เมื่อได้รู้ว่าแฟรนไชส์เรื่องโปรดอย่าง The Purge กลับมากับภาค 4 เราก็ตื่นเต้น เพราะอยากรู้ว่าภาคนี้จะมามุกไหนอีก แอบเข้าใจว่าภาคที่ 3 น่าจะเป็นภาคสุดท้ายแล้ว
ภาคนี้มีความพิเศษตรงที่เป็นภาคปฐมบท เล่าเรื่องราวย้อนกลับไปถึงการล้างบาปครั้งแรกในสหรัฐฯ เป็นการบอกเล่าที่มาของประเพณีนี้ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเป็นมายังไง เพราะฉะนั้นใครที่ยังไม่เคยดู 3 ภาคที่แล้ว รับรองว่าสบายใจหายห่วงเพราะเนื้อหาภาคนี้อันที่จริงคือเกิดก่อน 3 ภาคก่อนด้วยซ้ำ พูดง่ายๆ ว่าหากดูตามเนื้อเรื่อง ภาค 4 นี้ควรจะเป็นภาค 1
หนังได้อธิบายสถานการณ์ในอเมริกาว่ามีความวุ่นวาย เศรษฐกิจตกต่ำ มีจราจลเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เรียกง่ายๆ ว่าประเทศไม่สงบสุข และสมควรได้รับการรื้อใหม่ อยู่มาวันหนึ่ง พรรคการเมืองใหม่อย่างพรรคพัฒนาชาติใหม่ (New Founding Fathers of America หรือ NFFA) ได้ล้มรัฐบาลเก่าแล้วเข้ายึดครองอำนาจแทน พวกเขาเห็นว่าต้นตอของความไม่สงบสุขก็คือความโกรธแค้นของประชาชนที่ไม่ได้ถูกระบายออกมา จึงได้คิดค้นคอนเซ็ปต์ “คืนล้างบาป” (Purge) ด้วยจุดประสงค์ที่ว่ามันจะช่วยบำบัดความแค้น จงระบายความเก็บกดออกมาให้หมดเพื่อที่ว่าในอีก 364 วันที่เหลือ เอ็งทั้งหลายจะกลายเป็นคนดี อยู่ในกรอบสังคมได้
คืนล้างบาปคือคืนที่ผู้คนจะสามารถทำเรื่องผิดกฎหมายได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำลายข้าวของ การชิงทรัพย์ หรือการฆ่าคน โดยไม่มีโทษใดๆ ทั้งสิ้น เป็นคืนที่เปรียบเสมือนสวรรค์ของผู้ที่เก็บกดอัดอั้นตันใจมานาน แล้วอยากจะปลดปล่อยโดยการใช้ความรุนแรง โดยคืนนี้จะกินเวลาทั้งหมดเป็นเวลา 12 ชั่วโมง
รัฐบาลได้ทำการทดลองคืนล้างบาปครั้งแรก ณ เกาะสแตเทน ในเมืองนิวยอร์ก เพื่อดูว่ามีคนสนใจเข้าร่วมเยอะหรือไม่ มีคนระบายอารมณ์ในคืนนี้มากน้อยขนาดไหน หากตัวเลขเป็นที่น่าพอใจ พวกเขาก็จะพิจารณาประเพณีคืนล้างบาปให้ทำกันทั่วประเทศ ผู้คนในเกาสแตเทนที่เข้าร่วมการทดลองนี้จะได้รับเงินค่าตอบแทนอย่างต่ำ $5000 ซึ่งถือว่าเยอะมากสำหรับคนที่รายได้ไม่สูงนักในแถบนั้น แน่นอนว่าการทดลองนี้มีทั้งคนสนับสนุนและคนต่อต้านหาว่าเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม
เมื่อคืนทดลองเริ่มต้นขึ้น เหล่าตัวเอกของหนังก็ต้องเผชิญสถานการณ์ลุ้นระทึกและเสี่ยงตายตามเคย ตัวอย่างเช่น ไอเซยาห์ เด็กหนุ่มผิวสี น้องชายของนางเอก ผู้มีความแค้นส่วนตัวกับ สเกเลทอร์ นักเลงติดยาที่หน้าตาโคตรโรคจิต ก็ได้ออกมาร่วมคืนล้างบาปแบบกล้าๆ กลัวๆ โดยหวังว่าจะได้ฆ่าสเกเลทอร์, นางเอกอย่าง ไนยา สาวผิวสีที่ต่อต้านคืนล้างบาป แต่สุดท้ายก็ต้องจับพลัดจับผลูออกมาวิ่งหนีตายข้างนอกแทนที่จะได้หลบในโบสถ์ตามแผนเดิม, ดิมิทรี่ เจ้าพ่อค้ายาเจ้าถิ่น พระเอกของเรื่องนี้ที่เก่งอย่างกับหลุดออกมาจากหนังซูเปอร์ฮีโร่ ที่แม้จะค้ายาแต่ก็ไม่ยอมให้ใครมาบุกและทำร้ายผู้คนและเมืองที่เขาผูกพัน ทั้ง 4 ตัวละครนี้ถือเป็นหัวใจหลักของเรื่องเลยก็ว่าได้
การดำเนินเรื่องตอนต้นค่อนข้างจะเรื่อยๆ เฉื่อยๆ หน่อย เพราะเน้นการปูพื้นเกี่ยวกับเหตุการณ์คืนล้างบาป กว่าคืนล้างบาปจะเริ่มจริงๆ ก็เกือบปาไปครึ่งเรื่องแล้ว (เทียบกับภาคก่อนๆ ถือว่าช้า) เมื่อเนื้อหาเริ่มเข้าสู่คืนล้างบาปจริงๆ เราก็จะได้เห็นภาพที่เราคุ้นเคยกัน เช่น แก๊งสวมหน้ากากแต่งตัวประหลาดแฟนซีเหมือนปาร์ตี้ฮาโลวีน, ผู้คนถือปืนถือมีดฆ่ากัน, สารพัดรถที่ขับกันมาอย่างอันธพาลครองเมือง และที่สำคัญคือฉากตุ้งแช่แบบอยู่ดีๆ ก็เจอคนแอ็ทแท็ก
แต่ถ้าถามว่าความระทึกสู้ภาคก่อนๆ ได้มั้ย เรารู้สึกว่าหากเทียบกับภาคก่อนๆ ภาคนี้ยังไม่พีคเท่าไร อย่างภาคก่อนๆ นี่จะลุ้นจนเหนื่อย ลุ้นเครียดเกือบทั้งเรื่อง มีฉากหลอนติดตาหลายฉาก แต่ภาคนี้ไม่ค่อยเจออารมณ์แบบนั้นเท่าไร จะมีความแก๊งอันธพาลไล่ฆ่าคนมากกว่า ยังขาดองค์ประกอบของความหลอนระทึก ความโรคจิตเหมือนภาคที่ผ่านมา (ความโรคจิตเพียงหนึ่งเดียวของหนังน่าจะมาจากแค่สเกเลทอร์) แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งที่ได้กลับมาในภาคนี้คือฉากแอ็กชั่นที่หนักมากขึ้น บู๊มากขึ้น บางทีอาจจะเป็นเพราะตัวเอกในภาคนี้แกร่งมากด้วย เลยไม่ทำให้รู้สึกกลัวแทนตัวละครเท่าไร เพราะค่อนข้างมั่นใจระดับนึงว่าตัวเอกน่าจะรอด
แน่นอนว่าหนังมีการพลิกล็อก เปิดเผยสาเหตุที่แท้จริงของประเพณีคืนล้างบาป และความชั่วร้ายของรัฐบาล สำหรับใครที่เคยดูภาคก่อนๆ ก็จะไม่รู้สึกเซอร์ไพรส์เท่าไร เพราะปมนี้เคยถูกเฉลยไปก่อนแล้ว (สปอยล์ ปาดสีเพื่ออ่าน >>) ว่าจริงๆ คืนล้างบาปนั้นมีเพื่อกำจัดคนจน เพราะรัฐบาลมองว่าคนจนคือภาระ ทั้งในแง่สังคมและเศรษฐกิจ ดังนั้น ถ้ากำจัดได้ เศรษฐกิจและสังคมก็จะดีขึ้น ดังนั้น สำหรับคนที่เคยดูแล้ว ก็อาจจะรู้สึกว่าพล็อตหลักไม่ได้มีอะไรเหนือคาดมาก ตื่นเต้นอย่างเดียวคือลุ้นว่าตัวละครหลักทั้งหลายจะรอดมั้ย แต่ถ้าใครไม่เคยดู สิ่งนี้ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยให้รู้สึกว่าหนังมีอะไรๆ มากกว่าการลุ้นความเป็นความตายของตัวละคร
สรุปแล้ว The First Purge ยังคงความเป็นเอกลักษณ์และความตื่นเต้นในเนื้อเรื่องไว้ได้ แม้จะไม่เท่าภาคก่อนๆ ถึงอย่างนั้นก็ยังถือว่าดูสนุกอยู่ดี แต่ถ้าใครหวังว่าจะได้ไปเสพความจิต ความหลอน ความต้องระแวงหลังแบบภาคก่อนๆ ก็อาจจะผิดหวัง เพราะอย่างที่บอกคือรอบนี้เค้าเน้นสู้แบบปะทะหน้ากันมากกว่า และตัวพระเอกก็เมพมาก ส่วนประเด็นเนื้อหาหลักของเรื่องนั้นไม่ได้มีอะไรใหม่ เน้นไปลุ้นไลน์ของตัวละครมากกว่า ดังนั้น ใครที่เป็นแฟนประจำของ The Purge อาจไม่ได้รู้สึกว่าภาคนี้หวือหวา แต่ถ้าใครไม่เคยดูก็สามารถไปลองดูกันได้ ไม่แน่ว่าอาจจะรู้สึกสนุกกว่าคนที่เคยดูภาคก่อนๆ ละ
Leave a Reply