมก่อน ทุกโรงแรมก็จะใช้นมถั่วเหลืองแบบจืด รอบนี้แจ็กพ็อต ไม่ชิมก่อน แล้วผลปรากฎว่าเป็นนมถั่วเหลืองแบบหวาน แบบไวตามิ้ลค์ โอ้โห โหดร้าย กลายเป็นซีเรียลที่หวานเจี๊ยบ ถ้าผู้ที่เกี่ยวข้องกับทีมจัดอาหารของรีสอร์ตอ่านมาเห็นตรงนี้ ได้โปรดเปลี่ยนนมถั่วเหลืองเป็นรสจืดเถอะฮะ มันไม่แฟร์สำหรับคนที่แพ้นมวัวแล้วต้องกินนมหวานๆ เลยอะ

สุดท้ายก็ต้องกินซีเรียลอีกถ้วยแต่เปลี่ยนเป็นนมวัวรสจืดแทนเพื่อล้างปากความหวาน เออเยี่ยมเลย กินมากกว่าเดิมอีก ถ้าชิมตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องบ่นแล้ว – – กลับมาที่ช่วงเช้า เน้นย้ำอีกครั้งว่าที่บ้านเราเที่ยวกันแบบชิวมาก ชิวในที่นี้คือ ช่วงเช้าจะไม่ทำอะไรนอกจากนั่งนอนเอื่อยเฉื่อยในโรงแรม จะออกเดินทางอีกทีก็ตอนเที่ยง ซึ่งเดินทางที่ว่านี่ก็คือออกไปหากินนั่นเอง…
มื้อเที่ยงเราก็มาลงเอยที่เดิมนั่นแหละ คือร้านคีรีมันตรา รอบนี้เป็นตอนกลางวัน คนเลยเยอะมากกก พื้นที่ที่ว่าใหญ่ๆ นี่โดนจับจองโดยมนุษย์หมดเลย










รอบนี้เรานั่งกันในศาลา เพราะไม่อยากเจอแดด สั่งอาหารมารอบนี้ได้ถ่ายรูปแล้ว!
4 จานที่เราได้ทานมีห่อหมกปลา ฉู่ฉี่ปลาคัง (อีกแล้ว พอดีติดใจจากเมื่อวาน) ยำวุ้นเส้น และข้าวอบสัปปะรด ว่าแล้วก็รีวิวแต่ละจาน
ห่อหมกปลา: รสชาติดี แต่แอบรู้สึกว่าเนื้อปลามาแบบกระหยุมกระหยิมไปหน่อย ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องแกงที่จับตัวเป็นก้อนแล้วทำให้เรานึกว่ามันคือเนื้อปลา พอกินเข้าไปถึงค่อยกระจ่างว่ามันคือกะทินี่หว่า กว่าจะเจอเนื้อปลาเยอะๆ ก็ต้องคว้านลึกๆ ลงไปถึงจะเจอ

ฉู่ฉี่ปลาคัง : จานนี้เข้มข้นกว่าร้านไทยเสรีเมื่อวาน เนื้อปลาหั่นเป็นชิ้นพอดีคำเหมือนกัน แต่เครื่องแกงมีความเข้มข้นกว่า ไม่เหลวโจ๋งเหมือนเมื่อวาน

ยำวุ้นเส้น : สั่งจานนี้เพราะรู้สึกว่าไหนๆ จังหวัดนี้ก็เป็นที่ตั้งโรงงานวุ้นเส้นท่าเรือ ก็ควรจะสั่งจานวุ้นเส้นสักจานให้สมเกียรติ (แม้จะไม่รู้ว่าร้านนี้เค้าใช้วุ้นเส้นท่าเรือรึเปล่าเหอะ) จานนี้ให้วุ้นเส้นเยอะดี เครื่องก็เยอะ รสชาติโอเค ได้มาตรฐานยำวุ้นเส้นทั่วไป

ข้าวอบสับปะรด : จริงๆ แล้วเราเป็นคนไม่ชอบกินข้าว แต่ถ้าเป็นข้าวปรุงรสก็ค่อยมาคุยกัน จานนี้อร่อยดี ตัวข้าวมีรสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ เค็มๆ กำลังดี

กินข้าวเสร็จ ไหนๆ ก็มาคีรีมันตราช่วงกลางวันแล้ว ขอเดินเล่นสักหน่อย เราแวบไปโซนอุโมงค์ไผ่ของทางร้าน The Village Farm to Cafe ก่อนเพราะดูไม่ค่อยร้อน เป็นอุโมงค์ไผ่ที่เหมาะแก่การขี่จักรยานผ่านมากๆ ถ้าต้นไผ่สูงกว่านี้จะนึกว่าอยู่ญี่ปุ่นแล้ว

พอเดินทะลุออกมาก็จะโผล่ไปที่สนามหญ้า ซึ่งมันก็จะครอบคลุมพื้นที่ของทั้ง 2 ร้านเลย มีจุดให้ถ่ายรูปกับวิวมากมาย แต่แดดก็ร้อนมากเช่นกัน


พอเสร็จแล้ว ตอนแรกเรานึกว่าจะไปหาอะไรกินที่ The Village Farm to Cafe แต่กลายเป็นว่าเปลี่ยนแผน สรุปคือจะไปฟาร์มเมลอนกัน ซึ่งพอค้นใน Google Maps ก็พบว่าฟาร์มที่ใกล้ที่สุดคือ Melon Valley Farm ส่วนฟาร์มที่อยู่ไกลออกไปคือเจียไต๋ฟาร์ม ไอพวกเราก็ไม่ชอบความลำบากอะเนอะ ไปที่ใกล้ๆ ละกัน จึงลงเอยด้วยการไป Melon Valley Farm
พอไปถึง สิ่งที่แวบเข้ามาในใจคือ…ลงไปดีมั้ยวะ เพราะเท่าที่ดู ตัวฟาร์มไม่ได้ใหญ่โต และดูเหมือนจะไม่มีคนเลย เรียกว่าอ้างว้างก็คงไม่ผิดนะ แต่เอาวะ ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว ลงไปดูหน่อยละกัน ถ้าไม่มีอะไรค่อยไปเจียไต๋ฟาร์ม

พอลงไปรอตรงมุมรับแขก สักพักก็มีพนักงานออกมาต้อนรับอย่างดิบดี มีเมล่อนมาให้ชิมด้วย ซึ่งมีทั้งแบบเขียวและแบบส้ม ความหวานยังไม่พีคเท่าไรนักเพราะพนักงานบอกว่าเพิ่งเก็บมาไม่นาน ถ้าจะให้หวานกว่านี้ต้องรออีกสักพัก แม้จะไม่หวานมากนักแต่เราว่าก็ชื่นใจดี สุดท้ายจึงอุดหนุนเมล่อนมาลูกหนึ่ง นอกจากเมล่อนแล้ว ที่นี่ก็มีสินค้าอื่นๆ ที่แปรรูปมาจากเมล่อนด้วย เช่น เมล่อนฟรีซดราย น้ำเมล่อน แยมเมล่อน พนักงานบอกว่าผลิตภัณฑ์ที่นี่ส่งเข้าไปขายในกรุงเทพฯ ด้วย ถ้าใครชอบกินเมล่อน มาชิมถึงถิ่นก็ดีนะ ถ้าอยากไปเดินเล่นในฟาร์มเมล่อนก็ทำได้ด้วย

หนังท้องอิ่มหนังตาก็เริ่มหย่อน กลับไปรีสอร์ตเลยสั่งมอคค่าแก้วนึงเพื่อเรียกสติกลับคืนมาให้ตัวเอง รสชาติละมุนแล้วนุ่มลิ้นมาก ไม่หวานด้วย ยิ่งได้วิวแม่น้ำยามบ่ายและลมที่พัดมาเป็นครั้งคราวยิ่งดีงาม จะมีรกหูบ้างตอนได้ยินเสียงคนเปิดคอนเสิร์ตจากรีสอร์ตใกล้ๆ

พักในโรงแรมเรียบร้อยแล้ว ช่วงเย็นก็ออกหากินอีกฮ่ะ รอบนี้อยากได้ร้านใหม่ๆ เลยเสิร์ชหาในวงในดู อยากได้อาหารฝรั่งด้วย เอ้า ตัวเลือกแคบลงไปอีก สุดท้ายก็ลงเอยที่ร้าน Loft Restaurant & Bar ซึ่งอยู่ถัดจากโรงแรมเราไปเพียงไม่กี่ก้าวเดิน (แต่นั่งรถไปเพราะกลัวฝนตกขากลับ)
หากร้านคีรีมันตราคือร้านที่ต้องไปตำตอนกลางวัน ร้าน Loft Restaurant & Bar ก็คงเป็นร้านที่ต้องมาเยือนตอนกลางคืน เพราะบรรยากาศร้านมันได้มากๆ เวลามืด มีดนตรีสดให้ฟัง มีห้องคาราโอเกะ มีพื้นที่กว้างขวาง มีขนมจากร้าน Library Cafe (อ้าว เจอกันอีกแล้ว) จะนั่งชั้นล่างชั้นบนก็ได้ เราได้ที่นั่งชั้นบนเพราะรู้สึกว่าค่อยปลอดโปร่งหน่อย ข้างล่างแลดูแออัดชอบกลแถมเสียงดัง อยู่ข้างบนก็จะห่างจากวงดนตรีมานิดนึงแต่ก็ยังได้ยินเสียงเพลงอยู่ ระยะกำลังดี



เย็นนี้สั่งมาไม่ค่อยเยอะเท่าไร มี 2 จานที่เราได้ทาน นั่นก็คือข้าวผัดหมูย่าง กับ ส้มตำผลไม้
ข้าวผัดหมูย่าง : เราไม่กินหมู เราเลยเลือกกินแค่ส่วนที่เป็นข้าว ซึ่งรสชาติอร่อยมาก! เหมือนเอาไปผัดกับน้ำพริกเผาอะ มีความเค็มๆ เผ็ดๆ หวานๆ กำลังดี ติดนิดนึงตรงที่มันไปหน่อยเหมือนทำน้ำมันหก เดาว่าส่วนหนึ่งอาจจะมาจากมันหมูด้วยรึเปล่า ถ้าลดความมันลง จะเวิร์กมาก

ส้มตำผลไม้ : จานนี้เล่นใหญ่ด้วยการใส่อาหารลงไปในเปลือกสับปะรด อลังการจริง เดาว่าที่อาหารมาช้าเพราะในครัวคงกำลังประดิษฐ์ประดอยผักผลไม้อยู่ ปริมาณเยอะมาก คุ้มมาก ในตัวสับปะรดอัดแน่นไปด้วยชิ้นสับปะรด ชิ้นแอปเปิ้ล แครอต มะเขือเทศ ถั่วลิสง และน้ำยำที่รสชาติกำลังดี เป็นอีกจานที่ดูเบาๆ แต่สามารถทำให้อิ่มได้

เพลงสดที่นี่เค้าก็ดี นั่งฟังไปเพลินๆ ได้เลย (เพราะอาหารแอบรอนานอยู่) แต่สักพักฝนก็เทกระหน่ำลงมาหนักมาก วงดนตรีเลยต้องเลิกเล่นไปสักพัก เหงาหูเลยทีนี้ เราก็ได้แต่นั่งรอให้ฝนมันซาลง จนในที่สุดก็ได้กลับโรงแรมเมื่อฝนหยุดตกแล้ว
วันที่ 3
วันนี้วันสุดท้ายแล้ว มื้อเช้าเราไม่พลาดละ จะไม่หยิบนมถั่วเหลืองมาราดอย่างไร้สติแล้ว

ช่วงเช้าก็ยังคงคอนเซ็ปต์เดิมคือสโลว์ไลฟ์ในโรงแรม เราเช็กเอ้าต์ตอนบ่ายโมงเพื่อมุ่งหน้าไปต้นจามจุรียักษ์ ซึ่งเส้นทางที่ใช้เดินทางไปนี่อย่างกับตามล่าหาขุมสมบัติ เป็นสองข้างทางที่มีแต่ดงไม้ รอบด้านไม่มีอะไรเลย คาดว่ารถคันอื่นๆ ที่วิ่งผ่านเส้นทางนี้มาพร้อมๆ เราก็คงมุ่งหน้าไปจุดเดียวกัน เพราะดูเหมือนว่ามันจะไม่มีจุดหมายอื่นแล้วอะ…
แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะทุกความวุ่นวายมาบรรจบที่จุดรวมนักท่องเที่ยวอย่างต้นไม้ที่แผ่ขยายกิ่งก้านไปโคตรใหญ่ ชนิดที่ว่าจุคนจำนวน 100 ชีวิตเข้าไปหลบฝนใต้นั้นได้ รอบๆ ต้นไม้ก็จะมีร้านค้าขายของชาวบ้านอยู่ ส่วนใต้ต้นไม้ก็จะมีคนทำกิจกรรม เช่นถ่ายรูป ขี่ข้าง ใส่ชุดไทยเดินไปมา (ถ้าเจอตอนกลางคืนนี่หลอนจริง) ดูเหมือนว่าเราจะไม่สามารถขึ้นไปนั่งแอ็กท่าถ่ายรูปบนกิ่งไม้ได้เพราะเขาเอารั้วมากั้นไว้ งี้ที่เห็นเค้าขึ้นไปนั่งห้อยขาถ่ายรูปใน Instagram ก็ไม่สามารถเป็นจริงได้น่ะเซ่ ~!




วนเวียนอยู่ตรงนี้สักพักก็ค่อยออกเดินทางไปหาข้าวเที่ยง ซึ่งก่อนจะถึงร้านที่ตั้งมั่นไว้ เราก็แวะซื้อของฝากที่ร้านแก้วของฝากเมืองกาญจนบุรีก่อน เป็นร้านที่ใหญ่มากกกก และมีสินค้าขนมนมเนยวางขายเยอะมาก มีให้ชิมเยอะมากเช่นกัน เดินไปเรื่อยๆ ก็จะโดนสะกดจิตด้วยเสียงลำโพงตามสายที่ว่า “เค้กมะพร้าวอ่อนคร้าบเค้กมะพร้าวอ่อน อบสดๆ ใหม่ๆ หมดแล้วหมดเลย เหลืออีก 10 ชิ้นเท่านั้น” (สาบานว่าประโยคนี้ถูกรีเพลย์มากกว่า 10 รอบ)
แต่เราไม่หลงกลเจ้าหรอกจะบอกให้!! เราหลวมตัวไปกับทองม้วนรสข้าวโพดย่างแทน มันอร่อยจริงๆ นะ จากที่ชิม รสชาติโดดเด่นออกมาจากรสอื่นๆ ที่วางขายคู่กันเลย
เมื่อซื้อของเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปเยือนครัวลุงรัตน์เพื่อทานอาหารเที่ยง ซึ่งพอเดินทางถึงก็ปาไปเกือบบ่ายสามแล้ว (ออกจากโรงแรมก็ปาไปบ่ายโมงแล้วนี่นะ) อาหารที่เราสั่งมีแค่ 3 อย่าง คือปลาค้าวทอดน้ำปลา ต้มยำปลาคัง และพล่ากุ้ง ซึ่งแต่ละจานให้ปริมาณมาแบบคุ้มๆ ทั้งนั้น

พล่ากุ้ง: จานนี้เด็ด เนื้อกุ้งสดมากกก แถมให้ปริมาณเยอะ รสชาติยำกำลังดี คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม

ต้มยำปลาคัง: หม้อนี้จัดเต็มเนื้อปลามาก หายากนะร้านไหนที่ให้เนื้อปลาเยอะขนาดนี้ จะอิ่มก็เพราะหม้อนี้นี่แหละ รสชาติก็ถือว่าดี น้ำแกงค่อนข้างแซ่บ ระวังสำลัก

ปลาค้าวทอดน้ำปลา: จานนี้ดีมาก ดีกว่าร้ายไทยเสรีอีก (ดูเหมือนทุกๆ จานจะดีกว่าร้านไทยเสรี) ด้วยปริมาณที่มากกว่า และเนื้อสัมผัสที่กรุบกว่า มันอร่อยมากๆ จนต้องลืมแคลอรี่

ต้องขอบคุณน้องพนักงานเสิร์ฟมา ณ ที่นี้ เพราะตอนแรกหน้ามืดจะสั่งหลายจาน แต่น้องเค้าเบรก บอกว่า “ร้านนี้ให้ปริมาณเยอะนะพี่” สุดท้ายเลยสั่งมาแค่สามจาน โชคดีที่เชื่อน้องเค้า เพราะแค่ 3 จานก็อิ่มจนจุกไปแล้ว
เมื่อจบจากมื้อเที่ยงที่ดำเนินตอนบ่าย เราก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ กันแล้ว ทริปนี้ก็จบแต่เพียงเท่านี้ สามวันนี่เร็วมากจริงๆ เวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดนี่จะรู้สึกเหมือนเวลามันหยุดไปพักนึง จะเริ่มดำเนินต่อก็เมื่อรถเข้าเขตกรุงเทพฯ นี่แหละ
ใครว่างๆ ก็อย่าลืมไปชาร์จพลังที่กาญจนบุรีกันนะ 🙂
Leave a Reply