และแล้วเราก็ได้มีโอกาสไปเยือน LINE Village ที่ซึ่งเค้าเคลมว่าเป็นสวนสนุกในร่ม เหมาะมากสำหรับใครที่เป็นแฟนคลับตัวการ์ตูนมุ้งมิ้งจาก LINE เพราะที่นี่มีมุมถ่ายรูปเยอะมาก แวดล้อมไปด้วยตัวการ์ตูนที่เราคุ้นเคยกัน (และบางตัวก็ไม่ค่อยคุ้นเคย) เดินทางสะดวกเพราะอยู่ที่ชั้นล่างติดถนนของ Siam Square One นี่เอง ไหนๆ มาแล้วเราก็ถือโอกาสถ่ายรูปทุกซอกทุกมุมเพื่อทำรีวิวซะเลยละกัน

เราเข้า LINE Village จากในตัวห้าง ซึ่งก็จะเป็นโซนขายของ (ถ้าเข้าจากประตูติดถนนก็จะเจอบูธขายตั๋วเลย) เรามุ่งตรงไปยังบูธขายตั๋วก่อน บัตรปกติสำหรับคนไทยจะราคาอยู่ที่ 850 บาทต่อคน แต่เราใช้โปรฯ AIS กับโปรฯ นักเรียน (ไปกับน้อง) คู่กัน เลยได้ลดกันไปคนละ 200 บาท

บัตรเราเป็นรอบ 15.45 น. เหลือเวลาอีกประมาณ 15 นาที เรากับน้องจึงเดินเล่นสำรวจร้านไปเรื่อยๆ มีของเยอะมาก ไล่ตั้งแต่เสื้อผ้ายันตุ๊กตายันเครื่องเขียนยันของกุ๊กกิ๊ก ถ้าใจไม่แกร่งอาจมีเสียตังค์กันได้นะฮะ

พอถึงเวลา เราก็เดินเข้าไปในทางต้อนรับซึ่งเป็นอุโมงค์มืดๆ ก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในห้องแรกที่มีหน้าตาเหมือนห้องสมุด มีชื่อว่า Mystique Library เป็นห้องสมุดของหมีบราวน์ ถ้าใครพอจำได้ บราวน์ชอบการอ่านหนังสือ ในห้องจึงเต็มไปด้วยหนังสือรายล้อมรอบชั้นวาง เป็นห้องเล็กๆ ที่ถ้าไปพร้อมคนเยอะๆ ก็จะเต็มเร็วมาก รีวิวจากหลายๆ ที่บอกว่าถ้าหาประตูลับไม่เจอ จะไม่สามารถไปห้องต่อไปได้ใช่มะ แต่เอาจริงๆ ตรงนั้นมีเจ้าหน้าที่คอยนำทางเราอยู่ (อันที่จริงคือมีเจ้าหน้าที่ทุกห้องแหละ) เมื่อเราถ่ายรูปเสร็จก็ไปบอกเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่หน้าประตูลับ (?) ได้ เค้าจะคอยดูต้นทางให้ว่าอีกห้องหนึ่งว่างพอให้เราบุกเข้าไปรึยัง ขั้นตอนจะเป็นอย่างนี้ในทุกๆ ห้อง



เมื่อหลุดออกมาจากห้องสมุดได้แล้ว ที่ต่อไปคือ Secret Step หรือก็คือโถงบันไดให้เราเดินลงไปข้างล่าง รอบด้านถูกประดับประดาไปด้วยรูปภาพของเหล่าไลน์เฟรนด์ที่ขยับได้นิดๆ หน่อยๆ (แต่บางรูปก็เป็นภาพนิ่งเฉยๆ) จุดนี้เหมาะสำหรับใครก็ตามที่อยากถ่ายรูปเก็บภาพพิเศษของเหล่าตัวการ์ตูนพวกนี้ไว้ เพราะเป็นภาพ exclusive หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว



พอเดินบันไดลงมาถึงชั้นล่าง เราก็เลี้ยวซ้าย เพื่อไปเจอห้องมืดๆ ห้องหนึ่งที่ชื่อ Intro Theatre เป็นลักษณะห้องสี่เหลี่ยมที่ถูกล้อมไปด้วยม่านที่ฉายภาพไลน์เฟรนด์โผล่ขึ้นมาทักทายเรา การจะถ่ายรูปในห้องนี้ถือเป็นภารกิจยากระดับนึง เพราะด้วยแสงที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ กับไลน์เฟรนด์ที่ผลุบๆ โผล่ๆ ก็อาจจะทำให้ไม่ได้ภาพดังใจ ฉะนั้น กดชัตเตอร์ไปรัวๆ เลยจ้ะ อย่าเล็งนาน



เสร็จจากห้องนี้ ก็ไปสะกิดเจ้าหน้าที่ว่าอยากไปห้องต่อไปแล้ว อันนี้แอบรอนานนิดหนึ่ง แล้วก็ต้องกระจ่างเมื่อเราได้เข้าไปในห้อง Dazzle Corridor ซึ่งเป็นโถงทางเดินเล็กๆ ที่รายล้อมไปด้วยกระจก ที่บอกว่าเล็กนี่คือเล็กจริงๆ แบบเดิน 5 ก้าวก็ถึงประตูไปห้องถัดไปแล้ว ถึงว่าล่ะเจ้าหน้าที่ให้เรารอนาน เพราะถ้าคนเยอะจะถ่ายรูปไม่สวยเลย

เดินไปสุดทาง ก็จะเข้าไปสู่ Brown’s Room หรือห้องนอนของบราวน์นั่นเอง ห้องนี้น่ารักดี มีเตียงที่เราสามารถลงไปนอนได้ มีกระจกยาวให้เช็กหน้าเช็กผม ที่สำคัญคือเจอบราวน์กำลังนั่งอ่านหนังสืออย่างขะมักเขม้นอยู่



ออกจากห้องของบราวน์ เราก็ไปต่อกับโซน The Garden ซึ่งแบบ…ค่อยยังชั่ว ห้องนี่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย ทำให้ไม่เบียดกับชาวบ้าน โดยห้องนี้จะตกแต่งเหมือนเป็นสวนสาธารณะที่มีทั้งร้านไอศกรีม ลานน้ำพุ โรงรถ ม้านั่งเล่น เดินถ่ายรูปชิวๆ ได้เลย ไฮไลต์ของห้องนี้คือโซน VR ที่เราสามารถสวมเครื่องเพื่อเล่นเกมได้ ในเกมก็จะให้เราทำท่าทางต่างๆ เพื่อเปลี่ยนชุดตัวละครบ้าง เล่นกับเฟอร์นิเจอร์บ้าง เพลินดีๆ







ห้องต่อไปคือ Cony’s House ห้องของโคนี่ มีจุดเด่นคือสีชมพูหวานแหววกระแทกตา ชมพูทั้งห้อง ห้องนี้เรียกได้ว่าเป็นห้องแม่บ้านเลย เพราะมีทั้งครัวทั้งเครื่องซักผ้า ไฮไลต์ที่ต้องไปเล่นคือเกมทำอาหารบนจอทัชสกรีน (มีหลายจอ ไม่ต้องแย่งกัน) อารมณ์เหมือนเล่น cooking mama นั่นละ ตัวเกมมีหลายด่านให้เล่น แม้จะเล่นไม่ผ่านด่านก็สามารถไปด่านต่อไปได้ มีติดนิดหนึ่งตรงที่การเคลื่อนไหวของเกมยังกระตุกๆ ช้าๆ ไปบ้าง ทำให้เราเฟลหลายด่านเลย (เฟลเพราะระบบจริงๆ ไม่ใช่ฝีมือ เชื่อสิ)







ฟินกับสีชมพูไปแล้ว ห้องต่อไปขอเปลี่ยนบรรยากาศเป็นโทนมืดๆ บ้าง นั่นก็คือ Moon’s Rooftop หรือห้องของมูน เอาจริงๆ เราเพิ่งรู้ว่ามูนคลั่งไคล้อวกาศ ใฝ่ฝันจะเป็นนักบินอวกาศ เราแอบรู้สึกว่าห้องนี้มีความเหงาหนักมาก อาจจะเพราะตอนนั้นไม่มีใครเลยนอกจากเรา น้อง และเจ้าหน้าที่ บวกด้วยบรรยากาศเคว้งคว้างของอวกาศ ให้อารมณ์เหมือนนาซ่าก็พาเธอกลับมาไม่ได้




ออกจากมู้ดมืดๆ ไปสู่ความสว่างกันอีกครั้ง กับโซนต่อไปคือ Festival Square ตกแต่งคล้ายๆ จตุรัสของหมู่บ้าน มีตลาด มีมุมถ่ายรูปดิจิทัล มีเกมงานวัด (ที่ไม่รู้ว่าเล่นได้จริงมั้ย) อีกมุมหนึ่งในห้องเดียวกันคือ Beat Brown เป็นมุมที่คูลที่สุดแล้ว ตกแต่งแบบสตรีท คลอไปด้วยเพลงเฮ้วๆ แบบที่เปิดในผับ ใครที่อยากได้รูปไม่มุ้งมิ้ง มาโซนนี้ได้







หันไปด้านตรงข้ามก็จะเจอห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง เป็นห้อง James’ Secret House ที่ซึ่งมีองค์ชายเจมส์นั่งเก๊กหล่อประทับบนเก้าอี้หรูอยู่ สามารถไปถ่ายรูปนั่งเก๊กเป็นเพื่อนพี่แกได้เช่นกัน ถัดมาอีกห้องหนึ่งเป็นห้อง Dream Theatre มีเก้าอี้นั่งเรียงรายให้เราเข้าไปสวมหัวเล่น VR กันอีกครั้ง อันนี้ค่อยให้อารมณ์เป็นสวนสนุกหน่อย เป็น Simulation แบบ 360 องศาที่สมมติให้เรากำลังนั่งรถไฟเหาะ กราฟิกทำออกมางดงามมาก เครื่องเล่นเหวี่ยงนิดๆ พอให้กระชุ่มกระชวย


โซนถัดไปนั้นต้องบริหารขาด้วยการเดินขึ้นบันได้ไปหน่อย ก็จะเจอกับ Jungle Brown ซึ่งตกแต่งเป็นป่า มีจุดคิ้วท์ๆ อย่างรังของแซลลี่และกระท่อมของเอ็ดเวิร์ดให้ถ่ายรูปเล่นกัน เดินขึ้นบันไดมาอีกนิดก็จะเจอระเบียงเล็กๆ ที่มีโต๊ะเก้าอี้เพียบพร้อมเหมือนเป็นสวนบ้านเราเอง สามารถเข้าไปนั่งพักข้างๆ โคนี่ได้









ก่อนจะไปห้องต่อไป เราจะต้องเดินทะลุผ่าน Ice Cave ซึ่งจำลองเหมือนเป็นถ้ำน้ำแข็ง โดยระหว่างทางก็จะมีไลน์เฟรนด์มาต้อนรับ สุดทางเดินคือห้อง Boss’s Office เป็นห้องทำงานขรึมๆ ของคุณบอสนั่นเอง เพิ่งรู้ว่าบอสเป็นนักสืบละ ถึงว่า ในห้องให้อารมณ์เหมือนอยู่ในหนังเจมส์ บอนด์ ไม่ว่าจะเป็นโทนสีน้ำตาลไม้เข้มๆ ดูขรึม หรือเพลงแนวสายลับที่เปิดคลอไปในบรรยากาศ





ห้องต่อไปเรามาเปลี่ยนโหมดกลับเข้าสู่ความหวานแหววอีกครั้ง กับห้อง Choco’s Arcade เป็นโถงกว้างๆ เตรียมความพร้อมก่อนจะไปเจอโหมดสีชมพูกระแทกตาอีกครั้ง โซนตรงนี้เป็นจตุรัสที่มีกำแพงสวยๆ รายล้อม เหมือนสถาปัตยกรรมในยุโรป มองขึ้นไปจะรู้สึกว่าโอ่โถงมากเพราะข้างบนเป็นกระจกสะท้อนตัวห้องอีกที




ว่าแล้วเราก็มาสู่ห้อง Choco’s House ห้องส่วนตัวของช็อกโก ซึ่งก็คือบราวน์เวอร์ชั่นแต่งหญิง เอ๊ย น้องสาวของบราวน์นั่นเอง ห้องนี้เหมาะกับสาวสายผู้หญิ้ง ผู้หญิง มีมุมให้ถ่ายรูปเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะเครื่องแป้ง อ่างอาบน้ำของแซลลี่ ตู้เสื้อผ้า และโซฟาที่มีช็อกโกครอบครองอยู่ นางไม่สนใจเราเลย มัวแต่กดมือถือ สายโซเชียลที่แท้ทรู



ว่าแล้วก็ไปห้องถัดไป ห้องนี้เราก็ต้องรอสักพักเช่นกันเพราะ…เหตุผลเดิมจ้า ห้องมันเล็ก ต้องรอคนออกไปก่อนถึงจะถ่ายรูปได้สวย ห้องนั้นคือ The Infinity เป็นห้องแนวกระจกรายล้อมเหมือนโถงทางเดินช่วงต้นเรื่อง แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือตุ๊กตาบราวน์ที่เรืองแสงอยู่ อย่าเห็นว่าน่ารักแล้วอยากจับต้องนะ ห้าม! ถ้าไม่อยากโดนไฟช็อตจ้า


ก่อนจะไปห้องสุดท้ายก็ต้องผ่านโซน Story Book กันก่อน ประดับไปด้วยหนังสือขนาดยักษ์หลายเล่มให้ยัดตัวเข้าไปถ่ายรูปกันได้ และปิดท้ายกันที่ห้อง The Finale ห้องสุดท้ายที่ล้อมรอบไปด้วยจอภาพที่มีเหล่าไลน์เฟรนด์มาโบกมือบ๊ายบายส่งเรากลับ ด้วยเอ็ฟเฟ็กต์พลุสีสันสดใสเหมือนงานปีใหม่ น่ารักมาก ทำเอาไม่อยากเดินออกจากห้องเลย






เมื่อตัดใจได้แล้ว เราก็ออกจากห้อง เดินลงบันไดที่บราวน์มาส่งท้ายบนหลังคา ก่อนจะออกไปสู่โลกแห่งความเป็นจริง พูดให้เว่อร์ไปนั่น ก็ออกมาเจอกับร้านค้า LINE ที่เดิมนั่นละ



สุดท้ายแล้ว แม้จะไม่ใช่สวนสนุก 100% แบบที่เคลมไว้ข้างต้น เพราะไม่ได้มีเครื่องเล่นอะไรมากมาย ส่วนใหญ่เป็นมุมถ่ายรูป แต่เราก็ใช้เวลาไปกับ LINE Village กว่า 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว ฟังดูเหมือนเยอะ แต่มันเพลินมากจริงๆ ยิ่งเราตั้งใจจะมาถ่ายรูปซึมซับบรรยากาศด้วยแล้ว เลยใช้เวลากับแต่ละห้องค่อนข้างนาน ใครที่เป็นสายถ่ายรูปไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงงง
Leave a Reply