YOU เป็นซีรีส์ที่เราได้ยินกิตติศัพท์มานานมาก ตั้งแต่สมัยเข้า Netflix ใหม่ๆ แล้วก็เป็นธรรมเนียมของเราที่มักจะดูหลังชาวบ้าน (อีกแล้ว) โดยเราเริ่มมาดูซีซั่นแรกเมื่อปลายปีที่แล้ว พอดูซีซั่นแรกจบซีซั่นสองก็ลง Netflix ทันใด ข้อดีคือไม่ค้างคา ใครไม่อยากค้างระหว่างซีซั่น ดองแบบเราได้นะ xD
ซีรีส์เรื่องนี้มีหลายองค์ประกอบให้เรารู้สึกว่าน่าดู ไม่ว่าจะเป็นพล็อตเรื่องแนวโรมานซ์ทริลเลอร์ หรือพระเอกอย่าง Penn Badgley ที่หล่อแบบไม่สนใครหน้าไหน บวกกับกระแสหลายแหล่งบอกว่าสนุก น่ะ มันก็ต้องดูสักหน่อยละ
เนื่องจากเราดูสองซีซั่นติดกัน รีวิวนี้เลยขอบันทึกทั้ง 2 ซีซั่นเลยนะ
สปอยล์ตัวโตๆ
YOU ซีซั่นแรก: สตอร์กเกอร์ที่แอบมองเธออยู่นะจ๊ะ
เล่าเรื่องของ โจ โกลด์เบิร์ก (Penn Badgley) ชายหนุ่มที่ทำงานในร้านหนังสือ อยู่มาวันหนึ่งเขาก็เจอกวิเนเวียร์ เบ็ก (Elizabeth Lail) หญิงสาวที่เข้ามาเลือกซื้อหนังสือ แน่นอนว่าเสน่ห์ของเธอถูกใจโจในวินาทีนั้นเลย ถึงกับพร่ำเพ้อว่าเธอน่าหลงใหลอย่างนู้นอย่างนี้ โจใช้แรงปรารถนาทั้งหมดพาตัวเองไปสอดส่องเธอถึงอพาร์ตเม้นต์ แอบตามเธอในโซเชียลมีเดียจนรู้เรื่องราวของเธอราวกับเป็นเพื่อนสนิท ทำตัวเป็นสตอร์กเกอร์แบบต้นตำรับ แต่จนแล้วจนรอดทั้งคู่ก็เจอกันจนได้ โจและเบ็กเริ่มต้นความสัมพันธ์กัน ซึ่งโจก็โคตรจะหลงเบ็ก ถึงขั้นที่ว่าพยายามขจัดทุกตัวปัญหาของเบ็กออกไปจากชีวิต (เช่น แฟนเฮงซวย เพื่อนน่ารำคาญ) ความน่าลุ้นคือ โจจะไปสุดถึงขั้นไหน แล้วเบ็กจะรู้ความลับของโจรึเปล่า?
ความในใจของสตอร์กเกอร์ที่อยากเป็นฮีโร่
ก่อนอื่นเลย เราชอบการเล่าเรื่องของซีรีส์ที่แปลกใหม่ ด้วยการให้พระเอกพูดพร่ำเพ้ออยู่ในหัวประมาณ 80% ของเนื้อหา เราได้รู้หมดเลยว่าโจคิดอะไร รู้สึกอย่างไร ต้องการอะไร เรียกง่ายๆ ว่าคนดูกับโจนี่เหมือนฝั่งเดียวกันไปแล้ว ในขณะที่เบ็กถูกมองว่าเป็น “เธอ” หรือบุคคลที่สอง ซึ่งคนดูอย่างเราก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน มันเหมือนกับเราได้มองเรื่องราวทุกอย่างผ่านสายตาของโจ โจคนเดียวเลย
และนั่นก็เป็นแต้มต่อให้โจมากๆ
เนื่องจากว่าพฤติกรรมของโจนั้นเข้าข่ายประหลาดในหลายด้าน ตั้งแต่เริ่มสตอร์กเค้าแล้ว ลามมาเรื่องบุกบ้าน เก็บสะสมของลับ จนกระทั่งพีคสุดคือฆ่าคน คนแล้วคนเล่า ถ้าหนังเล่าในมุมมองคนอื่นที่ไม่ใช่โจ คงไม่แคล้วคนดูรู้สึกขยะแขยงโจเป็นแน่แท้ (ความหล่อก็ไม่ช่วยนะจุดนี้) แต่พอหนังเล่าเรื่องผ่านมุมมองของโจ มันทำให้ทุกอย่างดูมีเหตุผลหมดเลยว่ะ มีอารมณ์ความรู้สึกรองรับด้วย ไปๆ มาๆ ไอ้พฤติกรรมแปลกๆ เหล่านั้นกลับไม่ได้ดูรุนแรงเกินกว่าที่ควรจะเป็น หนังทำให้มันซอฟต์ด้วยการให้โจเป็นคนเล่าเรื่องเองนี่แหละ
และในมุมมองของโจนั้น เราจะสัมผัสได้ถึงความเป็นฮีโร่ปนผู้ชายโรแมนติกอยู่จางๆ คือเป็นผู้ชายที่หลงใหลผู้หญิงของเขามาก พร้อมจะทำเพื่อเธอทุกอย่าง ขอเพียงให้เธอมีเขาคนเดียว ฟังแบบนี้แล้วดูเป็นชายในฝันของสาวๆ หลายคน แต่ติดตรงที่ว่าโจนั้นไปสุดถึงขั้นฆ่าคนที่เข้ามาเป็นอุปสรรคในชีวิตเบ็ก หรือถ้าจะให้พูดอีกแบบคือ…ชีวิตของเขาและเบ็ก โจนั้นพยายามกล่อมตัวเองว่าที่ทำไปก็เพราะหวังดี อยากให้เบ็กมีชีวิตที่ดี ปราศจากคนที่อาจเป็นภัย
แต่แท้จริงแล้ว เมื่อลองสังเกตดูดีๆ แล้ว จะพบว่าโจทำเพื่อตัวเองต่างหาก เพราะถ้าคนเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ ก็อาจทำให้ภารกิจพิชิตเบ็กของโจนั้นยากขึ้น
และในท้ายที่สุด คำตอบมันก็ชัดเจนมากๆ ว่าโจทำเพื่อตัวเอง ตอนที่โจฆ่าเบ็กด้วยมือตัวเองนี่แหละ เมื่อรู้ว่าเบ็กคงไม่สามารถรักตนได้แล้ว หลังจากที่รู้ความลับทุกอย่าง พิษรักของโจก็กำเริบ ในเมื่อรักเขากลับไม่ได้ ก็อย่าหวังจะไปรักใครอื่นอีกเลย ตายซะเถอะ!
สุดท้ายแล้ว โจก็คือผู้ชายขาดความอบอุ่น ที่ต้องการจะมีที่ยึดเหนี่ยว ต้องการความสนอกสนใจ โหยหาความรักจากผู้อื่น และถ้าเขาไม่ได้มันมา ก็อย่าหวังเลยว่าคนอื่นจะได้เช่นกัน
สังคมป๊อปๆ ข้างนอกสวยข้างในกลวง
ประเด็นหนึ่งที่ YOU ซีซั่นแรกชูค่อนข้างหนักคือพฤติกรรมการเสพติดโซเชียลมีเดียของเบ็กและเพื่อนๆ จะเห็นได้ว่าเบ็กนางโพสนู่นโพสนี่แบบละเอียดยิบ ไปไหนมาไหนทำอะไรกับใคร เปิดเป็น public ซะด้วย จึงไม่ยากเลยที่โจผู้ถลำลึกจะสืบเสาะตัวเธอซะพรุน ในหนังอาจจะดูเว่อร์ๆ ไปบ้างว่าทำไมโจถึงสามารถปะติดปะต่อเศษข้อมูลหลายๆ อย่างเป็นรูปเป็นร่างได้ขนาดนั้น (ต้อง obsess ขนาดไหนกัน) แต่ในความเป็นจริง มันก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่ข้อมูลบนโซเชียลมีเดียของเราจะถูกสืบ ไม่ว่าจะลึกหรือตื้น แต่การโพสอะไรก็ตามลงบนอินเตอร์เน็ต ก็เท่ากับเราแชร์ข้อมูลส่วนตัวให้โลกรู้ไปแล้ว
นอกจากเรื่องโซเชียลมีเดีย ยังมีเรื่องโซเชียลสเตตัส หรือฐานะทางสังคม ที่ยัยเบ็กของเราเสพติดมากๆ แม้ว่าตังค์จะไม่เอื้ออำนวย เบ็กเป็นเพื่อนกับสาวๆ ที่แต่ละคนมีไลฟ์สไตล์แสนป๊อปลูกคุณหนู การจะเข้าแก๊งนี้ได้ เบ็กก็ต้องอัปไลฟ์สไตล์ตามไปด้วย ซึ่งนั่นไม่เป็นมิตรต่อฐานะการเงินของเธอที่ต้องพึ่งพาการสอนพิเศษเลย ไหนจะอพาร์ตเม้นต์ที่ดูเหมือนจะเกินกำลังซื้อที่แท้จริงของเธอด้วย
จะว่าไปแล้ว เบ็กนั้นเข้าข่ายผู้หญิงไม่เอาไหน ยิ่งรู้จักกันเรายิ่งรู้สึกว่าเธอกลวง นอกจากเสน่ห์ภายนอกแล้ว ภายในเธอไม่มีอะไรน่าดึงดูดเลย ทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวไปกับคนนู้นทีคนนี้ที ไม่รู้คนอื่นเป็นไหมแต่พอดูไปเรื่อยๆ เราเริ่มรำคาญเธอ และคิดว่าสิ่งที่โจรู้สึกกับเธอนั้นก็คงเป็นแค่ความหลงใหลจริงๆ
YOU ซีซั่นสอง: ไม่อยากเป็นแล้วฆาตกร แต่ Oops I Did It Again
ซีซั่นสองนี้เล่าเรื่องต่อจากความพีคในท้ายซีซั่นแรก เมื่อโจพบกับแคนเดซ (Ambyr Childers) แฟนเก่าที่เขาเคยเกือบฆ่าเธอ งานนี้แคนเดซกะตามแก้เผ็ดกันเลยทีเดียว โจจึงตัดสินใจย้ายถิ่นฐานจากนิวยอร์กไปแอลเอ เปลี่ยนตัวตนเป็นคนใหม่กลายเป็นชื่อ วิล เพื่อหวังว่าจะเริ่มชีวิตใหม่ และลืมเรื่องแย่ๆ ที่เกิดขึ้นไปซะ แต่แล้วโชคชะตาก็ไม่ปล่อยให้เขาว่างอยู่นาน โจได้เจอสาวสวยคนใหม่ชื่อเลิฟ ควินน์ (Victoria Pedretti) เธอกลายเป็นลูกสาวเจ้าของร้านสุขภาพ/ร้านหนังสือที่โจมาสมัครทำงาน ทั้งคู่เริ่มสานสัมพันธ์กัน ทางด้านโจเองก็พยายามห้ามใจแล้วนะ แต่สุดท้ายก็ยอมรับว่าชอบเลิฟจริงๆ และคราวนี้เขาก็พยายามอย่างมากที่จะไม่ทำให้เรื่องราวเก่าๆ มันซ้ำรอย แต่สุดท้ายก็มีเหตุให้โจฆ่าคนอีกจนได้ รอบนี้เลิฟจะรู้ความจริงไหมว่าวิลที่เธอรู้จักนั้นแท้จริงคือฆาตกรปลอมตัวมา? ไหนจะอดีตของโจที่ตามมาหลอกหลอนในหลายๆ รูปแบบอีก
เลิฟดีกว่าเบ็กมากในความคิดของเรา แต่…
สารภาพเลยว่าชอบเลิฟมากกว่าเบ็กมากๆ แม้ว่าความสวยมีเสน่ห์จะกินกันไม่ขาด แต่เราชอบความเป็นผู้ใหญ่และความสตรองของเลิฟ ดูเป็นคนที่ผ่านอะไรมาพอสมควร ฐานะก็ร่ำรวย ถ้าโจจะจริงจังกับคนนี้เราก็โอเคอะ และในซีซั่นนี้โจก็ดูจริงจังด้วยนะ ถึงขั้นคบกันและวางแผนอนาคตร่วมกันเลย
แต่ก็นั่นแหละ ด้วยความที่นางเอกสวยเก่งและเฉลียวฉลาด มันเลยไม่ได้ฟีลของความลุ้นหรือตื่นเต้นในเชิงสตอร์กเกอร์แอบตามเหมือนภาคแรกเท่าไร เพราะภาคนี้พี่โจเค้าเล่นเปิดตัวตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันเลย ไม่ต้องมาคอยแอบตามกันละ ความน่าลุ้นของซีซั่นนี้จึงไม่ใช่การต้องคอยกระมิดกระเมี้ยนตัวตน หรือคอยตามสะกดรอยสาวเท่าไร แต่จะไปอยู่ตรงความสัมพันธ์จริงจังที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น อยากรู้ว่ามันจะไปได้ไกลแค่ไหน แล้วโจจะรับมือกับอุปสรรคที่มาจากคนรอบตัวเลิฟอย่างไร
บอกว่าอยากเลิกฆ่าคน แต่รอบนี้ฆ่าโหดกว่ามาก
แหมทำเป็นบอกว่าจะไม่ทำอีกแล้ว จะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ แต่เผลอทีไรโจก็คว้าอาวุธฟาดคนทุกที และทุกครั้งพี่แกก็จะมีอาการแบบว่า Oops เผลออีกแล้ว เหมือนมันเป็นเรื่องที่ทำพลาดกันง่ายๆ งั้นแหละ ซีซั่นนี้บอกเลยใครชอบแนวโหดๆ น่าจะถูกใจ เพราะเลือดสาดกว่าเดิมมาก ฆ่ากันเละกว่าเดิม มีฉากแหวะๆ อยู่บ้าง เยอะกว่าซีซั่นแรกอะ
จะว่าไปแล้ว ซีซั่นนี้โจก็พยายามหนีจากความมืดในใจตัวเอง แต่สุดท้ายเขาก็ต้องยอมศิโรราบและยอมรับว่านี่แหละคือตัวตนของเขาเอง เขาคือคนที่หากจนมุม และจำเป็นจริงๆ ก็จะฆ่า
ตัวประกอบมีสีสันกว่าเดิม
ถ้าถามว่าซีซั่นแรกตัวประกอบที่เป็นตัวเด็ดๆ มีใครบ้าง หลักๆ น่าจะเป็นเบนจี้ (Lou Taylor Pucci) แฟนเก่าเบ็ก, พีช (Shay Mitchell) เพื่อนสนิทของเบ็ก พาโค (Luca Padovan) เด็กชายข้างห้องโจ และดร.นิกกี้ (John Stamos) จิตแพทย์ที่ให้คำปรึกษากับทั้งโจและเบ็ก (แคนเดซไม่นับละกันเพราะโผล่มาแวบๆ) แต่ซีซั่นสองนี้มีเพิ่มขึ้น แม้จะไม่มากแต่มีแบ็กกราวด์น่าสนใจทุกคน ไล่ตั้งแต่แคนเดซที่กลับมาทักทายโจอีกครั้งแบบเผ็ดร้อน, โฟร์ตี้ (James Scully) น้องชายสายตี้ของเลิฟ, เดไลลาห์ (Carmela Zumbado) และเอลลี่ (Jenna Ortega) สองพี่น้องที่อยู่หอพักเดียวกันกับวิล และเฮนดี้ (Chris D’Elia) ศิลปินผู้โด่งดัง ซึ่งตัวละครก็ไม่ได้เพิ่มเปล่านะ เพราะแต่ละคนช่วยให้เส้นเรื่องมีความน่าลุ้นน่าสนใจมากขึ้น และที่สำคัญคือมันเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของโจ-เลิฟทั้งหมดเลย
ความพีคท้ายเรื่อง ยังคงส่งต่อให้ซีซั่น 3 น่าลุ้นต่อไป
ซีซั่นสองจบลงตรงที่โจกับเลิฟเข้าใจซึ่งกันและกัน (เปิดใจด้วยว่าเคยฆ่าคนมาทั้งคู่) พวกเขาใช้ชีวิตร่วมกัน เลิฟท้องลูกแล้ว พวกเขาย้ายที่อยู่ไปอยู่บ้านหลังใหม่ ซึ่งแม้ว่าชีวิตคู่จะค่อนข้างลงตัวแล้ว แต่ดูเหมือนโจจะยังไม่เลิกพฤติกรรมชอบสตอร์ก เขาตามไปส่องสาวข้างบ้านอีกจนได้ ดูเหมือนซีซั่นหน้าน่าจะก้าวข้ามขอบเขตไปเล่นประเด็นรักต้องห้ามแล้ว ก็ต้องมาลุ้นกันว่าจะเป็นยังไง
สรุป YOU #1&2
มันเป็นซีรีส์ที่เหมาะสำหรับคนชอบแนวโรแมนติกทริลเลอร์ สามารถรับเลือดได้บ้าง ชอบความตื่นเต้นลุ้นระทึก ที่สำคัญคือต้องไม่ปิดกั้นว่าหนังรักจะต้องเป็นไปแบบขนบธรรมเนียมเดิมๆ เพราะเรื่องนี้ฉีกตั้งแต่พระเอกเป็นสตอร์กเกอร์แล้ว ซึ่งเราเข้าใจว่าไม่ใช่พฤติกรรมที่หลายคนชอบเท่าไร แต่ถ้าใครที่ไม่ซีเรียสอะไร นี่ก็เป็นอีกซีรีส์นึงที่สนุก ทิ้งท้ายแต่ละตอนทำเอาอยากกดดูตอนต่อไปเลย
YOU ซีซั่นสาม: ชีวิตหลังแต่งงานของฆาตกร

ซีซั่นสามนี้เล่าเรื่องต่อจากซีซั่นสองเลย ดังนั้นถึงแม้ห่างหายไปนานก็ยังจำได้ ไม่ได้ต้องใช้เวลาปะติดปะต่อเรื่องราวนานนัก
บ้านหลังใหม่ของเลิฟและโจอยู่ในชานเมืองอย่างมาเดรลินดา เมืองเล็ก ๆ แนว neighborhood ที่ดูไม่ฉูดฉาด พวกเขามาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ และหวังจะให้ลูก “เฮนรี่” ได้เข้าเรียนในโรงเรียนอนุบาลชั้นนำ
แน่นอนว่าขึ้นชื่อเป็นครอบครัวโรคจิตแล้ว ชีวิตน่าเบื่อ ๆ คงไม่คล้อยอยู่นาน สืบเนื่องจากซีซั่นสอง โจเหมือนจะแอบชอบสาวข้างบ้าน ซึ่งมาภาคนี้ก็เฉลยว่าเธอคือ “นาตาลี” (Michaela McManus) ภรรยาที่อยู่อย่างโดดเดี่ยวในบ้าน สามีไม่ค่อยกลับมาบ้านเท่าไร นาตาลีและโจมีโอกาสได้เจอกัน และเกือบจะมีสัมพันธ์กันแล้ว โชคดีที่โจหยุดไว้ได้ก่อน แต่ก็ยังไม่พ้นสายตาเหยี่ยวของเลิฟที่รู้ทันว่าโจคิดอะไรกับนาตาลี เมื่อสบโอกาส เลิฟจึงฆ่านาตาลีแบบไม่มีหยุดคิดสักนิด เป็นจุดเริ่มต้นของการอำพรางฆาตกรรมที่โจกับเลิฟต้องคอยช่วยกันไม่ให้คนในสังคมรู้ว่าพวกเขาอยู่เบื้องหลังการตายของสมาชิกในหมู่บ้า
ภรรยาเป็นฆาตกร ส่วนสามีคอยเก็บกวาด
ภาคนี้ส่วนใหญ่คนที่ลงมือฆ่าจะเป็นเลิฟ ซึ่งหลายครั้งก็ฆ่าแบบไม่ได้ไตร่ตรองมาก่อน ฆ่าด้วยอารมณ์ชั่ววูบล้วน ๆ ซึ่งนี่แหละเป็นสิ่งที่ทำให้เราลุ้น เพราะเราจะไม่สามารถเดาได้ล่วงหน้า รู้ตัวอีกทีเธอก็ถือขวานพร้อมจามคนแล้ว ซึ่งมันก็ทำให้สถานการณ์ของโจกับเลิฟยิ่งลำบากขึ้นเรื่อย ๆ จากหนึ่งคดีเป็นสองคดี ต่ออีกเป็นหลายคดี แค่อำพรางหนึ่งคดีก็ยากแล้ว
ส่วนใหญ่ภาคนี้โจจึงเป็นเหมือนคนคอยเก็บกวาดให้เลิฟ ด้วยความที่ประสบการณ์หนาแน่นอยู่แล้วจึงไม่ค่อยน่าเป็นห่วงแต่ก็ยังมีลุ้นเหมือนกันเพราะ “แมทธิว” (Scott Speedman) สามีของนาตาลี เป็นเจ้าของบริษัทเทคฯ ที่ยังไม่วางใจว่าภรรยาฆ่าตัวตาย เขาคิดว่าต้องมีคนฆ่าเธอแน่ ๆ จึงคอยสืบเสาะคดีอยู่
เล่นชู้เหมือนเป็นเรื่องปกติ

มาในภาคนี้ทั้งคู่แต่งงานกันแล้ว บางคนอาจจะคิดว่ามันคงไม่มีสีสันในเรื่องของความรักความหลงใหลแล้วละ แต่คิดผิดแล้ว พอแต่งงานกัน ทั้งคู่ก็ยังมิวายเผลอใจไปให้คนอื่น ทั้งโจที่ไปหลงชอบนาตาลี แล้วช่วงหลังก็ไปหลงใหล “แมริแอนน์” (Tati Gabrielle) เพื่อนร่วมงานที่ห้องสมุดแบบระดับคลั่งรัก คิดกะจะไปใช้ชีวิตอยู่ด้วย
ส่วนเลิฟนั้นก็ไม่แพ้กัน เธอถูก “ธีโอ” (Dylan Arnold) ลูกชายของแมทธิวตามจีบ ตอนแรกเลิฟก็ไม่เล่นด้วย แต่ไป ๆ มา ๆ ก็แพ้ทางเด็กและสานสัมพันธ์ด้วยจนได้
ยังไม่นับนาตาลีที่เปิดทางให้โจตั้งแต่แรก ๆ ทั้งที่ตัวเองก็มีสามีอยู่แล้ว แสดงให้เห็นว่าบนโลกนี้ก็ยังคงมีคนที่พร้อมจะนอกใจคู่รักของตัวเองอยู่ ถ้าชีวิตแต่งงานมันไม่ราบรื่นและมีความสุขเท่าที่คาดหวังไว้
เฮนรี่ไม่ค่อยมีบทบาทเท่าไร

จากทีเซอร์ จะเห็นว่ามีบทโจพูดคุยกับลูกเยอะมาก จนเราคิดว่าลูกน่าจะมีผลกระทบกับเนื้อเรื่องหลักระดับนึง ตอนแรกคิดประมาณว่า ลูกข้าใครอย่าแตะ หรือไม่ก็ โจมีปัญหากับลูก ฯลฯ
แต่เอาเข้าจริง ลูกชายอย่าง “เฮนรี่” มีบทค่อนข้างน้อย เหมือนมีใส่เข้ามาเพื่อให้รู้ว่าโจกับเลิฟมีลูกแล้วนะ อย่างมากสุดก็แค่ทำให้เราเชื่อว่าการมีลูกส่งผลให้เลิฟเหนื่อยขึ้นในฐานะแม่ และขี้หงุดหงิดเหมือนผู้หญิงวัยทองมากขึ้น แต่นอกเหนือจากนั้นเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเฮนรี่มีความสำคัญกับเนื้อเรื่องเท่าไร ปมที่ว่าแม่เลิฟ (Saffron Burrows) คิดว่าเฮนรี่คือ “โฟร์ตี้” น้องชายของเลิฟกลับมาเกิด ก็ดูลอย ๆ ไม่ได้จับต้องได้เท่าไร
หลังแต่งงานก็ยิ่งโรยรา
ความสัมพันธ์ของโจกับเลิฟเรียกได้ว่าดิ่งลงเหวทันทีที่แต่งงานกัน แค่อีพีแรก ๆ ทั้งคู่ก็ต้องเข้าบำบัดแล้ว ดูเหมือนความหอมหวานสมัยรักแรกพบนั้นจะละลายหายไปโดยสิ้นเชิง
นั่นคงเป็นเพราะธรรมชาติของโจกับเลิฟนั้นไม่ชอบอะไรที่น่าเบื่อ ทั้งคู่ชอบสีสัน ชอบความตื่นเต้น พอต้องมาใช้ชีวิตเหมือนพ่อแม่ย่านชานเมืองทั่วไป มันก็เหมือนตัวตนที่แท้จริงถูกกักขังไว้ ในขณะที่ภายนอกก็ต้องพยายามทำหน้าที่พ่อแม่ สามีภรรยาที่ดี ซึ่งขัดกับเนื้อแท้ของตัวเอง
จึงหนีไม่พ้นการนอกใจ ซึ่งทำให้ต่างฝ่ายต่างลุ้นระทึกมากขึ้น (โดยเฉพาะโจ ที่เสพติดกับการสตอร์กคนเป็นชีวิตจิตใจ) และเกิดอาการเบื่อขี้หน้าคู่ชีวิตตัวเองที่ไม่มีอะไรให้น่าหลงใหลอีกต่อไปแล้ว
สังคมหน้าไหว้หลังหลอก

มาเดรลินดานั้นดูเผิน ๆ ก็ไม่มีพิษภัยอะไร เหมือนสังคมย่านชานเมืองทั่วไป ทว่าตั้งแต่อีพีแรก ๆ แล้วที่เราจะได้เห็นว่าผู้คนรอบตัวเลิฟกับโจนั้นล้วนยิ้มแย้มแต่เพียงหน้ากาก หลังฉากพวกเขาก็นินทากันปากเปียกปากแฉะ ตัวละครอย่าง “เชอร์รี่” (Shalita Grant) ค่อนข้างเด่น กับบุคลิกความเป็นเน็ตไอดอลที่ต้องแสร้งทำตัวเป็นคนดีเว่อร์ ๆ ตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็แผ่อีโก้ออกมาอย่างเนียน ๆ ด้วยอ้างถึงบล็อกชื่อดังของตัวเองบ่อยครั้ง
แม้กระทั่งตอนท้าย ๆ ที่เหมือนเชอร์รี่กับเลิฟจะพอคบหาเป็นเพื่อนกันได้ แต่เมื่อเชอร์รี่รู้ความจริงเรื่องเลิฟ ภายนอกเธอก็ประจบสอพลอ แต่ลับหลังก็พยายามหาทางทำลายเลิฟ เรียกได้ว่าถ้าเป็นเพื่อนนี่อันตรายใช่ย่อย นอกเหนือจากจะเฟกรัว ๆ ใส่กันต่อไป
สรุป YOU ซีซั่น 3
ซีซั่น 3 นั้นเรียกได้ว่าพีคหลายจุด พีคเรื่อย ๆ ขึ้นทุกตอน มีอะไรที่คาดไม่ถึงค่อนข้างเยอะ ภาคนี้จบด้วยการที่โจฆ่าเลิฟ เผาบ้านทิ้ง อำพรางคดีว่าเลิฟฆ่าตนเรียบร้อยแล้ว พร้อมเอาลูกไปฝากเพื่อนร่วมงานไว้ ส่วนโจก็เปลี่ยนชื่อเป็น “นิก” ย้ายไปอยู่ปารีส ด้วยความหวังว่าจะหาแมริแอนน์ให้เจอ (แมริแอนน์เกิดที่ปารีส)
หนังทิ้งท้ายว่ามีภาคต่อ ซึ่งก็น่าสนใจว่าหนังจะเล่าไปทางไหนต่อ โจจะกลับไปหาแมริแอนน์จริงมั้ย หรือจะไปเจอ You คนใหม่ เชื่อว่าซีซั่น 4 ก็น่าติดตามไม่แพ้กัน
YOU ซีซั่น 4: เมื่อโจกลายเป็นเหยื่อเสียเอง…รึเปล่า?

มาต่อกันที่ซีซั่น 4 ซึ่งเรื่องราวก็ดำเนินต่อเนื่องจากซีซั่นก่อน โดยรอบนี้จะแบ่งเป็น 2 พาร์ทด้วยกัน พาร์ท 1 ถูกปล่อยออกมาก่อนทิ้งช่วงต่อด้วยพาร์ท 2
เรื่องราวเล่าถึงชีวิตใหม่ของโจในลอนดอน ซึ่งกลายร่างเป็น “โจนาธาน” อาจารย์สอนวรรณกรรมอเมริกันในมหาวิทยาลัย เขาตัดสินใจปล่อยแมริแอนน์ไปแล้วคิดจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งแบบคนธรรมดา
แต่แล้วปัญหาก็มาเยือนโจจนได้ เพราะจู่ๆ ตื่นมาวันหนึ่งหลังปาร์ตี้หนัก โจดันเจอศพเพื่อนเขาอยู่ในห้องของตัวเอง! ขณะเดียวกันเขาก็เริ่ม ๆ สนใจ “เคท” (Charlotte Ritchie) ภรรยาของเพื่อนที่ได้พบเจอกัน
จากฆาตกร กลายเป็นนักสืบ

พาร์ทแรกมีสิ่งที่น่าสนใจตรงที่เหมือนบทบาทโจจะเปลี่ยน จาก “นักล่า” กลายเป็น “เหยื่อ” ซะเอง เพราะรอบนี้เหมือนโจจะกำลังเผชิญกับฆาตกรลึกลับที่กำลังเล่นเกมไล่จับกับเขา ฆาตกรคนนี้มีข้อมูลว่าโจเคยเป็นใคร และคอยข่มขู่โจให้ทำตามที่ตนต้องการ โจจึงจำต้องเดินตามหมากเพราะไม่อย่างนั้นความลับของตนอาจจะถูกแฉ แต่ขณะเดียวกันโจก็คอยพยายามสืบด้วยว่าใครกันที่เป็นฆาตกร
ตัวละครในซีซั่นนี้ยกเซ็ตใหม่หมดเลยเพราะโจย้ายมาอยู่ลอนดอน ก็จะได้เจอกับแก๊งคนรวยที่เพื่อนของโจแนะนำมา ฟีลของหนังจะคล้าย ๆ นิยายของ Agatha Christie แนว ๆ ว่าเอ๊ะใครฆ่านะ มีผู้ต้องสงสัยหลายคน ซึ่งนี่ก็เป็นรสชาติแปลกใหม่ของ You ซีซั่นนี้ ถ้าคนชอบก็คงชอบ แต่ถ้าใครติดรสชาติแบบเก่า ๆ อาจจะรู้สึกว่ามันขัด
ถึงอย่างนั้น เราก็คิดว่ามันสดใหม่ดี และคิดว่าเรื่องราวน่าจะขยายต่อยอดไปได้อีก
หนังจบพาร์ท 1 ด้วยการเฉลยฆาตกร ซึ่งก็เหนือความคาดหมายอยู่เหมือนกันที่กลายเป็น “รีส” (Ed Speleers) หนุ่มนักเขียน ว่าที่นายกฯ
ทว่า…พาร์ท 2 ยิ่งพีคกว่าเพราะหักมุมแบบชวนเอ๋อ

พอเนื้อเรื่องเริ่มเข้าร่องเข้ารอย พวกเราเหมือนจะเดาทางกันได้ หนังก็หักมุมชนิดต่อไม่ติด ทำเอางงกันถ้วนหน้า เมื่อเฉลยว่าจริง ๆ แล้วโจมันมโนฆาตกรขึ้นมาเองหมด จริง ๆ โจนั่นแหละที่เป็นคนฆ่ามาตลอด และการสนทนากับรีสต่อหน้าต่อตานั้น จริง ๆ ก็คือโจคุยกับตัวเอง เป็นงั้นเฉยยยย
ไอเดียของมันคือ โจแยกส่วนที่แย่ที่สุดออกมาเป็นอีกคนหนึ่งที่โจชื่นชอบและรู้สึก connect ด้วย (โจอ่านหนังสือชีวประวัติของรีส ซึ่งรีสมีชีวิตคล้าย ๆ โจคือลำบากมาก่อน) กลายเป็นคนสองบุคลิกว่างั้น เพราะโจเวอร์ชั่นใหม่นั้นต้องการกลับตัวกลับใจ อยากเป็นคนดี อยากมีชีวิตปกติ แต่ถึงอย่างนั้นลึก ๆ เขาก็ยังมีความเป็นปีศาจชั่วร้ายอยู่ ซึ่งบางทีมันก็จะครอบงำเขา จนอีกตัวตนของเขาถูกกลืนหายไปชั่วคราว
ข้อดีของการหักมุมนี้คือ ทำให้เราได้รสชาติเดิม ๆ ของ You กลับมา ประมาณว่า You อิโจมันต้องโรคจิตสิ! แต่ข้อเสียคือมันปุบปับเหมือนหมดมุกไปหน่อย เพราะคิดว่าต้นเรื่องปูทางมาดีมาก ๆ แต่กลับหักมุมว่าทั้งหมดนั้นคิดเองอยู่คนเดียว ส่วนตัวคิดว่าหักมุมแนวนี้มันเชยไปหน่อย
แต่ถึงอย่างนั้น พอเฉลยแล้ว มันก็มีความบันเทิงตรงที่รีสในมโนความคิดของโจก็ยังไม่หายไปไหน ยังคงป้วนเปี้ยนคอยปั่นอยู่ข้าง ๆ เหมือนเป็นคู่คิดที่ปรึกษาในด้านชั่วช้ายังไงยังงั้น ซึ่งการโต้เถียงกันของทั้งคู่ก็ตลกแปลก ๆ ดี
พบรักกับหญิงสาวผู้เย็นชาแต่ภายในเปราะบาง

“เคท” คือนางเอกของซีซั่นนี้ ซึ่งภาพลักษณ์ของเธอคือสาวหน้านิ่งที่ชอบพูดห้วน ๆ ใส่โจ มาพร้อมอารมณ์ขันตลกร้ายสไตล์คนอังกฤษ ช่วงแรกกระแนะกระแหนโจจนตัวพรุน แต่สุดท้ายเธอก็หลงรักโจจนได้ (ยังงงว่าคนแบบเคทมาหลงรักโจได้ไงวะ 555)
ถ้าเทียบกับนางเอกคนก่อน ๆ เคทถือว่าเป็นคนที่ดู mature ที่สุด และดูมีความเข้าถึงยาก ไม่หน่อมแน้มเหมือนเบ็กและไม่ประสาทแดกเหมือนเลิฟ ตอนแรกนางตั้งกำแพงไว้ค่อนข้างสูง แต่เมื่อโจสามารถทลายกำแพงได้ ก็ค้นพบว่าเคทเป็นคนที่จริงใจ และมีจิตใจดีมาก ๆ คนหนึ่ง ดีจนโจไม่อยากจะรั้งไว้เลยเพราะกลัวเหตุการณ์จะซ้ำรอยฆ่าเมียอีก
สังคมคนรวย
ในซีซั่นนี้โจได้พาตัวเองเข้าไปอยู่ในแวดวงคนรวยของลอนดอน รอบล้อมไปด้วยผู้คนที่มีอิทธิพลต่อด้านต่าง ๆ เราจะได้เห็นความฟุ้งเฟ้อของคนกลุ่มนี้ ความหน้าไหว้หลังหลอก ปากบอกเป็นเพื่อนแต่ลับหลังก็ซุบซิบนินทาหัวเราะเยาะกัน คบกันเพราะผลประโยชน์ ใช้ชีวิตแบบกลวง ๆ เอาเปรียบคนอื่น รวมถึงคู่รักที่ฝ่ายชายหวังจะเกาะผู้หญิงกิน
ในวงนี้ อาจเรียกได้ว่ามีไม่กี่คนที่เนื้อแท้เป็นคนดีจริง ๆ คนนึงก็เคทนั่นละ ส่วนอีกคนคือ “เลดี้ฟีบี้” (Tilly Keeper) ที่ตอนแรกดูเผิน ๆ เหมือนสาวบลอนด์ไร้สมอง แต่จริง ๆ เธอเป็นคนดีมาก ดีเกินไปจนมักโดนเอาเปรียบเพราะมองโลกสวยเกินจริง
นักสืบตัวจริงคือนักเรียนของโจ

อีกตัวละครที่เด่นของซีซั่นนี้คือ “นาเดีย” (Amy-Leigh Hickman) นักเรียนสาวที่เรียนวิชาของโจ เธอชื่นชอบวรรณกรรมสืบสวนเป็นทุนเดิม เมื่อรู้สึกตะหงิด ๆ ว่าโจอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของตัวละครอื่น ๆ ต่อมนักสืบจึงทำงาน นาเดียเริ่มสืบเรื่องราวของโจ เป็นอีกตัวละครที่เราลุ้นว่าจะสามารถเปิดโปงโจได้มั้ย
แม้นาเดียจะฉลาด แต่ขณะเดียวกันเราก็มองว่าเธอบู๊เกินจริงไปหน่อย หลาย ๆ ซีนเรารู้สึกว่ามันอันตรายและต้องใช้แรงฮึดมาก แต่นาเดียก็ทำได้แบบชิว ๆ แม้กระทั่งตอนที่บอกว่าต้องฆ่ากันให้ตายไปข้าง มันก็ดูขัด ๆ เพราะเธอเป็นเด็กธรรมดา ไม่ได้เป็นฆาตกรแบบโจสักหน่อย
แต่ถึงนาเดียจะเดินแผนอย่างรัดกุมเพียงใด สุดท้ายก็พ่ายแพ้ต่อโจจนได้ ซึ่งจุดจบของนาเดียกับแฟนนั้นก็เศร้าเกินคาดเหมือนกัน
สรุป YOU ซีซั่น 4
ถือเป็นซีซั่นที่สาดรสชาติใหม่ ๆ เข้ามาได้อย่างน่าสนใจ แม้สุดท้ายจะวกกลับรสชาติเดิมก็ตาม ตอนจบก็พีคต่อเนื่อง เพราะหลังจากที่รอดชีวิตจากการโดดน้ำ โจก็ฟื้นขึ้นมาพร้อมด้วยการยอมรับว่ายังไงเขาก็จะยังมีตัวตนชั่ว ๆ อยู่ในร่างแหละ และแทนที่จะหนี ก็ใช้ประโยชน์จากมันเลยเป็นไง? โจเลยพลิกชีวิตกลับมาดี มีเคทเป็นแฟน มีทีมงานของพ่อเคทคอยช่วยเหลือเรื่องกลบข่าวต่าง ๆ เกี่ยวกับตัวเขา และมีแนวคิดที่ว่าการฆ่าคนเป็นเรื่องปกติ เอาแล้วมันอัพเลเวลโรคจิตขึ้นแล้ว
ส่วนตัวรู้สึกว่าจบแค่ซีซั่นนี้ก็คอมพลีทอยู่นะ แต่ถ้ามีซีซั่น 5 ก็น่าสนใจว่าพล็อตเรื่องจะเป็นยังไงต่อ
Leave a Reply