สรุปหนังสือ The Sweet Spot: ชีวิตจะกลมกล่อม หากหยอดน้ำตาเข้ามาบ้าง

เวลาพูดถึง “ชีวิตที่ดี” หลายคนคงนึกถึงช่วงเวลาที่มีความสุขซะเป็นส่วนใหญ่ ยิ่งแฮปปี้เท่าไรก็ยิ่งดี

แต่จริง ๆ แล้ว แค่โมเมนต์แห่งความสุข เพียงพอจริงรึเปล่า?

The Sweet Spot เขียนโดยนักจิตวิทยานามว่าคุณ Paul Bloom จะมาเล่าถึงการค้นพบว่า จริง ๆ แล้ว การมีชีวิตที่ดีนั้นอาจจะต้องมีความยากลำบากผสมเข้าไปด้วย ฟังแบบนี้แล้วอาจจะคิดว่าดูไลฟ์โค้ชจัง จะจริงเหรอ ถ้าให้เลือกได้ ใคร ๆ ก็อยากมีความสุข โดยปราศจากความทุกข์ยากกันทั้งนั้นแหละ

มา เราไปร่วมหาคำตอบจากหนังสือพร้อม ๆ กัน

บทที่ 1: ความทุกข์ (Suffering)

หากเราลองสังเกตดี ๆ บางที เรามักจะเผลอเสพ “ความทุกข์” อย่างดื่มด่ำ

ในบทแรก ผู้เขียนเล่าถึงประสบการณ์ความทุกข์ที่แม้จะบ่นแต่ก็สนุก ไม่ว่าจะเป็นลูกชายของเขาที่ทำโปรเจกต์ปีนเขาเอเวอร์เรสต์ “เสมือนจริง” ผ่านการปีนเขาจำลองอย่างต่อเนื่องและคอยแทร็กว่าหากเป็นเอเวอร์เรสต์จริง ๆ เขาจะไปอยู่ตรงจุดไหนบ้าง, การไปตั้งแคมป์ที่ไม่มีทั้งเตียงนอนนุ่ม ๆ หรือน้ำอุ่น ๆ ให้อาบ, การไปขี่จักรยานหรือซ้อมสำหรับวิ่งมาราธอนท่ามกลางอากาศหนาว ๆ, การดูหนังที่มีภาพน่าสยดสยองติดตา

ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นประสบการณ์ที่ไม่ได้รื่นเริงซะทีเดียว ระหว่างที่ทำก็มักจะรู้สึกทรมานและถามตัวเองว่า “ฉันมาทำอะไรที่นี่” แต่สุดท้ายเมื่อผ่านไปได้แล้ว กลับมีความสุขและรู้สึกเติมเต็มเสียอย่างนั้น พวกเราแต่ละคนน่าจะเคยผ่านประสบการณ์ทำนองนี้มาไม่มากก็น้อย

แน่นอนว่ารสนิยมกิจกรรมสร้างความทุกข์ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะชอบดูหนังสยองขวัญ บางคนชอบไปวิ่งมาราธอน บางคนชอบกินของเผ็ด ฯลฯ แต่โดยรวม ๆ นั้นก็สรุปได้ว่า พวกเราทุกคนล้วนแกว่งเท้าหาเสี้ยนเข้าตัว ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง

ความทุกข์ 2 แบบที่เราเลือกจะมีได้

แบบแรกคือเพื่อความบันเทิง เช่น ของเผ็ด อาบน้ำร้อน หนังสยองขวัญ เซ็กส์ห่าม ๆ การออกกำลังหนัก ๆ ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นความทุกข์ที่เหยาะเข้ามาในชีวิตเพื่อเพิ่มสีสันให้สนุกสนานมากขึ้น

ส่วนแบบที่สองคือเพื่อความหมายบางอย่างในชีวิต เช่น การปีนเขา การมีลูก ฯลฯ ซึ่งแม้จะมีจุดที่ทรมานอยากให้ผ่านพ้นไปไว ๆ แต่เมื่อมองภาพรวมแล้วเราจะรู้สึกภูมิใจกับมัน

ความทุกข์ 2 แบบนี้มีจุดต่างกันตรงที่แบบแรกนั้นเราสามารถคาดหวังล่วงหน้าได้ว่ามันจะเกิดขึ้น และเราก็เลือกที่จะวิ่งเข้าหามันด้วยความเต็มใจ

แต่แบบที่ 2 นั้นคาดเดาระหว่างทางได้ยากกว่า ไม่มีใครอยากประสบอุบัติเหตุหรือความผิดหวังระหว่างหนทางการวิ่งมาราธอนหรอก แต่เพราะความคาดเดาไม่ได้นี่แหละ ที่ทำให้ประสบการณ์นี้สนุกในรูปแบบของมัน

แต่จริง ๆ แล้วเราสามารถมีความสุขและความทุกข์ในเวลาเดียวกันได้เหรอ?

ถ้าว่ากันตามหลักการจริง ๆ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะแค่ความหมายของ 2 คำนี้ก็ต่างกันแล้ว

ความสุขคือการไม่มีความทุกข์ ส่วนความทุกข์ก็คือการไม่มีความสุข ไม่มีทางที่เราจะรู้สึกพร้อม ๆ กัน 2 อย่างได้ เหมือนอากาศร้อนกับอากาศหนาว ที่เราคงไม่บอกว่าตอนนี้รู้สึก “ทั้งร้อนและหนาว” ในเวลาเดียวกันหรอก (นอกจากจะป่วย)

จึงเป็นไปได้ว่า ความทุกข์นั้นไม่ได้ทำให้เราสุขใจ แต่เราเลือกที่จะมีความทุกข์เพราะรู้ว่ามัน “คุ้มค่า” เนื่องจากความทุกข์นั้นจะให้อะไรบางอย่างตอบแทน

เช่น การยอมวิ่งฝ่าแดดออกไปนอกบ้านเพื่อจะไปหยิบพัสดุที่รอคอย, การเข้าผ่าตัดเพื่อรักษาโรคเรื้อรัง, การนั่งรอเซ็ง ๆ ระหว่างต่อใบขับขี่ เป็นต้น

ความเจ็บปวดอาจไม่ได้นำพามาซึ่งประสบการณ์ด้านลบเสมอไป

เห็นได้จากคนบางกลุ่มที่มีภาวะทางร่างกายอย่างเช่น Congenital analgesia เป็นภาวะที่ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดทางกาย ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นเรื่องดี แต่จริง ๆ มีภัยซ่อนอยู่คือพอไม่รู้สึกเจ็บปวด ก็จะไม่หลีกหนี ทำให้คนกลุ่มนี้มีอายุสั้น ในแง่นี้จะเห็นได้ว่าความเจ็บปวดก็มีข้อดีตรงที่ช่วยให้ร่างกายหลีกหนีภัยได้ท่วงทัน

หรืออีกภาวะก็คือ Pain asymbolia เป็นภาวะที่รู้สึกถึงความเจ็บปวดทางกาย แต่จิตใจไม่รู้สึกว่ามันทุกข์ทรมานอะไร ถ้าให้เปรียบง่าย ๆ เหมือนเรารู้ตัวว่ากำลังเจ็บปวดตรงไหนสักที่ในร่างกาย แต่หมอบอกว่า ไม่ต้องห่วง มันไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร จากตอนแรกที่เรากังวล กลัว เราก็จะปล่อยชิลกับความเจ็บปวดนั้น แม้จะเป็นความเจ็บปวดเดียวกัน แต่ปฏิกิริยาที่เรามีต่อมันได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง

ในกรณีแบบนี้ ได้พิสูจน์แล้วว่า จริง ๆ ความเจ็บปวดก็สามารถสร้างประสบการณ์ที่ไม่แย่ได้ การมองว่าความทุกข์กับความสุขนั้นเป็นคนละเรื่องกัน ไม่มีทางพาดเกี่ยวกัน เป็นเหมือนขั้วอากาศร้อนและหนาวที่ไม่มีทางมาบรรจบกันนั้นเป็นความเข้าใจที่ผิด

มนุษย์เราสามารถรู้สึกหลายอย่างได้พร้อมกัน ยกตัวอย่างเช่น ความกลัว หากเรากำลังเผชิญหน้ากับเสือ เราก็คงตัวสั่น เหงื่อตก เพราะกลัวที่จะโดนเขมือบ

แต่หากเป็นสถานการณ์เดียวกัน เพียงปรับเป็น virtual reality เราก็อาจจะยังกลัวอยู่ แต่มันไม่ได้ถึงขั้นร้ายแรงเพราะเรารู้ว่ายังไงเราก็ไม่ตาย จากความกลัวที่เป็นประสบการณ์ด้านลบ กลายเป็นมีความสนุกและตื่นเต้นแฝงเข้ามาอยู่ ทำให้ประสบการณ์โดยรวมเป็นประสบการณ์ที่ดีได้

ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ก็เหมารวมไปถึงเครื่องเล่นหวาดเสียว หนังสยองขวัญ บ้านผีสิง กระโดดบันจี้จัมพ์ ด้วยเช่นกัน

อีกหนึ่งตัวอย่างคือความโกรธ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วประสบการณ์การโกรธอะไรสักอย่างมักเป็นเรื่องแย่ แต่เราสามารถดื่มด่ำในความโกรธได้เช่นกันผ่านการวาดฝันการแก้แค้น หรือใช้ประโยชน์จากความโกรธในการต่อรองถกเถียงกับผู้คน ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าฝ่ายที่โกรธกว่ามักจะชนะในการโต้เถียง

หรือลองดูความเศร้าก็ได้ ปกติเราจะเศร้าเมื่อเจอเหตุการณ์ร้าย ๆ แต่ก็เป็นไปได้ที่เราจะเพลิดเพลินไปกับความเศร้านั้นตราบใดที่มัน “ไม่ได้เศร้าขนาดนั้น” เช่น การดูหนังเศร้าหรือฟังเพลงเศร้าในยามที่จิตใจเราปกติดี เราโอเคกับสิ่งนี้เพราะความเศร้านั้นไม่ได้เกิดขึ้นกับเราจริง ๆ

ทีนี้ลองหันดูทางด้าน “ความทุกข์ทางกาย” ลองคิดสภาพว่าหัวใจเราเต้นแรง เหงื่อแตกพลั่ก หอบแฮ่กเพื่อโกยอากาศเข้าปอด นี่คงเป็นสภาพที่ทรมานมากหากเรานั่งอยู่เฉย ๆ หรือกำลังนอนหลับ แต่ถ้าสภาพนี้เกิดขึ้นหลังเราวิ่งมาราธอนเสร็จ เรากลับรู้สึกดื่มด่ำในความสำเร็จและสดชื่นด้วยซ้ำ

เพียงแค่พลิกสถานการณ์ อาการเดียวกันก็เปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อมันได้

ในทางตรงกันข้ามกับ “ความทุกข์ที่รื่นรมย์” มนุษย์เราอาจเจอ “ความสุขที่ขื่นขม” ได้เช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า แม้ว่าจะเจอเหตุการณ์ที่แฮปปี้ แต่พวกเขาอาจคิดว่าไม่สมควรได้รับความสุขนี้ หรือบางคนเมื่อเจอความสุขก็อาจคิดต่อว่า ต่อไปจะต้องเจอเรื่องทุกข์แน่ ๆ

สิ่งนี้อาจสะท้อนออกมาได้จากความแตกต่างด้านวัฒนธรรมเหมือนกัน งานวิจัยพบว่า ชาวเอเชียมักมีมุมมองที่ “กังขาต่อความสุข” มากกว่าชาวตะวันตก โดยมองว่าความสุขและความทุกข์นั้นมาควบคู่กัน

ความสุขคือสิ่งที่เราต้องการจริงหรือ?

หลายคนคงตอบว่า แน่นอนสิ ใคร ๆ ก็ต้องอยากมีความสุขกันทั้งนั้น นักจิตวิทยาอย่าง Sigmund Freud และ Daniel Gilbert ก็มองตรงกันว่ามนุษย์วิ่งไล่หาความสุข และต้องการลดทอนความทุกข์

แต่ถึงอย่างนั้นบางคนก็มองว่าคำว่า “ความสุข” นั้นกว้างไป มันไม่ได้ตรงตัวขนาดนั้นได้ซะหน่อย เช่น บางคนมองว่าความสุขนั้นต้องมาคู่กับศีลธรรมอันดีงามด้วย โดยเชื่อว่าหากใช้ชีวิตที่ขัดต่อศีลธรรม ก็จะไม่สามารถมีความสุขได้แบบสมบูรณ์ ซึ่งตรงนี้ก็มีงานวิจัยรองรับเหมือนกัน

ความสุข 2 แบบ

ในงานวิจัยของ Daniel Kahneman และทีม ได้แยกวิธีการวัดความสุขเป็น 2 แบบ นั่นคือ

  1. Experiencing Happiness : ความสุข ณ ปัจจุบัน
  2. Satisfaction: ความพอใจในชีวิตแบบรวม ๆ

พวกเขาค้นพบว่า 2 แบบนี้ไม่เหมือนกันซะทีเดียว งานวิจัยสรุปว่า พอเป็นการดูภาพรวมความพอใจของชีวิต เรามักจะเปรียบเทียบกับคนอื่น โดยมีปัจจัยอย่างเงินและการศึกษาที่ส่งผลอย่างมาก (ยิ่งเยอะ ยิ่งมีความสุข)​

แต่พอเป็นความสุข ณ ปัจจุบัน กลับกลายเป็นว่าปัจจัยภายนอกไม่ได้ส่งผลมากนัก เพราะของพวกนี้ถึงมีมากขึ้นเมื่อถึงจุดนึงก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงโมเมนต์ตรงหน้าเรามากนัก แต่ปัจจัยที่ส่งผลจะเป็นเรื่องของสุขภาพมากกว่า เพราะการที่มีสุขภาพดีหรือแย่ในปัจจุบัน ย่อมส่งผลต่อประสบการณ์ตรงหน้าแบบอัตโนมัติทันที

อ่านงานวิจัยของ Kahneman เพิ่มเติมใน สรุปหนังสือ Thinking, Fast and Slow: คิดเร็ว คิดช้า คิดอย่างไรให้ไม่โดนหลอก

ในเมื่อความสุขสามารถแบ่งออกได้ 2 ประเภทแบบนี้ แล้วแบบไหนล่ะที่ผู้คนต้องการ?

หนังสือสันนิษฐานว่า คนส่วนใหญ่น่าจะต้องการแบบที่ 2 หรือความพอใจในชีวิตแบบองค์รวมมากกว่า พวกเขาไม่ได้อยากมีชีวิตที่ไร้กังวลและสนุกสนานไปวัน ๆ แต่ต้องการอะไรที่มีความหมายมากกว่านั้น

แต่หากข้อสันนิษฐานนี้เป็นจริง นั่นหมายความว่า การเปรียบเทียบตนกับคนอื่น รวมไปถึงการหาเงินให้ได้เยอะ ๆ ย่อมเป็นสิ่งที่ต้องทำ แต่ฟังแบบนี้ก็ดูเป็นคำแนะนำที่ดูหิวกระหายไปหน่อย ยังมีตัวเลือกอื่นอีกมั้ย?

ศีลธรรมมีอยู่จริงมั้ย

อีกหนึ่งคำที่ชวนมาคุยถึงคือ “ความพึงพอใจ” (pleasure) ซึ่งฟังดูเฉพาะเจาะจงกว่าคำว่า “ความสุข” (happiness) และดูไม่กำกวมเท่า “ความพอใจ” (satisfaction)

(หมายเหตุ: พอแปลไทยจะรู้สึกว่าแต่ละคำไม่ค่อยต่างกันเท่าไร ให้ยึดที่ภาษาอังกฤษเป็นหลักก็ได้)

คนที่แสวงหาความพึงพอใจส่วนตัวเป็นหลัก (hedonists) นั้นมองว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นในชีวิต เป็นสิ่งที่ต้องแลกมาเพื่อความพึงพอใจที่ต้องการ เช่น การไดเอตเพื่อหุ่นที่ดี การเลี้ยงลูกเพื่อครอบครัวที่อบอุ่น การทำงานหนักเพื่อเงินทอง

ขยับไปมองด้าน “ศีลธรรม” ซึ่งบางคนคิดว่าเป็นองค์ประกอบของชีวิตที่มีความสุข ผู้เขียนมองว่าศีลธรรมนั้นเป็นอะไรที่มนุษย์ทุกคนมีโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แต่นักวิชาการสาย hedonist บางคนก็โต้แย้งว่า ศีลธรรมมันไม่มีอยู่จริงหรอก ที่คนเลือกจะทำความดี นั่นเพราะถูกชักจูงโดยความต้องการที่จะพึงพอใจ และหลีกเลี่ยงความกังวลหรือความรู้สึกผิดต่างหาก

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัด ๆ ก็เช่น การให้เงินขอทาน หากมองในมุมแรก ก็คงคิดว่าคนให้นั้นช่างเป็นคนดีใจบุญมีศีลธรรม แต่หากมองในมุมที่สอง การให้เงินขอทานทำให้คนให้นั้นรู้สึกสบายใจ ถ้าเดินผ่านไปเฉย ๆ จะรู้สึกแย่ เขาเลยเลือกที่จะให้ ไม่ได้เกี่ยวกับการมีศีลธรรมแต่อย่างใด เป็นการให้เพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีล้วน ๆ

ผู้เขียนไม่บายมุมมองนี้เท่าไร เขามองว่าการที่เราเลือกจะทำอะไรหรือต้องการอะไรสักอย่างนั้นมันไม่ได้เพียงเพื่อความพึงพอใจส่วนตัวอย่างเดียว แต่มีอะไรที่ลึกกว่านั้น

ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ที่ทุ่มเทเพื่อลูกที่พิการ พวกเขาพร้อมสละความสบายส่วนตัว และหวังจะให้ลูกพบเจอแต่สิ่งดี ๆ แม้จะรู้ว่าลูกไม่สามารถเลี้ยงดูตนเพื่อตอบแทนได้ ถ้าไปถามพวกเขาว่าทำไมต้องทุ่มเทขนาดนั้น พวกเขาก็คงตอบง่าย ๆ ว่าเพราะพวกเขารักลูก

ทีนี้ นักวิชาการสาย hedonist ก็คงจะมองว่า ไม่จริงหรอก พวกคุณทำไปก็เพื่อความพึงพอใจส่วนตัว เพราะถ้าพวกคุณไม่เลี้ยงดูลูกตัวเอง ก็คงรู้สึกผิดไปจนตายแน่นอน

แต่การพูดแบบนี้ มันเหมือนกับจะสันนิษฐานว่า ถ้ามียาที่สามารถขจัดความรู้สึกผิดที่เกิดจากการทอดทิ้งลูกได้ พ่อแม่ก็จะกินยานั้นและทอดทิ้งลูกได้แบบสบายใจ ซึ่งดูไปดูมาก็แหม่ง ๆ นะ จะมีพ่อแม่ที่ไหนเลือกทางนี้กันล่ะ

ถึงอย่างนั้นผู้เขียนก็ไม่ได้คัดค้านซะทีเดียวว่ามนุษย์ไม่ได้แสวงหาความพึงพอใจส่วนตัว แน่นอนว่าบางพฤติกรรมก็มาจากความต้องการความพึงพอใจส่วนตัวแหละ แต่ผู้เขียนสันนิษฐานว่ามันอาจจะมีเหตุผลมากกว่าแค่ความพึงพอใจส่วนตัว แต่มีความต้องการที่จะให้สังคมรอบด้านพัฒนาขึ้น และความต้องการที่จะเห็นความยุติธรรมด้วย

หลายครั้งคนเราเข้าใจผิดเกี่ยวกับระบบความคิดของตัวเอง บางคนคิดว่าตัวเองเป็น hedonist แต่จริง ๆ ก็ไม่ได้เป็น

ถ้าให้ยกตัวอย่าง ผู้เขียนบอกว่าเคยเจอนักเรียนที่ไม่เชื่อเรื่อง “ความถูกผิด” แต่พอผู้เขียนซึ่งเป็นอาจารย์เอ่ยปากว่าจะให้เกรดต่ำ ๆ กับนักเรียนผิวสี จะไม่ให้นักเรียนข้ามเพศเข้าเรียน และจะไม่ให้นักเรียนหญิงเข้าฟังหัวข้อที่มีเนื้อหาซับซ้อน นักเรียนกลุ่มที่ไม่เชื่อเรื่องความถูกผิดถึงกับลุกพรึ่บด้วยความไม่พอใจ และสุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าแม้สิ่งที่ผู้เขียน (แกล้ง) จะทำนั้นไม่ได้กระทบกับตน หรือกระทบกับการเรียนการสอน แต่มันก็ฟังดู “ผิด” จริง ๆ นั่นแหละ

ถามว่าแล้วมันมีคนที่เป็น hedonist จริง ๆ มั้ย แบบที่เห็นแก่ตัว 100% และไม่สนใจชาวบ้านเลย ผู้เขียนมองว่าก็คงมีแหละ อย่างพวกคนโรคจิตที่ฆ่าคนได้แบบไม่มีความเมตตา อะไรแบบนี้

ความสุข VS ความจริง

ถึงจุดนี้ ผู้เขียนมองว่ามนุษย์มีแรงจูงใจหลายแบบ บางอย่างมุ่งไปที่ความพึงพอใจส่วนตัว เช่น ความสุขทางเพศ อาหารการกิน หรือกระทั่งการหาความทุกข์เล็ก ๆ น้อย ๆ ใส่ตัวตามแต่รสนิยมแต่ละคน

อื่น ๆ มุ่งไปที่ศีลธรรมอันดีงาม ความต้องการที่จะทำดี และแสวงหาความยุติธรรม

และสุดท้าย มุ่งไปที่การหาความหมายของชีวิต ตัวอย่างเช่น การออกรบ ปีนเขา และการเป็นพ่อแม่คน เป็นต้น

แรงจูงใจเหล่านี้มาพร้อมกันได้ มนุษย์เราสามารถมีชีวิตที่ทั้งน่าพึงพอใจและมีความหมาย และถึงแม้ “ความหมาย” ดังกล่าวจะมีความทุกข์แทรก แต่ชีวิตที่มีความหมายก็ไม่จำเป็นต้องทุกข์ระทมเสมอไป มันอาจจะมีบางช่วงเวลาที่เหน็ดเหนื่อยกดดันไปบ้าง แต่ถ้ามองให้สนุกก็ได้เช่นกัน

แล้วเราจะสามารถจัดลำดับแรงจูงใจเหล่านี้ได้มั้ย?

นักปรัชญานามว่า Robert Nozick ยกตัวอย่างเป็น Experience Machine เป็นเครื่องที่เพียงแค่เราเสียบปลั๊ก ก็สามารถสัมผัสภาพจำลองประสบการณ์ความสุขและความพึงพอใจทุกอย่าง (ให้อธิบายง่าย ๆ ก็เป็น Virtual Reality นั่นแหละ) ซึ่งเครื่องนี้จะลบความทรงจำในชีวิตจริงของเราจนเกลี้ยง ให้เข้าใจว่าตัวเราใน VR นั้นเป็นชีวิตจริง

หลายคนรวมถึงตัวคุณ Nozick และผู้เขียนเองนั้นปฏิเสธที่จะใช้เครื่องนี้เพราะมองว่ายังไงนี่ก็ไม่ใช่ประสบการณ์จริง ข้อสังเกตนี้พอจะบ่งบอกได้ว่าหลายคนยังเลือกที่จะอยู่กับ “ความจริง” มากกว่า “ความสุข”

ถึงอย่างนั้น บางคนก็ค้านว่า ที่พวกคุณเลือกแบบนั้นเพราะกำลังเจอ status quo bias หรือการลำเอียงกับสถานะปัจจุบันไง แนว ๆ ว่าปัจจุบันก็ดีอยู่แล้วจะเปลี่ยนทำไม แต่ถ้าลองคิดกลับกัน สมมติว่าชีวิตของเราตอนนี้เป็นเรื่องสมมติทั้งหมด เราตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองอยู่ในห้องแล็บ ทุกอย่างที่เคยประสบพบเจอมานั้นเป็นเรื่องสมมติ เราจะยังเลือกที่จะไปเผชิญความจริงมั้ย หรือจะกลับไปใช้ชีวิตในโลกสมมติที่ตัวเองคุ้นเคยเหมือนเดิม อันนี้ก็น่าคิดเหมือนกัน

ชีวิตที่มีความสุข VS ชีวิตที่มีความหมาย

ชีวิตที่มีความสุขกับความหมายนั้นไปด้วยกันได้มั้ย? อะไรคือปัจจัยที่แยกระหว่าง 2 อย่างนี้?

เรามาเริ่มหาคำตอบจากงานวิจัยโดย Roy Baumeister และทีมงานก่อน พวกเขาให้ผู้ทำแบบทดสอบกว่าร้อยคนให้คะแนนความสุขและความหมายในชีวิตของตน รวมถึงให้บอกปัจจัยต่าง ๆ ในชีวิตของแต่ละคนด้วย เพื่อดูความสัมพันธ์ของคะแนนกับรูปแบบชีวิต

ผลปรากฏว่า บางปัจจัยก็สัมพันธ์กับทั้งความสุขและความหมาย เช่น ถ้าใครบอกว่าตัวเองกำลังเบื่อหน่าย คนคนนั้นก็มีแนวโน้มว่าจะมองชีวิตตนไม่ค่อยมีความสุขและความหมายสักเท่าไร เช่นเดียวกันกับการไม่มีสังคม หรือมองว่าตัวเองกำลังเหงา สิ่งนี้ก็ส่งผลร้ายต่อความสุขและความหมายในชีวิตเหมือนกัน

และแน่นอนว่า สิ่งหนึ่งที่เด่นชัดคือความสุขกับความหมายนั้นมีความสัมพันธ์ที่เด่นชัด คนที่มีความสุขมาก ๆ มักจะบอกว่าชีวิตพวกเขามีความหมายมาก ๆ และในทางตรงกันข้ามก็เช่นกัน

ถึงอย่างนั้น บางคนก็มีสิ่งหนึ่งมาก แต่มีอีกสิ่งน้อย และบางปัจจัยก็สัมพันธ์กับสิ่งหนึ่งแต่ไม่สัมพันธ์กับอีกสิ่ง หลัก ๆ คือ:

  1. สุขภาพ ความรู้สึกดี การมีเงิน ปัจจัยเหล่านี้สัมพันธ์กับการมีความสุข แต่ไม่ค่อยสัมพันธ์กับความหมายของชีวิตเท่าไร
  2. ยิ่งผู้คนคิดถึงอดีตหรืออนาคตมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งมองว่าชีวิตตนมีความหมายมาก และมีความสุขน้อย
  3. ถ้ามองว่าชีวิตช่างง่ายดาย จะมองว่าชีวิตมีความสุขแต่ไม่ค่อยมีความหมาย แต่ถ้ามองว่าชีวิตลำบาก ก็จะรู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย แต่ไม่ค่อยมีความสุข
  4. คนที่มองว่าตัวเองเป็น “ผู้ให้” จะรู้สึกว่าชีวิตมีความหมาย แต่ไม่ค่อยมีความสุข ส่วนคนที่มองตัวเองเป็น “ผู้รับ” จะมองว่าชีวิตมีความสุขแต่ไม่ค่อยมีความหมาย

สรุปคือ คนที่มีความสุขมักจะเป็นคนที่แข็งแรง มีฐานะการเงินดี และมีชีวิตที่น่าพึงพอใจ ส่วนคนที่มองว่าชีวิตตนมีความหมายนั้นอาจจะไม่ได้มีปัจจัยข้างต้นเลย โดยพวกเขาจะมีการตั้งเป้าหมายที่ท้าทาย และมีความกังวลในชีวิตมากกว่า

ทีนี้มาลองดูอีกผลสำรวจกัน เป็นของ Gallup ในปี 2007 ซึ่งสอบถามผู้คนกว่า 140,000 คนจาก 132 ประเทศ ในประเด็นเดิมอันว่าด้วยความสุขและความหมายของชีวิต

ประเทศที่มีความสุขมากก็เดาได้ไม่ยากเลย ไม่ว่าจะเป็นนอร์เวย์ ออสเตรเลีย แคนาดา ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นประเทศที่ร่ำรวย ค่อนข้างปลอดภัย สงบสุข มีระบบการสนับสนุนทางสังคมที่ดี เป็นอีกหนึ่งผลโพลที่สรุปได้ว่าความพอใจในชีวิตนั้นมีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับ GDP ต่อประชากร

ในทางกลับกัน ประเทศที่ผู้คนบอกว่าชีวิตมีความหมายมากสุด ตัวอย่างเช่น เอกัวดอร์ ลาว แชด แองโกลา คิวบา คูเวต ฯลฯ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่ขาดแคลนเงินทอง ความปลอดภัย และความสงบสุข สรุปได้สั้น ๆ ตรงนี้ว่า GDP มีความสัมพันธ์ผกผันกันความหมายของชีวิต ยิ่งยากจนเท่าไร ผู้คนก็ยิ่งตอบว่าชีวิตตนมีความหมายมากเท่านั้น

หนึ่งปัจจัยที่มีผลคือ “ศาสนา” โดยคนที่ตอบว่าตนนับถือศาสนานั้นก็มักจะตอบว่าชีวิตตนมีความหมาย จึงอาจสรุปได้อ้อม ๆ ว่าความยากจนกับความหมายของชีวิตนั้นข้องเกี่ยวกัน

จากตรงนี้ คุณ Adam Alter สันนิษฐานว่า เพราะความยากจนได้พรากความสุขระยะสั้นจากคนพวกนี้ไป พวกเขาเลยให้น้ำหนักกับปัจจัยระยะยาว เช่น ทุ่มเวลาให้กับความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง และความนับถือพระเจ้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะก่อให้เกิดความหมายในระยะยาว

หากให้เลือกความสุขกับความหมายของชีวิตจากผลสำรวจนี้ คิดว่าใคร ๆ ก็คงเลือก “ความสุข” เพราะคงไม่มีใครเลือกอยากไปอยู่ประเทศยากจนหรอกหากมีตัวเลือกให้ไปอยู่ประเทศรวย ๆ สบาย ๆ

แต่ผู้เขียนก็ยังยืนยันคำเดิมว่า เราสามารถมีทั้งความสุขและความหมายในชีวิตได้ จากผลโพลก็มีประเทศอย่างญี่ปุ่นและฝรั่งเศสที่รายงานว่าพวกเขามีทั้งความสุขและความหมายทั้งคู่เช่นกัน

บทที่ 2: หลงใหลในความเจ็บปวด (Benign Masochism)

การกรีดร้องสามารถแสดงออกถึงทั้งความเจ็บปวด และความสุขใจได้

เช่นเดียวกันกับการร้องไห้ที่เราสามารถหลั่งน้ำตาให้กับทั้งเรื่องทุกข์และสุข

หรือการยิ้มที่สามารถยิ้มให้ทั้งกับเรื่องสุขและเศร้า

เมื่อเราเผชิญอารมณ์ที่ล้นปรี่ สีหน้าของเรามักจะแสดงออกอย่างชัดเจน อาจถึงขั้นว่า หากมองหน้าเฉย ๆ เราอาจจะแยกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่าคนไหนกำลังสุข คนไหนกำลังเศร้า

พฤติกรรมของคนก็มีความปะปนอย่างนี้เหมือนกัน นักวิจัยพบเจอว่า เวลาที่คนมีความสุขมาก ๆ ก็มักจะบาลานซ์ตัวเองด้วยการหาอะไรที่ไม่ได้มีความสุขขนาดนั้นมาทำ ในขณะที่เวลาเผชิญความทุกข์มาก ๆ คนก็มักจะไปหาอะไรทำที่มีความสุข

ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่าเรากำลังเครียด ก็อาจจะออกไปหากิจกรรมทำ เช่น เล่นกีฬา ช้อปปิ้ง นัดเจอเพื่อน เพื่อให้ความทุกข์บรรเทาลง ในทางตรงกันข้าม หากเรากำลังมีความสุขมาก ๆ ก็อาจจะเริ่มเปิดใจในการทำกิจวัตรที่มักจะน่าเบื่อ เช่น ทำความสะอาดบ้าน ทำการบ้าน เป็นต้น

Benign Masochism

เมื่อพูดถึงคำว่า “มาโซคิสต์” หลายคนอาจจะนึกโยงไปถึงเรื่องเซ็กซ์ ซึ่งต้นกำเนิดของคำนี้ก็มาจากเซ็กซ์จริง ๆ นั่นแหละ

แต่เมื่อเวลาผ่านไป คำนี้ถูกใช้อย่างกว้างขวางมากขึ้น ไม่ใช่แค่กับมุมของเซ็กซ์อย่างเดียว

ผู้เขียนอยากจะเจาะลึกไปที่ Benign Masochism ซึ่งเป็นความหลงใหลในความเจ็บปวดที่ไม่ได้ส่งผลร้ายต่อร่างกาย เป็นประสบการณ์ที่อาจจะไม่สบายตัวนักแต่ก็ไม่ได้เป็นอันตราย ให้ยกตัวอย่างแบบเห็นภาพง่าย ๆ ก็เช่น การไปซาวน่า หรือ การดูหนังสยองขวัญ

จะสุขหรือทุกข์ อยู่ที่ “การเปรียบเทียบ”

ห้องอุ่น ๆ จะไม่ได้สร้างความสุขให้เราเท่าไร หากข้างนอกไม่ได้มีอากาศหนาวเหน็บ

อาหารอร่อย ๆ อาจไม่ได้ทำให้เราอิ่มเอมใจมากนัก หากจริง ๆ แล้วเราไม่ได้หิวขนาดนั้น

ความเจ็บปวดที่คาดไว้ อาจจะไม่ได้เจ็บมากขนาดนั้น หากใจคิดถึง worst case scenerio ไว้ก่อนแล้ว

ผู้เขียนมองว่า การที่เรามีความสุขหรือทุกข์นั้น ไม่ได้มาจากประสบการณ์เดี่ยว ๆ แต่มาจากประสบการณ์นั้นเมื่อเปรียบเทียบกับประสบการณ์อื่น ๆ ต่างหาก

หากเราไม่เคยทุกข์มาก่อน ก็คงไม่รู้จักว่าความสุขเป็นแบบไหน

หากเคยสำราญใจมาก่อน เมื่อขาดอะไรไปก็คงเกิดความทุกข์

ความสุขและทุกข์นั้นเป็นของคู่กัน ส่งเสริมกันและกัน สิ่งนี้สอดคล้องกับงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ด้วยเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ เลยพอจะอธิบายได้ว่า ทำไมคนบางคนถึงเลือกที่จะพบเจอความเจ็บปวด นั่นเพราะพวกเขารู้ว่า ความสุขที่ตามมานั้น จะหอมหวานมาก ๆ นั่นเอง

แต่ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่เสมอไป ไม่ใช่ว่าทุกความเจ็บปวดจะคุ้มค่ากับความสุขที่ตามมา แน่นอนว่าเราคงไม่เอาหัวโขกกำแพงเพียงเพื่อให้รู้สึกดีตอนที่หยุดโขกหรอก

ดังนั้น จึงมีสิ่งที่เรียกว่า Benign Masochism ซึ่งเกิดจากความเจ็บปวดที่ไม่ได้ส่งผลร้ายต่อร่างกาย เป็นความเจ็บปวดเพียงชั่วครู่ชั่วคราว แป๊บ ๆ ก็หายไป เป็นความเจ็บปวดชนิดพิเศษที่คุ้มค่ากับการได้ความสุขตามมาทีหลัง

และอันที่จริง ประสบการณ์ความเจ็บปวดเหล่านี้อาจจะไม่ได้แย่อย่างที่คิดก็ได้ บางคนชอบความร้อนของซาวน่า ชอบความเผ็ดของพริก ชอบความน่าหวาดหวั่นของหนังผี พวกเขามองว่าประสบการณ์ด้านลบเหล่านี้มีคุณค่าในตัวของมันเอง ไม่ได้รู้สึกฝืนที่จะเสพมัน

สิ่งนี้ตรงกับการค้นพบของ Daniel Kahneman เหมือนกันตรงที่ว่า คนจะรู้สึกดีกับประสบการณ์ที่เริ่มร้าย-จบดี มากกว่าเริ่มดี-จบร้าย เพราะคนเราให้น้ำหนักของประสบการณ์แต่ละช่วงไม่เท่ากัน โดยจะให้น้ำหนักกับตอนจบมากกว่าตอนเริ่มหรือระหว่างทาง

อีกข้อดีของความเจ็บปวดคือมันทำให้เราโฟกัสอยู่กับสิ่งตรงหน้าจนแทบจะลืมสิ่งอื่นในชีวิตไปเลย

ในชีวิตประจำวันเรามักเผชิญกับเรื่องราวหลากหลาย ความกดดันหรือความกังวลต่าง ๆ หน้าที่ความรับผิดชอบ ทั้งหมดทั้งมวลนี้อาจทำให้เรารู้สึกหนักอึ้ง การประสบความเจ็บปวดสักหน่อยจะทำให้เราลืมเรื่องพวกนี้ทั้งหมดเพราะจิตใจเราจะโฟกัสกับความเจ็บปวดที่แสนจะดึงดูดความสนใจนั้นแทน

พูดแบบนี้อาจจะยังไม่เห็นภาพ ขอตัวอย่างก็เช่น การออกกำลังกายหนัก ๆ นั่นเอง เราจะรู้สึกเหนื่อย ปวดร้าว ทรมาน แต่จิตใจแทบจะไม่วอกแวกคิดเรื่องอื่นเลย คิดแต่ว่าต้องเอาชนะความเจ็บปวดตรงหน้าให้ได้ พอเปรียบแบบนี้ ความเจ็บปวดแทบจะเปรียบเสมือนการทำสมาธิเลย

ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ว่าทุกความเจ็บปวดจะเป็นเรื่องน่ายินดีเสมอไป ลองมีคนมาบังคับให้เราวิ่งรอบสนามดูสิ เราคงไม่แฮปปี้แน่นอน แต่ถ้าเป็นตัวเราเลือกที่จะวิ่งรอบสนามเอง ความน่าขุ่นเคืองใจก็จะลดน้อยลง เราคงเลือกวิ่งเพื่อคาดหวังรางวัลเป็นอะไรบางอย่าง

แกนสำคัญคือ “ความสมัครใจ” และ “การสามารถควบคุมได้” เมื่อนั้นแหละความเจ็บปวดจะเป็นสิ่งที่น่าอภิรมย์

ถึงอย่างนั้น ไม่ใช่ทุกความเจ็บปวดแบบสมัครใจจะเป็นสิ่งที่ดี

การเล่น BDSM กับการทำร้ายตัวเองนั้น แม้ว่าจะเกิดขึ้นโดยสมัครใจเหมือนกัน แต่ต้นเหตุและผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน

BDSM นั้นมีเพื่อความสุขด้านเซ็กซ์ และไม่ได้มีอันตรายอะไรตราบใดที่อยู่ในขอบเขตของการยินยอม แต่การทำร้ายตัวเองนั้นมักเกิดจากความรู้สึกด้านลบ เช่น ความรู้สึกผิด การโทษตัวเอง ความเครียด คนเลือกที่จะทำร้ายตัวเองเพื่อจะได้ปลดปล่อยตัวเองออกจากความรู้สึกนี้ และมีการรายงานจริง ๆ ว่าพวกเขารู้สึกดีขึ้น

ตรงนี้ก็มีงานวิจัยรองรับเหมือนกัน ว่าคนที่รู้สึกผิด มีแนวโน้มที่จะทำกิจกรรมที่สร้างความเจ็บปวดให้ตัวเองมากกว่าคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไร

นอกจากความรู้สึกผิด อีกเหตุผลของการทำร้ายตัวเองอาจเป็น “การส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ” เป็นการเรียกร้องความสนใจที่ต้องลงทุนลงแรง จึงดูน่าเชื่อถือกว่าการแค่เอ่ยปากขอความช่วยเหลือเฉย ๆ

และไม่ใช่ทุกความเจ็บปวดที่สิ้นสุดจะตามมาด้วยความสุข เช่น กรณีของอาการคลื่นไส้ เป็นอาการที่ถึงแม้จะหายแล้วแต่ความไม่สบายตัวก็ยังคงอยู่ หรือความเบื่อหน่าย ที่ในภาพรวมก็ไม่น่าอภิรมย์เท่าไรนัก คนบางคนถึงขั้นยอมแกว่งเท้าหาเสี้ยนเพื่อหนีความเบื่อหน่ายในชีวิตเลย

บทที่ 3: ความพึงพอใจ (Pleasure)

มนุษย์นั้นมีหลายอย่างที่โดดเด่นและแตกต่างจากสัตว์ชนิดอื่น ๆ หนึ่งในนั้นคือความสามารถในการจินตนาการ และจินตนาการนี่แหละที่ก่อให้เกิดความพึงพอใจบางประเภท

ถึงอย่างนั้น วิวัฒนาการของของจินตนาการก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับความพึงพอใจสักเท่าไร

สาเหตุแรกมาจากการที่มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม ต้องมีปฏิสัมพันธ์กัน การมีจินตนาการจะช่วยให้สามารถเข้าใจคนอื่นได้ แม้ไม่ต้องมีประสบการณ์ที่เหมือนกัน

สาเหตุที่สองมาจากการวางแผน มนุษย์สามารถใช้จินตนาการคาดการณ์ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นจากทางเลือกต่าง ๆ ที่ยังไม่เกิดขึ้นในอนาคตได้ ต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่ไม่ได้มีความสามารถนี้ และใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันอย่างเดียว

การใช้ประโยชน์จากจินตนาการของเรายิ่งล้ำขึ้นไปอีกในปัจจุบัน สังเกตว่าความพึงพอใจส่วนใหญ่ในชีวิตนั้นมักเกิดจากสิ่งสมมติที่สร้างจากจินตนาการทั้งสิ้น เช่น การดูซีรีส์ การอ่านหนังสือ การเล่นเกม กลายเป็นว่าในบางมุมนั้น จินตนาการแทบจะมาแทนที่ชีวิตจริงแล้ว บางทีเราอาจจะมีความสุขกับการจินตนาการถึงทริปเที่ยวครั้งต่อไป มากกว่าตอนไปเที่ยวจริง ๆ ซะอีก

นอกจากการจินตนาการถึงความสุข การดำดิ่งในจินตนาการแห่งความเศร้า หรือความกลัว ก็สามารถสร้างความพึงพอใจให้เราอย่างประหลาด ๆ ด้วยเหมือนกัน นึกง่าย ๆ เลย ซีนโหด ๆ ในฉากหนัง เพลงเศร้า ๆ ถ้าคนไม่ชอบก็คงไม่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย งานวิจัยก็คอนเฟิร์มว่าคนที่ชอบอะไรแบบนี้นี่เค้าชอบจริงนะ ชอบทั้ง ๆ ที่กลัวและเศร้านี่แหละ

การจะเอ็นจอยกับประสบการณ์ด้านลบนั้น มีจุดที่ต้องทำให้สมดุล นั่นคือ ประสบการณ์นั้นจะต้องทำให้เรามีอารมณ์ร่วมด้วย แต่ขณะเดียวกันก็ไม่บีบคั้นจนเกินไป เป็นจุดที่เรายังปลอดภัย นี่คือเหตุผลที่บางคนนิยมชมชอบหนังผีหรือหนังเศร้า พวกเขาได้สัมผัสความกลัว ความเศร้าก็จริง แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริงกับพวกเขา (ลองคิดว่าเจอผีหลอกหรือฆาตกรไล่ฆ่าในชีวิตจริง ก็คงไม่บันเทิงหรอก)

สิ่งที่ทำให้เรื่องราวสมมติต่าง ๆ นั้นดึงดูดใจเราจนอยากติดตามเรื่อย ๆ แกนหลักเลยคือ “อุปสรรค”

สังเกตว่าส่วนใหญ่หนัง ซีรีส์ หรือหนังสือที่สนุก ๆ นั้นตัวละครต้องเจออุปสรรคอะไรบางอย่าง มันถึงจะน่าติดตาม ถ้าชีวิตตัวละครราบรื่นไปซะหมด เรื่องราวนั้นคงน่าเบื่อมาก

อีกหนึ่งทฤษฎีที่มารองรับความชื่นชอบในเรื่องสมมติคือ “การละเล่น”

การละเล่นนั้นดูเผิน ๆ เหมือนเป็นการทำเพื่อความสนุก แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นวิวัฒนาการของมนุษย์ในการรับมือกับสิ่งต่าง ๆ แบบปลอดภัยไม่เจ็บตัวเกิน

เราซ้อมต่อสู้เพื่อให้มั่นใจว่าเวลาต้องสู้จริงเราจะไม่แพ้ นักบินซ้อมขับเครื่องบินผ่าน simulator เพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถรับมือกับปัญหาได้

การเสพเรื่องราวสมมติผ่านหนังหรือหนังสือ อันที่จริงแล้วเป็นการซ้อมว่าหากเราต้องเจอสถานการณ์แบบตัวละคร มันเป็นยังไง แน่นอนว่ามันไม่ได้ straightforward ไปซะทุกอย่าง คือชีวิตจริงเราคงไม่ต้องสู้กับมังกรหรือหนีซอมบี้หรอก แต่ภายใต้โลกแฟนตาซีนั้น มักจะมีคติหรือข้อคิดที่สามารถนำไปปรับใช้กับชีวิตได้

เหตุผลสุดท้าย คือความชื่นชอบในความยุติธรรม

พล็อตเรื่องที่สนุกนั้นมักจะไม่ได้มีแค่คนดีอย่างเดียว แต่ต้องมีคนชั่วผสมปนเปมาด้วยไม่มากก็น้อย เพื่อที่จะได้มีการปะทะกัน และลงเอยด้วยธรรมะชนะอธรรม งานวิจัยเจอว่าสมองส่วนที่เกี่ยวข้องการความพึงพอใจนั้นจะแอ็กทีฟขึ้นมาทันทีเมื่อเราได้เห็นคนดีได้ดี คนชั่วได้ชั่ว

ซึ่งสิ่งนี้ก็เข้าใจได้ในเชิงวิวัฒนาการ เพราะถ้ามนุษย์ไม่เกิดความรู้สึกแบบนี้ ก็คงอยู่ร่วมกันในสังคมยาก

บทที่ 4: การกระเสือกกระสน (Struggle)

หากเป็นไปได้ เราคงไม่อยากประสบพบเจอประสบการณ์ด้านลบ ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บปวด ความขายหน้า ความเหนื่อยหน่าย

การกระเสือกระสนลงแรงทำอะไรสักอย่าง ก็ถูกมองว่าทำให้เกิดความรู้สึกประเภทเดียวกันกับลิสต์ด้านบน

เราอยากจะออกแรงให้น้อยที่สุด อยากให้ชีวิตสบายที่สุด ถ้าใครต้องการมาใช้งานอะไรเรา หรืออยากให้เราทำอะไรที่ทำให้รู้สึกไม่ดี ก็ต้องมีของตอบแทนที่คุ้มค่าหน่อย

ในมุมจิตวิทยา เราอธิบายปรากฏการณ์นี้ว่า Law of Least Effort

นั่นคือ…สิ่งมีชีวิตมักจะเลือกเส้นทางที่ใช้แรงกายแรงใจน้อยที่สุด เลือกเส้นทางที่สะดวกสบายที่สุด เพราะการใช้ Effort นั้นเป็นความกระเสือกกระสนที่กินแรงเหลือเกิน

การตัดสินใจหลาย ๆ อย่างของเราก็ขึ้นอยู่กับกฏนี้ ลองคิดดูว่า สมมติเราอยากลงไปกินอาหารร้านข้างนอกมาก แต่การจะออกไปข้างนอกต้องเดินฝ่าแดดเปรี้ยง ๆ เราอาจจะล้มเลิกความตั้งใจแล้วสั่งอาหารมากินที่บ้านแทนแม้ว่ามันจะไม่ใช่ช้อยส์ที่ต้องการที่สุด แต่เราเลือกความสะดวกสบายมาก่อน

และเพราะการใช้ Effort มันต้องใช้แรง มนุษย์เลยใช้สิ่งนี้เป็นสัญญาณเพื่อพิสูจน์อะไรสักอย่าง ตัวอย่างเช่น พิสูจน์ความรัก

หากเรารักใครสักคนมาก ๆ เราก็มักจะพร้อมทุ่มเทให้เขา ยอมเสียสละ หาสิ่งของต่าง ๆ มาประเคน คอยดูแล ซื้อของแทนใจ ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จริง ๆ แล้วมันก็เป็น Effort เพราะมันไม่ใช่ทางเลือกที่สุขสบาย แต่มนุษย์เราก็ทำเพื่อพิสูจน์ความรักที่มีให้อีกฝ่าย

“แหวนหมั้น” เป็นสิ่งที่คู่รักมีให้แก่กันเท่านั้น ส่วนคนที่ไม่ได้รักกัน ก็จะมองว่ามันเป็น Effort ที่เปลืองเงิน นี่แหละคือความแตกต่าง

Effort ไม่ได้หมายถึงเฉพาะแรงกายเท่านั้น

แต่ยังหมายรวมถึงแรงใจด้วย อะไรก็ตามที่เราต้องใช้สมอง ใช้ความตั้งใจ ใช้สมาธิในการจัดการมัน

ก็เหมือนร่างกายนั่นแหละ ยิ่งเราใช้แรงใจหนักหน่วงเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกเหนื่อยมากเท่านั้น ลองนึกถึงเวลาต้องทำข้อสอบเลขแบบไม่ใช้เครื่องคิดเลข หรือต้องนั่งทำงานเป็นเวลานาน ๆ ก็จะพอนึกภาพออก

น่าแปลกดีเหมือนกัน ทั้งที่การใช้แรงใจไม่ได้ส่งผลเหมือนการใช้ร่างกายด้วยซ้ำ ไม่น่าจะเหน็ดเหนื่อยหรือบาดเจ็บหากใช้มากเกินไป?

จริง ๆ แล้วการใช้แรงใจก็มีลิมิตเหมือนกัน มีการสันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะการใช้สมองคิดเรื่องต่าง ๆ นั้นก็ต้องใช้แหล่งพลังงานที่มีจำกัดอย่างกลูโคส เราจึงสามารถเหนื่อยทางใจได้ถ้าน้ำตาลไม่เพียงพอ (เป็นเหตุผลให้เวลาทำงานมาเหนื่อย ๆ ก็อยากจะหาของหวานกินให้หนำใจ)

แต่ข้อสันนิษฐานนี้ก็ถูกปัดตกไปเพราะความเป็นจริงคือแรงใจไม่ได้ดูดกลืนกลูโคสขนาดนั้น การออกกำลังกายต่างหากที่จะช่วยเผาผลาญกลูโคส แถมการออกกำลังกายยังช่วยให้กระปรี้กระเปร่า พร้อมสำหรับงานที่ต้องใช้ความคิดอีกแน่ะ

อีกข้อสันนิษฐานจึงถูกเสนอขึ้นมา ว่าด้วยเรื่องของ “ค่าเสียโอกาส” หรือ Opportunity Cost ซึ่งเป็นแนวคิดของวิชาเศรษฐศาสตร์ อธิบายถึงโอกาสที่เราสูญเสียไป เมื่อเลือกที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งแทน

การใช้ Effort ก็เหมือนกัน ยิ่งเราใช้ Effort กับกิจกรรมไหนเยอะ ๆ ค่าเสียโอกาสของการใช้ Effort นั้นกับกิจกรรมอื่น ๆ ก็ยิ่งมากขึ้น ทำให้เรารู้สึกเหนื่อยหน่ายที่จะทำกิจกรรมเดิม อยากหนีไปทำอย่างอื่นที่คุ้มค่า Effort กว่า เช่น ไปทำอะไรที่เราสนุกและชอบจริง ๆ

แต่ Effort ใช่ว่าจะทำให้เรารู้สึกแย่เสมอไป

เพราะในอีกมุมนึง คนเราก็ให้ค่ากับสิ่งที่ใส่ Effort ลงไป บางทีการได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง ก็ให้ความรู้สึกที่ดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย

การทดลองพบว่า คนพร้อมจะจ่ายเงินให้กับสินค้าที่ตัวเองประกอบ มากกว่าสินค้าที่ประกอบมาให้แบบสำเร็จรูปแล้ว (เรียกว่า Ikea Effect)

นั่นอาจเพราะ Effort มักจะมาคู่กับของตอบแทนที่ทำให้รู้สึกดี ดังนั้นเราเลยยอมที่จะเสีย Effort เพื่อให้รู้สึกดีกับผลลัพธ์ในภายหลัง แม้ว่าระหว่างทำจะลำบากยากเย็นก็ตาม แต่ผลลัพธ์ก็คุ้มค่า

ถึงอย่างนั้น ก็มีกรณีที่ Effort นั้นน่าดื่มด่ำในตัวของมันเอง บางคนอาจจะมีความสุขกับการได้ฝึกทำอะไรสักอย่าง โดยไม่ต้องรอที่จะมีความสุขในวันที่เก่งสิ่งนั้นจริง ๆ ก็ได้

Effort ที่มีความสุข มักมาจากกิจกรรมที่เหมือนเกม

กิจกรรมต่าง ๆ ล้วนต้องใช้ Effort แต่เราก็รู้สึกกับกิจกรรมต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน เช่น เราอาจจะชอบเล่น crossword แต่ไม่ชอบล้างห้องน้ำ อะไรคือความแตกต่างของ 2 อย่างนี้?

กิจกรรมที่ทำให้เรามีความสุขระหว่างทำได้นั้น มักจะมีลักษณะเหมือนเล่นเกม เราลองมาแตกคุณสมบัติของเกมที่สนุกกัน

  1. มีเป้าหมายที่ชัดเจน เอื้อมถึงได้: ถ้าไม่มีเป้าหมาย หรือเป้าหมายยากไป เราก็จะเริ่มท้อและเบื่อ เหมือนทำเท่าไรก็ไม่จบสักที
  2. มีเป้าหมายย่อย: เป็นเหมือนความสำเร็จเล็ก ๆ ระหว่างทาง ให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า
  3. ความเชี่ยวชาญ: เราอยากทำอะไรที่ทำให้เราเก่งขึ้น แบบยิ่งฝึกยิ่งเก่ง จากง่ายไปยาก ถ้าทำแล้วไม่ได้เก่งอะไรขึ้นเราก็จะเบื่อ
  4. การมีส่วนร่วมกับสังคม: แม้ว่าเกมที่เล่นคนเดียวจะสนุกเหมือนกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลาย ๆ เกมที่ปังนั้นมักจะมีการแบ่งเป็นทีม หรือการแข่งขันกัน
  5. การสะสม: อารมณ์คล้าย ๆ การเก็บไอเท็ม มันจะมีความรู้สึกคล้าย ๆ ข้อ 2. แต่ไม่ได้เหมือนกันซะทีเดียว อันนี้จะออกแนวนักสะสม นักล่าแต้มมากกว่า

ถ้ากิจกรรมใดมีคุณลักษณะครบหรือมีส่วนใหญ่ของทั้ง 5 ข้อนี้ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เราจะใช้ Effort กับมันอย่างมีความสุข

Flow – สถานะที่ไหลลื่น

การใช้ Effort อย่างมีความสุขนั้นเราเรียกอีกแบบว่าสถานะ Flow หรือก็คือสถานะที่เราสามารถโฟกัสกับกิจกรรมตรงหน้าได้เรื่อย ๆ จนลืมเวลาไปเลย

หลายคนโชคดีที่ค้นเจอว่า Flow ของตัวเองเกิดจากกิจกรรมอะไร และสามารถใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับสิ่งที่ทำให้เกิด Flow ได้

แต่ Flow นั้นก็ไม่ใช่ว่าจะได้มาง่าย ๆ เพราะสถานะนี้นั้นจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อกิจกรรมดังกล่าวไม่ยากไป ไม่ง่ายไป อยู่ในระดับพอดี ไม่ใช่ง่ายจนน่าเบื่อ หรือยากจนท้อใจ อย่างน้อย ๆ ถ้าจะให้เกิด Flow ได้นั้น กิจกรรมนั้นต้องมี “คุณสมบัติของเกม” 3 ข้อแรก

และการจะทำให้เกิด Flow ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วย เพราะเป็นเรื่องท้าทายสุด ๆ ที่เราจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างที่กิน Effort ของเรา เมื่อเทียบกับตัวเลือกที่ชิวกว่า เรามักจะหันเหไปทางที่สบายกว่า (เลือกที่จะดูทีวี แทนการออกกำลัง เป็นต้น)

ในแง่ของการทำงาน หากได้ทำงานที่เรามี passion และสนุกไปกับมัน ก็จะสามารถเกิด flow ได้ แต่ความท้าทายคือหลาย ๆ งานไม่ได้ถูกจริตเราขนาดนั้น จากรีเสิร์ชมีหลายคนไม่พอใจกับงาน และไม่รู้สึกว่าตัวเองมีปฏิสัมพันธ์กับงานขนาดนั้น

ถึงอย่างนั้น การใช้ชีวิตติด flow แม้จะฟังดูดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชีวิตนั้นเป็นชีวิตที่ดี แน่นอนว่า flow ก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่ถ้าชีวิตเราไม่มีความหมายหรือจุดประสงค์อะไรสักอย่าง มันก็คงว่างเปล่าอยู่ดี

พูดให้เห็นภาพคือ ถึงเราจะ flow กับการเล่น crossword แต่การเล่น crossword ทั้งวันทั้งคืนก็คงไม่ทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตเรามีความหมายขนาดนั้น

บทที่ 5: ความหมาย (Meaning)

ชีวิตที่มีความหมายมักถูกมองว่าต้องเป็นชีวิตที่มีความทุกข์หรือความยากลำบากปะปนเข้ามาด้วย

หากเป็นชีวิตที่มีแต่ความสุข เหมือนลอยละล่องอยู่บนปุยเมฆ มักไม่ถูกมองว่าเป็นชีวิตที่มีความหมาย แต่กลับเป็นชีวิตที่กลวงโบ๋ซะมากกว่า

ตัวอย่างของกิจกรรมที่มนุษย์ยอมทำ แม้ว่ามันจะลำบากยากเย็น ก็คือการปีนเขา

ว่ากันตามตรง การปีนเขาไม่ใช่ประสบการณ์ที่สะดวกสบาย เต็มไปด้วยความทรหดและเสี่ยงตายด้วยซ้ำ แต่ทำไมคนถึงยังไปพิชิตยอดเขากัน?

หนึ่งเหตุผลที่มีการสันนิษฐานคือเพราะการทำอะไรยาก ๆ นั้นมักตามมาด้วยความชื่นชม ความเคารพ ความซูฮกจากผู้อื่น ซึ่งเราในฐานะมนุษย์สัตว์สังคมก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการถูกยอมรับโดยผู้อื่นนั้นทำให้เราภูมิใจ

ประสบการณ์ยาก ๆ นั้นมีน้อยคนนักจะอยากทำ ฉะนั้นใครที่กล้าลงมือทำก็ย่อมได้รับแสง ถ้ามันง่ายใคร ๆ ก็ทำได้ ก็คงจะไม่มีอะไรพิเศษ

อีกเหตุผลที่อาจเป็นไปได้คือการท้าทายขีดจำกัดตัวเอง หรือการพิสูจน์ว่าตัวเองแข็งแกร่ง อดทน กล้าหาญ

คนเรามักจะสงสัยว่าตัวเราเป็นคนยังไง ทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน การ challenge ตัวเองด้วยกิจกรรมเช่นการปีนเขาก็อาจช่วยได้ แต่ถึงอย่างนั้นผู้เขียนก็ยังมองว่ามันดูทุ่มเทเกินไปหน่อย

และสมมติว่าเราไปปีนเขาจริง แต่ไปไม่ถึงยอด ถ้ามองว่าเราไปปีนเขาเพราะอยากรู้ว่าตัวเองอดทนได้ขนาดไหน การไปไม่ถึงยอดก็ไม่น่าจะใช่ปัญหาอะไร เพราะเราได้คำตอบแล้วว่าเราทำได้ถึงขนาดไหน เราน่าจะพอใจแล้ว แต่เราดันไม่พอใจนี่สิ

ดังนั้น อีกสิ่งที่สำคัญคือ เป้าหมาย “ที่มีความหมาย”

แต่เป้าหมายแบบไหนล่ะที่ “มีความหมาย” มากพอให้เราอยากลงมือทำมันให้สำเร็จ

ทำไมการปีนให้ถึงยอดเขา ถึงดูมีความหมายมากกว่าการเดินขึ้นลงบันไดออฟฟิศวนไปวนมาหลาย ๆ รอบ ทั้งที่ทั้งคู่ก็กินแรงและเหนื่อยเหมือนกัน

หรือทำไมคนถึงตัดสินใจไปเป็นทหาร ไปรับใช้ชาติ ทั้งที่ประสบการณ์มีแต่เรื่องโหดร้าย

อาจเป็นเพราะว่าการไปรบนั้นช่วยให้เกิดความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับสังคม เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับประเทศชาติ รวมถึงเป็นการประกาศความภักดีต่อประเทศ

อีกตัวอย่างหนึ่งคือการมีลูก

การมีลูกนั้นไม่ใช่ประสบการณ์ที่ง่าย มีหลายครั้งที่พ่อแม่ต้องอดหลับอดนอน หรือปะทะคารมกับลูกอารมณ์ร้าย ถึงอย่างนั้น คนเป็นพ่อแม่ก็ยังไม่เสียใจที่มีลูก และมองว่าการมีลูกนั้นเพิ่มความหมายในชีวิตให้กับพวกเขา

แน่นอนว่าในแง่นี้ “ความหมาย” กับ​ “ความสุข” ไม่ได้มาด้วยกัน การเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่าย ในแต่ละวันพบเจอแต่เรื่องราวที่ทำให้หงุดหงิด แต่เมื่อมองย้อนกลับไป เราจะจำได้แต่เรื่องดี ๆ (ตามทฤษฎี remembering-self) และมองว่าสิ่งที่ทำนั้นมีคุณค่า

การใช้ชีวิตให้มีความหมายนั้นเป็นเรื่องถกเถียงกันในหมู่นักปรัชญา ซึ่งก็มีมุมมองที่เห็นแตกต่างกันไป

บ้างก็มองว่าคนที่ไม่ครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตนั้นใช้ชีวิตได้อย่างไร้ความหมาย บ้างก็มองว่าความหมายของชีวิตนั้นสำคัญต่อการดำรงชีวิตอยู่

ส่วนตัวผู้เขียนนั้นไม่ได้มีมุมมองแบบ extreme เหมือนนักปรัชญาหลาย ๆ คน ผู้เขียนมองว่า เราสามารถใช้ชีวิตที่มีความหมายโดยไม่ต้องมามัวครุ่นคิดถึงความหมายของชีวิตก็ได้ (เช่น บางคนเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือคน แค่ไม่ได้ครุ่นคิดว่าสิ่งนี้มีความหมายกับชีวิตรึเปล่า)

ความหมายของชีวิตเป็นสิ่งที่ abstract ไม่มีคำตอบตายตัว แต่ละคนอาจจะให้คำนิยามมันต่างกันไป

อย่างผู้เขียนก็มองว่า กิจกรรมที่สร้างความหมายนั้นมักจะ

  • มีเป้าหมายที่เมื่อสำเร็จแล้วจะมีผลกระทบต่อผู้อื่น
  • มีระยะเวลาที่กินเวลาของช่วงชีวิตระดับนึง และมีเรื่องราวมากพอไปเล่าต่อคนอื่นได้
  • มักเกี่ยวข้องในเชิงศาสนาและจิตวิญญาณ
  • มักถูกมองว่ามีคุณธรรมและจริยธรรมอันดีงาม

ถึงอย่างนั้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้ไม่ต้องเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดถึงจะเรียกได้ว่ากิจกรรมนั้นมีความหมาย อาจจะแค่อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้

นอกจากกิจกรรม ก็ยังมี “ประสบการณ์” ที่สร้างความหมายด้วยเช่นกัน ซึ่งประสบการณ์จะต่างกับกิจกรรมนิดนึงตรงที่ไม่ต้องมีเป้าหมายชัดเจนก็ได้ ขอแค่เป็นอะไรที่มีเรื่องให้เล่าต่อ หรือสร้างความประทับใจมาก ๆ ก็เพียงพอแล้ว

ซึ่งความประทับใจนี้ มันอาจมาจากประสบการณ์ที่ทำให้รู้สึกสุข หรือรู้สึกไม่ดีใน ณ ขณะนั้นก็ได้ กรณีประสบการณ์แฮปปี้จะเข้าใจง่ายหน่อย แต่พอเป็นประสบการณ์ที่ลำบาก มันก็ย้อนกลับไปตรงที่ว่า พอผ่านความยากลำบากมาได้แล้ว เรามักจะภูมิใจที่ฝ่าฟันมันมาได้ และประสบการณ์ที่ยากลำบากก็มักเป็นอะไรที่สร้างสีสันใน timeline ชีวิตของเรา เอามาเล่าเมื่อไรก็ชวนให้อยากฟัง

บทที่ 6: การเสียสละ (Sacrifice)

พอพูดถึงความทุกข์ทรมาน ประเด็นนึงที่มักจะเชื่อมโยงมาด้วยคือ ศาสนา

หลาย ๆ ศาสนานั้นมีพิธีกรรมที่ต้องฝืนหรือทรมานตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นคนก็ยังเลือกที่จะทำ

หนึ่งเหตุผลคือ “ความเลื่อมใส” ศาสนานั้นก็เหมือนสังคมหนึ่งที่มีกฎเกณฑ์ระเบียบ มีข้อปฏิบัติที่ต้องทำ พิธีกรรมหลาย ๆ อย่างมุ่งเป้าไปที่การแสดงความเคารพหรือเลื่อมใสต่อเทพที่นับถือ ในทางอ้อมมันก็ช่วยให้สังคมเกาะกลุ่มกันมากขึ้น

ยิ่งพิธีกรรมหรือการปฏิบัติตนมีความทุกข์ทรมานมากเท่าไร ดูเหมือนว่าคนจะยิ่งอินกับมันมากขึ้น กึ่ง ๆ มองว่าเป็นการส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง เช่น ส่งสัญญาณว่าฉันนี่แหละแข็งแกร่ง นี่แหละความเคารพนับถือของฉัน ส่งผลให้คนนอกที่มองมายิ่งเชิดชูคนคนนี้ขึ้นไปอีก

แล้วถ้าเป็นเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่เราไม่ได้เลือกเองล่ะ

ความทุกข์ทรมานที่เราเลือกเองนั้นพอเข้าใจอยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่เราไม่ได้ร้องขอ ทำให้ชีวิตเราทุกข์ทรมาน คนจะยังยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นไหม

น่าเซอร์ไพรส์ที่หลาย ๆ คนตอบว่า “ยินดี” และถ้าให้ย้อนเวลากลับไปก็ขอให้ตัวเองเผชิญเรื่องราวแบบนั้นอีก

ฟังดูแล้วอาจจะไม่ค่อยเมกเซ้นส์ แต่สิ่งที่พวกเขาเจอคือพวกเขาสามารถหา “ความหมาย” จากเรื่องราวร้าย ๆ ที่เกิดขึ้นได้ อาจจะเป็นกลไกของร่างกายที่พยายามบรรเทาความทรงจำที่ไม่ดี ด้วยการหาเหตุผลมาซัพพอร์ต ปลอบใจตัวเองว่า “มันมีเหตุผลที่เกิดสิ่งนี้”

นอกจากนี้ก็ยังมีในมุมของหลาย ๆ ศาสนาที่สอนให้โอบรับความทุกข์ทรมานเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตด้วยเช่นกัน

ถึงอย่างนั้น หากไม่มองในมุมศาสนา การเจอความทุกข์ทรมานหรือการเสียสละแบบที่ไม่ได้เลือกเอง ก็ยากที่จะทำให้คนยอมรับมันในแง่ดี

ตัวอย่างเช่น หากเราเลือกที่จะบริจาคเงินให้คนจน เราคงรู้สึกอิ่มเอมใจ แต่ถ้าคนจนเป็นฝ่ายฉกชิงทรัพย์ไปจากเรา เราก็คงไม่มีอารมณ์มารู้สึกดีที่ได้เสียสละ

ทว่าบางคนอาจจะยังสามารถยืนหยัดเป็นคนดีได้แม้ว่าจะเจอเหตุการณ์ยากลำบาก เช่น เวลาเจองานยากอาจจะยอมไม่บ่นไม่เทงานให้คนอื่นเพราะไม่อยากให้คนอื่นลำบาก

ความดี VS ความสุข

สิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งคือ คนเรามักจะให้ค่าความดีมากขึ้นเมื่อมันทำให้เราต้องถึกทนหรือทรมาน และตีค่าความดีน้อยลงถ้าการทำความดีนั้นมีผลประโยชน์แอบแฝง

ตัวอย่างเช่น บริษัทที่หากำไรจากการระดมทุนช่วยเหลือการทำวิจัยด้านโรคร้าย แม้ว่าจะหาเงินมาช่วยซัพพอร์ตได้จริง ๆ แต่ก็มิวายโดนคนเขม่นจากการได้กำไรอยู่ดี

หรือหนุ่มที่อยากจะสร้างความประทับใจให้สาวผ่านการไปทำอาสาสมัครที่เดียวกับเธอ แม้ว่าเขาจะทำงานได้ดีจริง ๆ แต่ก็โดนมองแรงอยู่ดี

กลายเป็นว่าการทำความดีนั้นถูกผูกติดกับความยากลำบาก ยิ่งเหนื่อยก็ยิ่งมีคุณค่า สมมติว่าเราช่วยเพื่อนล้างจาน ระหว่างล้างเองกับล้างด้วยเครื่อง แม้ว่าจานจะสะอาดเหมือนกัน แต่การล้างด้วยตัวเองจะทำให้รู้สึกอิ่มเอมมากกว่าซะอย่างนั้น

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเลือกทางที่ยากลำบากเสมอไป หากต้องตัดสินใจระหว่าง 2 ตัวเลือกที่ได้ทำความดีเหมือนกัน แต่เลเวลความลำบากนั้นต่างกัน ก็เป็นไปได้ที่คนจะเลือกอันที่ลำบากน้อยกว่า เพราะมองว่ายังไงก็ได้ความดีพอ ๆ กันอยู่แล้ว จะลำบากเพิ่มทำไม

แล้วความทุกข์ยากลำบากที่เราไม่ได้ร้องขอนั้นดีจริง ๆ เหรอ

ก่อนหน้านี้มีแต่มุมมองแบบความรู้สึก แต่ถ้าเป็นข้อเท็จจริง การเผชิญเรื่องลำบากยากเย็นในชีวิตส่งผลดีกับเราจริง ๆ ไหม

การวิจัยหลาย ๆ ชิ้นงานพิสูจน์มาแล้วว่ามีความจริงอยู่ โดยพบว่าคนที่ผ่านประสบการณ์ร้าย ๆ มามากกว่านั้นจะมีภูมิต้านทานต่อความเจ็บปวดในชีวิตสูงกว่า มีความเมตตาอารีมากกว่า

พูดง่าย ๆ ว่า ขวากหนามในชีวิตเรานั้นขัดเกลาให้เราแข็งแกร่งขึ้น ก็ไม่ผิดแต่ประการใด

ถึงอย่างนั้น ก็อาจจะไม่ใช่ทุกเหตุการณ์ร้าย ๆ ที่ทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น เหตุการณ์เช่น การโดนข่มขืน หรือการเสียบุตร อาจกลายเป็นบาดแผลทางจิตใจไปเลยก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้นอาจทำให้คนคนหนึ่งกลายเป็นอาชญากรได้ด้วย

และผู้เขียนก็มองว่า การวิจัยในอดีตนั้นเอาเข้าจริงก็ไม่ได้มีการเปรียบเทียบชัดเจนขนาดนั้นว่าคนคนเดียวกันหากไม่ประสบพบเจอเรื่องร้าย ๆ จะโอบอ้อมอารีเท่าเดิมหรือเปล่า ผลลัพธ์ล้วนเป็นการประเมินโดยตัวบุคคลซึ่งก็เป็นไปได้ว่าจะให้คะแนนตัวเองสูงเพราะเรามักจะจดจำเรื่องดี ๆ ได้มากกว่าเรื่องไม่ดี

นอกจากนี้ การทดลองก็อาจจะเจอ Survivorship Bias หรือความโน้มเอียงไปทางผู้รอดชีวิต กล่าวคือคนที่มาทำแบบทดสอบนั้นส่วนใหญ่อาจจะเป็นคนที่ไม่ได้เจ็บหนักถึงขั้นอยู่โรงพยาบาล หรือก็คือเป็นคนที่ยังมีกะจิตกะใจมาทำแบบทดสอบ ก็เป็นไปได้ที่จะทำให้ผลลัพธ์ออกมาดูดีกว่าความเป็นจริง

และถึงคนคนนึงจะมองว่าชีวิตตัวเองดีขึ้นหลังเหตุการณ์ร้าย ๆ นั่นอาจเป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นหลังเหตุการณ์นั้นมากกว่าที่จะเป็นเพราะเหตุการณ์นั้นจริง ๆ ตัวอย่างเช่น ในอดีตที่เคยมีการกราดยิงทำให้มีผู้ประสบภัยมากมาย ผู้ที่รอดชีวิตนั้นเกาะกลุ่มช่วยเหลือกัน คอยบรรเทาทุกข์ให้กัน มีการ support ในปัญหาต่าง ๆ ที่ไม่ใช่แค่เรื่องกราดยิงเท่านั้น นี่ต่างหากคือสิ่งที่ทำให้คนคนนึงกลายเป็นคนที่ดีขึ้น

บางงานวิจัยชี้ว่า คนเราสามารถเป็นคนที่ดีขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านเรื่องร้าย ๆ ก็ได้ บางทีการผ่านเรื่องดี ๆ หรือการอยู่เฉย ๆ แบบไม่มีอีเวนต์อะไรเลย ก็ทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นได้เช่นกัน

โดยสรุป แม้เรื่องราวร้าย ๆ อาจขัดเกลาให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นก็จริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอย่าเจอจะดีกว่า

ชีวิตเราอยู่เฉย ๆ ก็เจออุปสรรคมากพอแล้ว ไม่ต้องแกว่งเท้าหาเสี้ยนเพิ่มเติมหรอก

บทที่ 7: ยาพิษรสหวาน (Sweet Poison)

มนุษย์เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ดำรงชีพมาจนถึงทุกวันนี้ แถมยังก้าวล้ำหลาย ๆ สปีชีส์ในหลาย ๆ ด้านอีกด้วย

อารมณ์ความรู้สึกนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการ ธรรมชาติสร้างให้มนุษย์มีทั้งอารมณ์ด้านบวกและด้านลบ อารมณ์ด้านบวกมีเพื่อบอกให้รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำแล้วดี ส่วนอารมณ์ด้านลบนั้นก็เป็นการเตือนว่าสิ่งนี้ไม่ดีอย่าหาทำอีก

การมีอารมณ์ด้านลบมาบาลานซ์ ทำให้มนุษย์กระเสือกกระสนพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น หากมีความสุขตลอดเวลา มนุษย์ก็จะพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีและไม่ได้ก้าวล้ำอย่างทุกวันนี้

การหาความหมายของชีวิตนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์ด้านลบมาเกี่ยวเนื่องเสมอไป มีงานวิจัยจำนวนหนึ่งระบุว่าชีวิตเราสามารถมีความสุขและมีความหมายไปพร้อม ๆ กันได้ สิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความหมายไม่จำเป็นต้องมีความทุกข์มาผสมเสมอไป

สิ่งหนึ่งที่พบเจอในงานวิจัยคือ บางครั้งการมุ่งหาความสุข อาจทำให้ยิ่งทุกข์กว่าเดิม นั่นเพราะเมื่อเราตั้งใจตามหามัน เราอาจจะคาดหวังสูงเกินไป ทำให้ผิดหวังได้

ผู้เขียนมองว่าชีวิตที่ดีนั้นคือชีวิตที่ตอบโจทย์ทั้งความสุขและความหมาย การให้ความสำคัญกับแค่ความสุขปัจจุบันอย่างเดียว ทำให้เราพลาดการมองภาพใหญ่ของชีวิตไป ผู้เขียนมองว่ายังไงเราก็ควรเพิ่มความท้าทาย ตั้งเป้าหมายให้ชีวิตด้วย

ท้ายที่สุดแล้ว ผู้เขียนเชื่อว่าความทุกข์ทรมานที่เราเลือกเองนั้น ก็มีส่วนช่วยเพิ่มคุณค่าให้ชีวิตได้ และจากงานวิจัยหลาย ๆ ชิ้น ก็ได้เผยว่าแท้จริงแล้วสิ่งมีชีวิตแบบเรา ๆ ไม่ได้เกิดมาเพื่อหาความสุขอย่างเดียว มนุษย์มีความซับซ้อน มีความต้องการที่หลากหลาย ซึ่งการตอบสนองต่อความต้องการนั้นก็ทำได้หลายวิธี บางวิธีก็ไม่ใช่วิธีที่สุขสบายเสมอไป นี่แหละธรรมชาติของมนุษย์


ความรู้สึกหลังอ่าน

เป็นหนังสือที่เราใช้เวลากับมันนานพอสมควร ช่วงแรก ๆ ลองอ่านแบบตะบี้ตะบันอ่าน ลงเอยด้วยการไม่สามารถจับใจความสำคัญได้ งงว่าผู้เขียนต้องการสื่ออะไร เลยลองเปลี่ยนวิธีเป็นการค่อย ๆ ละเลียดทีส่วน อ่านไปสรุปไป

เข้าใจเลยว่าทำไมมีทั้งเสียงที่ชอบและไม่ชอบเล่มนี้ ถามว่าอ่านยากไหม ตัวสำนวนภาษาไม่ได้ยากหรอก ผู้เขียนเขียนได้เหมือนภาษาพูดคุยชิว ๆ ไม่ได้มีศัพท์แสงวิชาการอะไรมาก แต่สิ่งที่ยากสำหรับเราคือการจับใจความมากกว่า

ด้วยความที่หนังสือจะเขียนเป็นแนวเล่าไปเรื่อย บางทีอ่านส่วนนี้จบ ได้ข้อสรุปแล้ว ส่วนต่อไปดันมาหักล้างข้อสรุปที่เคยได้จากส่วนที่แล้วซะงั้น ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นความตั้งใจของผู้เขียน ที่ไม่ฟันธงฉับ ๆ แต่จะเน้นการตั้งข้อสงสัย ตั้งสมมติฐาน ท้าทายข้อพิสูจน์ ทำให้รสชาติของหนังสือออกแนวเหมือนดีเบตมากกว่าฮาวทูหรือไลฟ์โค้ช

จริง ๆ จุดยืนของหนังสือค่อนข้างชัดมาตั้งแต่ต้น (จริง ๆ ก็ตั้งแต่ชื่อเรื่องเลยแหละ) ว่าความทุกข์ยากนั้นสำคัญต่อชีวิตเรา เป็นส่วนหนึ่งทำให้เรามีชีวิตที่ดี แต่ด้วยการเล่าเรื่องแบบย่อหน้าบน ก็ทำให้หนังสือมีเนื้อหาให้ถกเถียงกันเยอะ ออกมาเป็นรูปเล่มให้ได้อ่านกันยาว ๆ (และทำให้การสรุปหนังสือเล่มนี้ ยากขึ้นอีกด้วย 555)

ถามว่าเป็นหนังสือสายไหน เราคิดว่ามันผสม ๆ ระหว่างจิตวิทยา ปรัชญา และวิทยาศาสตร์ละ หนังสือไม่ได้มีกลิ่นอายความเป็น academic มากขนาดนั้น มันยังมีความฟุ้ง ๆ จับต้องไม่ได้อยู่บ้าง และบางช่วงบางตอนก็อดไม่ได้ที่จะมองว่าเล่มนี้มันก็ให้ความทุกข์ยากกับเราเหมือนกันนะ ฮา เหมือนประเด็นในหนังสือเป๊ะ

สิ่งที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่ฮาวทู ไม่มีขั้นตอนอะไรใด ๆ ให้ชีวิตคอมพลีต เรามองว่าสิ่งที่ได้นั้นเป็นการเปิดมุมมองมากกว่า อาจทำให้เรามีนิยามความสุขที่เปลี่ยนไป มีนิยามของชีวิตที่ดีเปลี่ยนไป

ถึงอย่างนั้น สุดท้ายแล้ว เราคิดว่าหนังสือก็ทำได้เพียงไกด์ แชร์มุมมอง ผ่านประสบการณ์ของหลายผู้คน ตัวเราต่างหากที่จะต้องใช้ชีวิตและเผชิญประสบการณ์ต่าง ๆ เพื่อพิสูจน์ว่า สิ่งที่หนังสือนำเสนอนั้น เป็นจริงตามนั้นหรือเปล่า

ว่าแล้วก็ออกไปหา “ความกลมกล่อม” ให้ชีวิตกัน 🙂

Leave a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Blog at WordPress.com.

Up ↑