เมื่อขบวนรถไฟเต็มไปด้วยซอมบี้กระหายเนื้อมนุษย์ พวกเขาจะหนีเอาตัวรอดได้ยังไงในเมื่อไวรัสมันแพร่ระบาดเร็วขนาดนั้น (แถมซอมบี้ยังวิ่งโคตรเร็ว)
ปกติแล้วเราจะเฉยๆ กับหนังซอมบี้ เพราะส่วนใหญ่มักจะไม่มีอะไรไปมากกว่าการไล่ล่ากัดกัน
แต่สำหรับ Train to Busan มันมีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดเรา ส่วนหนึ่งน่าจะเพราะ 1. เป็นหนังซอมบี้เกาหลี ซึ่งไม่ค่อยทำหนังแนวนี้เท่าไร 2. มีโลเกชั่นปิดอย่างบนรถไฟ ยิ่งทำให้พล็อตดูน่าลุ้นขึ้น และ 3. ชูปมความสัมพันธ์พ่อลูก ซึ่งน่าจะการันตีความซึ้งได้ระดับหนึ่ง
Train to Busan เปิดฉากมาด้วยการให้เราทำความรู้จักตัวละครหลักๆ ก่อน นั่นก็คือซอกวู (นำแสดงโดย กงยู ออร่าความพ่อพุ่งกระฉูดมาก) ผู้จัดการกองทุนหนุ่มที่มีลูกสาวนามว่าซูอัน ความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกค่อนข้างห่างเหินเพราะคนเป็นพ่อมัวแต่ทำงาน ในวันเกิดของซูอัน เธอขอให้พ่อพาเธอนั่งรถไฟไปปูซานเพื่อไปหาแม่ ตอนแรกซอกวูก็บ่ายเบี่ยงเพราะงานเยอะ แต่สุดท้ายก็ยอมพาไป ซึ่งระหว่างการเดินทางพวกเขาได้เจอเหตุชุลมุนแปลกประหลาด ตั้งแต่ตัวสถานีแล้วที่มีคนวุ่นวายกันมากมาย และดูเหมือนจะมีคนวิ่งเข้ามาในรถไฟด้วยท่าทางแปลกๆ ด้วย ปรากฏว่าแขกไม่ได้รับเชิญเหล่านั้นคือผู้ติดเชื้อไวรัสซอมบี้ พวกเขาเริ่มกัดกินคนในขบวนรถไฟอย่างบ้าคลั่งชนิดที่ว่าเห็นมนุษย์เป็นไม่ได้เป็นต้องรีบพุ่งเข้าไปราวกับเจออาหารโอชะ ในสถานที่ที่ปิดตายอย่างนี้ ซอกวูและซูอันจะสามารถเดินทางไปถึงปูซานได้ไหม?
การดำเนินเรื่องคือเป็นไปอย่างที่คาดไว้ คือสนุกและลุ้นไปซะทุกฉาก แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นลุ้นจนเหนื่อยหอบนะสำหรับเรา เพราะหนังเปลี่ยนประเภทฉากไปมา พอลุ้นเสร็จก็พัก พอพักเสร็จก็วิ่งกันต่อ จังหวะการลุ้นมันเลยกำลังดี ส่วนซอมบี้นี่ก็ทำได้น่าเกลียดน่าขยะแขยงระดับนึง อาจจะไม่ถึงขั้นเลือดสายอวัยวะพุ่ง แต่ด้วยรูปลักษณ์และท่าทางก็ชวนให้สยองได้เหมือนกัน ทีเด็ดคือฉากที่กล้องแพนให้เห็นซอมบี้วิ่งเป็นขบวนนั่นละ โอ้โห อลังการมาก ซอมบี้เยอะอย่างกับว่าทั้งเกาหลีใต้กลายเป็นซอมบี้ไปหมดแล้ว (ดูจากสภาพแล้ว ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแหละว้า)
ด้วยเหตุนี้แหละ สถานการณ์มันวิกฤติขั้นสุด หนังสามารถเล่นกับประเด็นเรื่องสัญชาตญาณของมนุษย์ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการที่บางคนเอาตัวรอดไว้ก่อน บางคนนึกถึงผลประโยชน์ของตัวเอง เทียบไปแล้วก็เหมือนอสูรกายที่บ้าเลือดที่คิดแต่จะเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ในขณะที่บางคนยอมเสียสละ นึกถึงคนส่วนมาก ตัวพระเอกอย่างซอกวูเองนั้นแม้ว่าจะเป็นพระเอก แต่ก็ยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่ ดูได้จากประโยคที่บอกซูอัน ลูกสาวของเขาว่าในสถานการณ์อย่างนี้ ไม่ต้องไปใจดีกับคนอื่น ดูแลตัวเองให้รอดก่อนเป็นพอ… ซึ่งจริงๆ มันก็ถูกนะ ถ้ายังเอาตัวเองไม่รอด การไปช่วยคนอื่นก็จะยิ่งถ่วงกันเปล่าๆ
แต่จริงๆ แล้ว หากทุกคนนึกถึงแต่ตัวเอง จะสามารถไปได้ไกลกว่าจริงๆ หรือ
ในหลายๆ สถานการณ์ของหนัง เราจะเห็นว่าเมื่อรวมกลุ่มและช่วยเหลือกันแล้ว ย่อมสามารถจัดการแก้ไขปัญหาได้ดีกว่า ฉากที่เราชอบคือฉากที่สามหนุ่มฝ่าขบวนรถไฟที่เต็มไปด้วยซอมบี้ไปด้วยกัน มันโคตรทีมเวิร์ค โคตรบู๊ ชอบมาก ประทับใจลุงซังฮวา ลุงอ้วนที่พาเมียท้องขึ้นรถไฟมาด้วย ตอนแรกเฉยๆ กับลุงแต่พอลุงเริ่มออกซีนบู๊ตะลุยถีบหน้าซอมบี้เท่านั้นแหละ แม่ง ลุงเท่ว่ะ คือลองคิดเล่นๆ ว่าถ้าไม่มีคนแบบลุง คนบู๊ๆ ที่นอกจากจะห่วงเมียตัวเองแล้วก็ยังห่วงคนอื่น หลายๆ คนก็คงไม่รอด
แต่ถึงอย่างนั้นการช่วยคนอื่นก่อนก็ไม่ได้ดีเสมอไป เอาเข้าจริงเราว่าอยู่ที่สถานการณ์และคนที่เราคิดจะเข้าไปช่วย อย่างกรณีลุงยงซอก ลุงนักธุรกิจที่คิดถึงแต่ตัวเองอย่างเดียวจริงๆ หลายครั้งหลายคราวที่มีคนคิดจะช่วยลุง แต่ลุงกลับซ้อนแผนแล้วผลักคนพวกนั้นให้ซอมบี้กิน มันทำให้รู้สึกแบบโว้ยยยย อีกแล้วเรอะลุง คือถ้าไม่มีลุงสักคนนี่เราว่าน่าจะรอดกันหลายคนเลยละ คนแบบลุงนี่เป็นคนที่ทำให้ใครหลายๆ คนไม่นึกอยากช่วยคนอื่น ซึ่งกว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าโดนหักหลังก็ตอนใกล้จะตายนั่นแหละ ฉากที่ลุงกับผู้โดยสารมนุษย์ลุงมนุษย์ป้าคนอื่นๆ ผลักไสไล่ส่งกลุ่มพระเอกที่เพิ่งฝ่าดงซอมบี้มาได้สำเร็จนี่ก็กระแทกใจดีเหมือนกัน ตั้งแต่ปิดประตูไม่ให้กลุ่มพระเอกเข้ามาได้ จนไปถึงไล่ให้ไปอยู่ท้ายขบวน มันเจ็บจึกแต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าในสังคมเราก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ตัดสินคนจากสิ่งที่เขาเผชิญหรือเคยเป็น แม้ว่าปัจจุบันจะไม่ได้แสดงให้เห็นอย่างนั้นแต่ก็แอนตี้ไปแล้ว
หนังสร้างความ emotional ด้วยการพาคนดูไปรู้จักกับตัวละครบางคนในขบวนรถไฟ ไม่ได้มีแค่คู่พ่อลูกซอกวู-ซูอันเท่านั้นที่เป็นสตอรี่หลักของเรื่อง แต่เนื้อเรื่องยังประกอบไปด้วยคู่ข้าวใหม่ปลามันอย่างลุงซังฮวา-ซองฮยองที่ตั้งท้องอยู่ , คู่กุ๊กกิ๊กวัยมัธยมอย่างยองกุก-จินฮี (นำแสดงโดย โซฮี Wonder Girls ที่โดดเด่นตั้งแต่ฉากแรก) รวมถึงคู่ป้าสองคนที่เป็นพี่น้องกัน (รึเปล่า ไม่แน่ใจ) พอหนังมีสตอรี่ของหลากหลายตัวละคร เราก็ยิ่งอยากเอาใจช่วยพวกเขามากขึ้น เพราะพวกเขามีที่มาที่ไป ไม่ได้เป็นใครก็ไม่รู้ที่ร่วมโดยสารไปกับพระเอกและลูก
แน่นอนว่าการผจญภัยครั้งนี้แลกมาด้วยความสูญเสียมากมาย สะเทือนใจไปกับการจากไปของตัวละครหลายๆ ตัว หนังขยี้ฉากซึ้งได้ดีมาก ความพีคของหนังยังลากยาวไปถึงตอนจบที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ดูจบจะรู้สึกเคว้งๆ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนถูกเติมเต็ม
ไม่รู้หรอกว่าผู้รอดชีวิตจะรอดต่อไปไหม แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ผ่านหนึ่งในมรสุมที่โหดที่สุดมาแล้ว
Train to Busan เป็นหนังซอมบี้ที่ดูสนุก และเต็มไปด้วยความเป็นมนุษย์ที่แสดงกันให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่หนังที่ซอมบี้ไล่กัดมนุษย์ แต่มนุษย์ยังตีกับมนุษย์ด้วยกันเอง ซึ่งช่วยชูรสความเป็นแอ็กชั่น-ดราม่าได้เข้มข้นขึ้น
ป.ล. สิ่งเดียวที่หนังให้ไม่ได้ตามชื่อเรื่องคือวิวเมืองปูซานนะฮะ ใครบอกว่าไปดูหนังเรื่องนี้แล้วชอบวิวปูซานนี่รู้เลยว่าไม่ได้ไปดูจริง 555
Leave a Reply