Grave of The Fireflies หรือ “สุสานหิ่งห้อย” เป็นภาพยนตร์อนิเมชันของ Studio Ghibli ที่เราได้ยินชื่อมานานแต่ก็ไม่ได้มีโอกาสดูสักที หลายเสียงบอกว่าดูแล้วเศร้า หดหู่ แต่ก็เป็นอนิเมชันที่ควรดูสักครั้งในชีวิต
แค่เห็นโปสเตอร์รูป 2 พี่น้องยืนท่ามกลางแสงจุดเล็ก ๆ ที่ตอนแรกมองดูว่าเป็นหิ่งห้อย แต่จริง ๆ มีแสงที่เป็นระเบิดจากเครื่องบินในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ชวนให้อึ้งในคอนเซปต์การอุปมาอุปมัยแล้ว

พอเห็นว่าในที่สุด Netflix ก็นำเรื่องนี้เข้ามา (หลังจากที่เคยนำหลายเรื่องของจิบลิเข้ามา) เลยต้องหยิบมาดูหน่อย
เรื่องย่อ
Grave of The Fireflies ดัดแปลงจากหนังสืออัตชีวประวัติของ Nosaka Akiyuki ผู้สูญเสียน้องสาวไปในสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเรียกได้ว่าอนิเมชันมีเค้าโครงของเรื่องจริงอยู่ด้วย โดยตัวหนังเล่าเรื่องของ 2 พี่น้อง “เซตะ” พี่ชายอายุ 14 และ “เซ็ตสึโกะ” น้องสาวอายุ 4 ขวบ ที่ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผลจากสงครามทำให้พวกเขากลายเป็นเด็กกำพร้า ต้องไปอาศัยอยู่บ้านป้า และถึงจุดนึงทั้งสองก็ออกมาระหกระเหินใช้ชีวิตเอาตัวรอดกันเองท่ามกลางภาวะขัดสนและลูกระเบิดที่ลงถี่จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา
มีการเปิดเผยเนื้อหาของหนัง
สงครามทำให้คนตาย และพรากหลายสิ่งจากคนที่ยังอยู่

นี่เป็นอนิเมชันที่ถ่ายทอดชีวิตของคนธรรมดาท่ามกลางภาวะสงครามได้ชัดเจน นอกจากผู้คนที่รักจะล้มหายตายจาก คนที่ยังอยู่ก็ชีวิตพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ บ้านเมืองราบเป็นหน้ากลอง บ้านที่เคยอยู่เหลือเพียงเศษฝุ่น ข้าวสารอาหารต่าง ๆ ก็หายากเหลือเกิน
เป็นผู้ใหญ่ในภาวะสงครามก็ว่ายากแล้ว นี่ตัวเอกเป็นแค่เด็กยังไม่รู้เดียงสา ต้องเผชิญความโหดร้ายบนโลกแบบนี้ในสภาวะที่ตนยังเป็นที่พึ่งให้ตัวเองไม่ค่อยจะได้ ไม่ต้องจินตนาการให้วุ่นเลยว่ามันจะยากลำบากขนาดไหน
ครอบครัวของเซตะและเซ็ตสึโกะนั้นเดิมทีเป็นครอบครัวมีอันจะกิน พ่อมียศเป็นถึงทหารเรือ แต่อยู่มาวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องเสียแม่และบ้านกะทันหันจากสงคราม ต้องระหกระเหินย้ายตัวเองไปอยู่บ้านป้าซึ่งเอาเปรียบพวกตน กลายเป็นพลเมืองชั้นสองที่ไม่มีใครใส่ใจดูแล จนในที่สุดเซตะก็ตัดสินใจพาเซ็ตสึโกะย้ายออกมาตั้งรกรากอยู่กันลำพังเพียง 2 คนในถ้ำใกล้แม่น้ำ ด้วยหวังว่าการอยู่กันเองอย่างน้อยก็จะได้ทำอะไรตามใจชอบ ไม่ต้องทนกับการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียมของป้า
จากเด็กที่ควรจะได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานและได้รับความรักอย่างเต็มที่ ต้องกลายเป็นเด็กเร่ร่อนนอนในถ้ำ หาเช้ากินค่ำ มีชีวิตอยู่รอดไปวัน ๆ
เนื่องจากเซ็ตสึโกะยังเป็นเด็กอายุแค่ 4 ขวบ ทำอะไรไม่ได้ พี่ชายอย่างเซตะจึงต้องเป็นเดอะแบกทำทุกอย่าง คอยหาปัจจัย 4 มาให้ คอยดูแลริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม คอยพาไปหาที่หลบกำบังเวลาระเบิดลง เราคิดว่าการที่เด็กอายุ 14 ต้องมารับผิดชอบอะไรแบบนี้มันก็หนักหนาอยู่เหมือนกัน
การตัดสินใจของเซตะถูกต้องหรือไม่

หนึ่งประเด็นที่คนถกเถียงกันเยอะมากคือการตัดสินใจออกมาอยู่กันตามลำพังของเซตะกับเซ็ตสึโกะ ไม่หวังพึ่งใบบุญจากป้าขี้บ่นอีกต่อไป บ้างก็มองว่าเซตะอีโก้เยอะ สองพี่น้องไปอยู่บ้านป้าก็ไม่ทำงานทำการอะไรมันก็แฟร์แล้วที่ป้าแบ่งข้าวให้น้อยกว่าลูก ๆ ป้าที่ไปทำงาน แค่โดนดุก็ทน ๆ ไปหน่อยเถอะอย่างน้อยก็มีที่ซุกหัวนอน
บ้างก็มองว่าเด็กมันเพิ่งอายุ 14 เอง การตัดสินใจคงไม่สามารถทำให้มีเหตุมีผลได้เท่าผู้ใหญ่ ถูกป้าทรีตไม่ดีก็คงคิดว่างั้นออกไปอยู่กันเองดีกว่าสบายใจกว่าอยู่แล้วถูกดูหมิ่นไปเรื่อย ๆ
เราคิดว่ามันก็มองได้ทั้ง 2 มุมแหละ ไม่มีมุมไหนถูกผิดแล้วแต่จะตีความ สำหรับเราเราคิดว่าเด็กมันน่าจะเคยชินกับชีวิตที่สุขสบาย พอมาอยู่บ้านป้าก็คิดว่าคงใช้ชีวิตแบบเดิมได้ ไม่ลำบากอะไรนี่ แต่พอเจอสภาวะกดดันเยอะ ๆ เข้าก็ทนไม่ไหว ด้วยความเป็นเด็กก็คงยังมีฟิลเตอร์โลกสวยอยู่ เลยตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตกันเองเพราะคิดว่ามันน่าจะมีหนทางรอด
ซึ่งกลับกลายเป็นว่า มันยิ่งลำบากกว่าเดิมซะอีก ทั้งสภาพความเป็นอยู่ที่ห่างไกลคำว่า “บ้าน” ทั้งการซื้อของจำเป็นที่บางครั้งแม้จะมีเงินก็ซื้อไม่ได้เพราะของไม่พอ การเข้าถึงปัจจัย 4 ที่พอไม่มีผู้ใหญ่คอยซัพพอร์ต ทำให้ต้องใช้วิธีลัดด้วยการขโมยข้าวของ (เซตะถึงขั้นเล็งช่วงเวลาระเบิดลงเป็นช่วงเข้าไปเสี่ยงชีวิตขโมยของตามบ้าน เพราะแต่ละคนออกจากบ้านไปอยู่หลุมหลบภัยกันหมด)
เรียกว่าทุ่งลาเวนเดอร์ที่เด็ก ๆ วาดฝันกันไว้นั้นถล่มพังลงมาแบบย่อยยับเมื่อเจอกับความโหดร้ายของโลกจริงซึ่งไม่ปรานีกับใครแม้จะเป็นเด็กก็ตาม
เมื่อถึงคราวลำบาก ใคร ๆ ก็ต้องอยากเอาตัวรอดก่อน
นอกจากนี้อนิเมชันยังสะท้อนให้เห็นสัญชาตญาตการเอาตัวรอดของมนุษย์ ที่พออยู่ในภาวะวิกฤต ก็มักจะเห็นแก่ตัวกันไว้ก่อนเพื่อให้ตัวเองรอด
ป้าที่สองพี่น้องไปอยู่ด้วย ก็ต้องเลือกเลี้ยงครอบครัวตัวเองให้สมบูรณ์พูนสุขก่อน ชาวนาก็เลือกปันข้าวให้ตัวเองก่อนจะขายต่อ แม้แต่เซตะเอง ก็เลือกทางลัดด้วยการไปขโมยของเพื่อเอามาเลี้ยงตัวเองกับน้องให้อยู่รอด
จะว่าก็ว่าได้ไม่เต็มปาก เราไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเขาก็คงไม่สามารถไปตัดสินได้เต็มที่ ถ้าใครไปอยู่ในสภาวะจำยอมแบบนั้น ก็อาจจะต้องทำตัวแบบเดียวกัน
จุดจบแบบเรียล ๆ ไม่อ่อนโยน

เห็นเป็นอนิเมชันที่ตัวดำเนินเรื่องเป็นเด็กน้อยแบบนี้ ก็ใช่ว่าจะจบแบบให้กำลังใจ แฮปปี้เอนดิ้ง ซึ้ง ๆ ความพยายามชนะทุกสิ่ง
ตรงกันข้าม หนังเฉลยตั้งแต่ต้นเรื่องเลยว่าสองพี่น้องตายแน่นอน ไม่ต้องลุ้นนะ
ที่เฉลยตั้งแต่ต้นแบบนี้ผู้สร้างเผยว่าเพื่อให้คนดูเตรียมรับมือกับการสูญเสียตัวละครหลักได้ดีขึ้น พอถึงตอนจบจริง ๆ จะได้ไม่ดิ่งเกินไป
ซึ่งก็ช่วยได้จริงเพราะระหว่างดูมันก็เหมือนเตรียมใจไว้อยู่ก่อนแล้ว เราเพียงได้เห็นว่าก่อนพวกเขาตาย พวกเขาผ่านอะไรมาบ้าง
แต่พอถึงซีนที่ต้องบ๊ายบายกันจริง ๆ มันก็จุกเบา ๆ เหมือนกัน ตอนที่เซ็ตสึโกะคนน้องตายก่อน มันโหวง ๆ นิดนึง และอดจินตนาการความรู้สึกของเซตะไม่ได้ว่าจะต้องเจ็บปวดขนาดไหน
ยิ่งพอเรื่องดำเนินมาจนจบและสรุปแบบชัดเจนว่าสองพี่น้องตายแบบไม่มีใครเหลียวแลอะไรเลย (คนพี่ตายข้างทาง ซึ่งเป็นซีนตอนเปิดเรื่อง) มันก็ยิ่งชวนให้จุก เป็นการเฉลยจุดจบแบบเรียล ๆ ที่ไม่มีการปลอบโยนใด ๆ ทั้งสิ้น ไม่มีการพลิกให้ตัวละครกลับมาเป็นฮีโร่ หรือการให้ตัวละครทั้งคู่รอดพ้นไปด้วยกัน
เหมือนจะเย้ยว่า นี่แหละชีวิตจริงที่ถูกผลกระทบจากสงคราม นี่แหละชีวิตจริงของเด็กที่คิดว่าตัวเองจะเอาชนะความโหดร้ายของโลกได้
ความรู้สึกหลังดู

ส่วนตัวเราคิดว่านี่เป็นอนิเมชันที่ดีอีกเรื่องนึงเลย สะท้อนภาพผลกระทบของสงครามแบบเรียล ๆ ไม่มีทุ่งดอกไม้
แต่ถามว่าหดหู่ถึงขั้นดิ่งจนซึม หรือร้องไห้ตาบวมไหม สำหรับเราเราไม่นะ อาจจะแค่โหวง ๆ จุกๆ เล็กน้อยมากกว่า ดูจบก็มูฟออนไปทำอย่างอื่นต่อได้
อาจจะเพราะลึก ๆ เราตั้งความหวังไว้สูงกว่านี้ จากรีวิวที่เคยอ่านมา หรือไม่ก็ ตัวละครยังไม่ได้ชวนให้เรารู้สึกอินตามขนาดนั้น (จริง ๆ คือรำคาญอิน้องสาวมาก คนมันไม่ชอบเด็กอะ 555) ส่วนคนพี่เราแค่รู้สึกเสียดายนิดหน่อยว่าไฟต์มาตั้งนานแต่สุดท้ายจบชีวิตแบบง่าย ๆ เลย
จุดที่ทำให้มีอารมณ์ร่วมมากที่สุด น่าจะเป็นภาพรวม ๆ ของชีวิตชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม คือเค้าเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ใช้ชีวิตปกติเอง แต่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ มันชวนให้รู้สึกเศร้าจริง ๆ
สรุป
Grave of The Fireflies เป็นอนิเมชันที่ถ่ายทอดชีวิตช่วงสงครามของญี่ปุ่นได้ดี เห็นถึงผลกระทบร้ายแรงต่อคนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อ ยิ่งตัวละครเป็นเด็กด้วยแล้วยิ่งเรียกความสงสารและแรงเห็นใจได้ดี ใครมีภูมิต้านทานความปวดตับต่ำน่าจะอินจนร้องไห้ได้ง่าย ๆ เลย แต่ถ้าใครผ่านพล็อตดราม่าจุกอกชวนดิ่งมาเยอะแล้ว เรื่องนี้ก็อาจจะเฉย ๆ ไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่าเกลียดสงครามค่ะ
Leave a comment