รีวิว The 8 Show (2024): เกมโชว์ที่จ่ายเงินไม่อั้น ขอแค่ดันทุรังมีชีวิตอยู่เรื่อย ๆ

หลังจากซีรีส์เกาหลีได้สร้างปรากฏการณ์ Squid Game ไปเมื่อปี 2021 ล่าสุด Netflix กลับมาอีกครั้งกับซีรีส์เกาหลีแนวเกมโชว์สุดโหดอย่าง The 8 Show ที่ดัดแปลงมาจาก Webtoon 2 เรื่อง ได้แก่ Money Game และ Pie Game

ซึ่งแวบแรกตอนที่เห็นหน้าหนังแบบยังไม่รู้พล็อตอะไร เราจะรู้สึกว่ามีความเป็น Squid Game และสงสัยว่ามันจะมีอะไรต่างไปจากเดิมมั้ยนะ หลาย ๆ อย่างมีความคล้ายคลึง ทั้งคอนเซ็ปต์ของพล็อตที่เป็นเกมโชว์ดูจิต ๆ และฉากสีลูกกวาดที่ดูปลอมเปลือก

แต่เมื่อได้ดูจริง ๆ ก็คิดว่าเรื่องนี้เล่นประเด็นได้น่าสนใจดี ขยี้อารมณ์ได้อีก แม้ว่าจะเลือดสาดน้อยกว่า และแทบไม่มีคนตายระหว่างเรื่องเลยก็ตาม

ขอต้อนรับสู่เกมโชว์

The 8 Show เล่าเรื่องของตัวละคร 8 คนที่สบโอกาสได้มาอยู่ในสถานที่หนึ่งซึ่งเป็นที่จัดแสดงเกมโชว์ โดยแต่ละคนนั้นล้วนมีปัญหากับชีวิตและกำลังต้องการเงิน เกมโชว์ก็เลยล่อด้วยเงินรางวัลซะเลย

ทั้ง 8 คนได้เลือกบัตร 8 ใบ อันเป็นบัตรห้องของแต่ละคนซึ่งจะอยู่คนละชั้น ตั้งแต่ชั้น 1-8 โดยที่แต่ละคนสามารถดูเงินรางวัลของตัวเองได้ผ่านหน้าจอในห้อง

ความน่าตื่นตาตื่นใจคือ แม้อยู่เฉย ๆ ตัวเลขเงินรางวัลก็ขยับขึ้นเอง แถมไม่ใช่ขึ้นด้วยปริมาณจิ๋ว ๆ ด้วยนะ อย่างของชั้น 3 ขึ้นนาทีละ 30,000 วอน (ประมาณ 800 บาท) เลยทีเดียว นั่นหมายความว่าเขาอยู่เฉย ๆ 1 วันก็ได้ไปชิว ๆ แล้วตั้ง 1,152,000 บาท!

ผู้เล่นสามารถโทรสั่งซื้อของที่ต้องการได้จากในห้อง แต่ราคาจะแพงกว่าข้างนอก 100 เท่า เพื่อให้สอดคล้องกับรายได้อันมหาศาลที่พวกเขาได้รับ (ค่าครองชีพเพิ่มขึ้นตามเงินที่ได้)

ด้วยความที่ห้องแต่ละคนนั้นแรกเริ่มเดินทีจะว่างเปล่า ในเบื้องต้น แต่ละคนก็จะซื้อของมาประทังชีวิตก่อน เช่น ที่นอน (หรืออะไรก็ได้ที่ใช้แทนที่นอน) ภาชนะสำหรับใส่ของเสีย ฯลฯ

เวลาผ่านไปหนึ่งคืน เช้าวันต่อมา ผู้เล่นทั้งหมดก็ได้เจอกัน และค่อย ๆ ร่วมกันไขปริศนากติกาของเกมนี้ที่ขี้กั๊กบอกไม่หมด บางอย่างก็ต้องลองผิดลองถูกกันเอง ไม่นานนักพวกเขาก็ได้ค้นพบว่า…

  • ห้องแต่ละชั้นได้เงินไม่เท่ากัน โดยชั้น 8 ได้เงินต่อนาทีสูงสุด (340,000 วอน หรือประมาณ 9,000 บาท) และชั้น 1 ได้เงินต่อนาทีต่ำสุด (10,000 วอน หรือประมาณ 270 บาท)
  • แถมห้องชั้นบนก็จะขนาดใหญ่สุดด้วย ขนาดก็จะย่อส่วนลงมาเรื่อย ๆ จนถึงชั้น 1 ที่เรียกได้ว่าเป็นรูหนู
  • ชั้นบนจะได้รับอาหารและน้ำสำหรับผู้เล่นทั้งหมดก่อนผ่านทางลิฟต์ส่งของ นั่นทำให้ชั้นบนได้เปรียบเรื่องอาหารการกิน ส่วนชั้นล่างก็ต้องรอให้ชั้นบน ๆ หยิบอาหารไปก่อน (ไม่สามารถซื้ออาหารได้ ต้องรอมาส่งอย่างเดียว)
  • ตรงโถงกลางอันเป็น common room จะมีหน้าจอตัวเลขที่แสดงเวลาของเกมที่ยังเหลืออยู่ หากเวลานั้นหมดลง เกมก็จะจบ ทุกคนก็จะได้เงินรางวัลตามแต่ที่เลขในห้องตัวเองระบุ
  • พวกเขาสามารถใช้เวลาส่วนรวมซื้อของได้ หากต้องการใช้ของชิ้นนั้นนอกห้องส่วนตัว (ว่าง่าย ๆ เหมือนงบส่วนกลาง) ซึ่งการซื้อของก็จะหักจากเวลาของเกมที่ยังเหลืออยู่ ต้องคิดดี ๆ และตกลงกับพรรคพวกให้ได้ก่อนซื้อ
  • แต่ถ้าอยากให้เวลาเพิ่มมากขึ้นเพราะอยากกอบโกยเงิน พวกเขาก็ต้องทำยังไงก็ได้ให้โชว์สนุก เพราะเวลาที่เพิ่มขึ้น คือรางวัลจากผู้ชม (เหมือนเปย์ creator ที่ตัวเองชื่นชอบ)

ซึ่งช่วงแรก ๆ ของซีรีส์ ก็จะลุ้นไปกับการค่อย ๆ ไขปริศนาของกติกานี่แหละ กว่าจะรู้ว่าเวลาส่วนกลางเพิ่มได้ยังไงก็ปาไป 2-3 ตอนแล้ว ช่วงแรก ๆ ของซีรีส์เลยจะยังซอฟต์ ๆ ไม่ได้มีอะไรรุนแรงมาก ถึงอย่างนั้นก็ยังสนุกด้วยการที่เราค่อย ๆ ได้รู้ไปพร้อมกับตัวละคร

ทว่า ชนชั้นอันสุดโต่ง ก็ค่อย ๆ เผยธาตุแท้ของคน

ในช่วงแรก ๆ ดูเหมือนผู้เล่นทั้ง 8 จะสมานฉันท์และช่วยเหลือกันเป็นทีมเวิร์กดี แบ่งอาหารและน้ำกันกิน ช่วยกันวิ่งขึ้นลงบันไดเพราะเชื่อว่าจะทำให้เวลาส่วนกลางเพิ่มขึ้น แต่เมื่อพวกเขารู้ว่ากติกาการเพิ่มเวลาแท้จริงแล้วคือการทำให้คนดูสนุก สถานการณ์ก็เริ่มเปลี่ยนไป

พวกเขาไม่จำเป็นต้องวิ่งขึ้นลงบันไดอีกต่อไป แต่จะต้องทำอะไรก็ได้ที่กระตุ้นเรตติ้งจากคนดู

ผู้เล่นชั้นบนเริ่มใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบตัวเอง นั่นก็คือการมีทรัพยากรที่มากกว่า ในการกดขี่ผู้เล่นชั้นล่าง เอาง่าย ๆ เลยคือ อาหารมาเสิร์ฟชั้นบนก่อน ถ้าชั้นล่างทำตัวไม่ถูกใจ ก็อดอาหารไปนะ

ชั้นล่างก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะชั้นบนกุมอำนาจเสร็จสรรพ ซื้ออาวุธมาพร้อมขู่ด้วยแน่ะ

จึงเกิดการจับกลุ่มเป็น 2 ฝั่ง ฝั่งชั้นบนเปรียบเสมือนชนชั้นสูงที่ทำเงินจากการใช้ประโยชน์จากฝั่งชั้นล่างซึ่งเหมือนเป็นคนงาน เป็นทาสรับใช้

ถึงจุดนี้ซีรีส์จะทวีความกดดันและเข้มข้นขึ้นมาก จนถึงขั้นหดหู่ได้เลย เพราะการกระทำของพวกเขาเริ่มเกินขอบข่ายของคำว่ามนุษย์ทั่วไปแล้ว (โดยเฉพาะชั้น 6 และชั้น 8 ที่ดูจะโรคจิตมากที่สุด)

กลุ่มชั้นบนรู้แล้วว่าการจะเพิ่มเวลานั้น ต้องสร้างสถานการณ์ชวนระทึก ชวนติดตาม ใส่ความรุนแรงเข้ามา หยอดความคาดเดาไม่ได้เข้าไปหน่อย คนดูก็จะติดงอมแงม นั่นทำให้ช่วงกลาง ๆ เรื่อง ซีรีส์เริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น แม้จะไม่ได้เล่นถึงขั้นตาย (เพราะตายไม่ได้ไม่งั้นเกมจบ) แต่การต้องทรมานกับความเจ็บปวดซ้ำ ๆ ซาก ๆ ก็ชวนให้ทรมานจิตใจไม่แพ้กัน

จนเมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็เกิดการพลิกขั้วอำนาจ แน่นอนว่าหากยอมจำนนต่อไปเรื่อย ๆ ซีรีส์ก็คงไม่มีอะไรคืบหน้า ดังนั้นตัวละครกลุ่มชั้นล่างจึงวางแผนปฏิวัติขั้วอำนาจกัน ซึ่งก็สำเร็จและทำให้พวกเขาเป็นอิสระอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่ขั้วอำนาจจะพลิกกลับ ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของซีรีส์ พลิกไปพลิกมาจนลุ้นว่าอีกฝ่ายจะแก้เกมยังไง และจะสามารถหาทางออกให้กับเกมนี้ได้มั้ย

ทั้งหมดทั้งมวล เรารู้สึกว่าซีรีส์สะท้อนภาพสังคมแบ่งแยกชนชั้น และทุนนิยมได้ดีผ่านเหตุการณ์ที่ extreme ทั้งความเห็นแก่ตัวของชนชั้นบนที่หวังแต่จะตักตวงและไม่คิดจะเสียสละอะไรทั้งสิ้น การตกแต่งสถานที่เล่นเกมที่ซึ่งทุกอย่างเป็นของปลอม เปรียบเสมือนสังคมวัตถุนิยมที่ผู้คนต่างวิ่งไขว่คว้าสิ่งของต่าง ๆ แม้ว่ามันจะไม่ได้มีความหมายอะไร หรือการใช้รางวัลและบทลงโทษมาเป็นสิ่งควบคุมผู้ที่อยู่ด้อยกว่า เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ

ตัวละครทั้ง 8 กับบทบาทที่โดดเด่น

ผู้เล่นทั้ง 8 คนมีบุคลิกนิสัยที่แตกต่างกันไปอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนถึงสถานะบทบาทของคนในชีวิตจริง

ชั้น 1 (Bae Sung-woo): หนุ่มวัยกลางคน ขาไม่แข็งแรง มีความปากกัดตีนถีบ สู้ชีวิต
ชั้น 2 (Lee Joo-young): สาวห้าวสายบู๊ พร้อมบวกเพื่อผดุงความถูกต้อง
ชั้น 3 (Ryu Jun-yeol): หนุ่มธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น เป็นตัวแทนของคนทั่วไป
ชั้น 4 (Yul-Eum Lee): สาวสวยที่อยู่เป็น เลือกเข้าข้างฝ่ายที่ชนะ ขี้ประจบ เอาตัวรอดเก่ง
ชั้น 5 (Moon Jeong-Hee): หญิงวัยกลางคนจิตใจแม่พระ ขี้สงสาร โดนหลอกง่าย จิตใจอ่อนไหว
ชั้น 6 (Park Hae-joon): หนุ่มใหญ่อันธพาล วางมาดเก่ง พร้อมต่อยให้คว่ำแม้จะเป็นผู้หญิง
ชั้น 7 (Park Jeong-min): หนุ่มแว่นมาดดี สุขุม ฉลาด เป็นเหมือนหัวสมองของทีม
ชั้น 8 (Chun Woo-hee): สาวแซ่บลุคไฮโซ ติดหรู มีความเพี้ยน ๆ บ๊อง ๆ เหมือนคนรวยไร้สติ

บทบาทของแต่ละคนค่อนข้างสุดโต่ง เหมือนเป็น stereotype ของบุคลิกประเภทนั้น ๆ ซึ่งมันก็ทำให้เราเข้าใจตัวซีรีส์ได้ง่ายดี ไม่สับสนตัวละคร แต่บางตัวละครก็สุดโต่งมาก ๆ จนแอบยากที่จะเชื่อว่าจะมีคนแบบนี้อยู่จริง เช่น ชั้น 8 ที่ดูสนุกกับทุกเรื่อง เห็นแก่ตัวและไร้ความเมตตาใด ๆ ทั้งสิ้น หรือชั้น 6 ที่เอ็นจอยกับการไล่ทุบตีคนอย่างไม่มีเหตุผล หลาย ๆ ซีนทำให้รู้สึกว่า พวกเขาไม่มีความสำนึกผิดชอบชั่วดีแบบมนุษย์หลงเหลืออยู่แล้ว

และระหว่างทาง ก็จะเจอบางซีนที่ตัวละครทำเรื่องน่าขัดใจจนอดด่าไม่ได้ เช่น ใจอ่อนกับศัตรูจนพ่ายแพ้ หรือ เคียดแค้นเกินไปจนแผนพัง เป็นต้น แต่โดยรวม ๆ เรื่องราวก็ยังชวนให้ติดตาม และเอาใจช่วยฝ่ายถูกกระทำให้สามารถหนีรอดพ้นไปได้

หรือจริง ๆ พวกเราเสพติดความรุนแรง?

จะเห็นว่าในเกมโชว์นั้น ยิ่งความรุนแรงทวีคูณขึ้นเท่าไร เวลาก็เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น

สิ่งนี้ก็คงสะท้อนแบบตรงไปตรงมาว่า ความรุนแรงในรูปแบบความบันเทิงนั้นเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับผู้รับชมที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ก็เหมือนเราดูหนังแอ็กชั่น หรือหนังฆาตกรรมนั่นละ แม้จะดูด้วยความลุ้นบ้าง กลัวบ้าง แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่สนุก

และเมื่อสะท้อนกลับมายังตัวเราที่ดูซีรีส์เรื่องนี้ แม้ว่าจะเกิดความอึดอัดหดหู่ในฉากที่มีการทำร้ายกัน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งนี้ทำให้เรื่องราวสนุกขึ้น เข้มข้นขึ้นกว่าช่วงแรก ๆ ที่ผู้เล่นยังสามัคคีกันอยู่ ดูเหมือนว่าซีรีส์กำลังวิพากษ์ผู้รับชมโดยตรงนั่นแหละ ว่าจริง ๆ แล้วผู้ชมในเรื่อง กับผู้ชมอย่างเรา ๆ อาจจะไม่ได้ต่างกันขนาดนั้น

แนะนำสำหรับคนที่ชอบแนวระทึกขวัญ ทนรับความรุนแรงได้

The 8 Show เป็นซีรีส์ความยาว 8 ตอน ตอนละประมาณ 40-50 นาที ซึ่งเป็นความยาวที่กำลังพอเหมาะพอดี บางตอนแอบรู้สึกว่าไวด้วยซ้ำเพราะมันสนุก ตอนตัดจบก็จะแบบ ฮะ จบแล้วเหรอ แทบอยากจะกดดูต่อให้รู้แล้วรู้รอด เพราะตัดจบแต่ละตอนได้ค้างคาจริง ๆ

ในซีรีส์นี้จะมีการ flashback เล็กน้อยกลับไปยังชีวิตปกติของเหล่าผู้เล่น ซึ่งก็ไม่ชวนงงแต่อย่างใดเพราะนำเสนอในกรอบที่แคบลง ต่างกับเวลาปกติที่จะฉายเต็มจอ ตรงนี้อาจสะท้อนว่าเหล่าผู้เล่นในชีวิตจริงต่างถูกกดดันและมีข้อจำกัดกันทั้งนั้น

โดยรวมเราค่อนข้างชอบเรื่องนี้เลย สนุกทุกตอน เลเวลความเข้มข้นจะค่อย ๆ ไต่ขึ้นเรื่อย ๆ จนไปพีค ๆ เอาตอนท้าย ๆ ก่อนตอนจบจะค่อย ๆ ซอฟต์ลงอีกครั้ง ในภาพรวมคิดว่าน่าจะถูกใจคนที่ชอบแนวระทึกขวัญแบบเรา และพอจะคุ้นเคยกับฉากความรุนแรง บีบเค้นกดดันทางอารมณ์ ดูแล้วจะรู้สึกลุ้นตามมาก ๆ

Leave a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.

Blog at WordPress.com.

Up ↑