เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่เล็งว่าอยากดูมาสักพักแล้ว กับ Heartstopper ซีรีส์แนว LGBTQ โรแมนติกคอเมดี้ในรั้วโรงเรียนที่ดัดแปลงมาจาก Graphic Novel ในชื่อเดียวกันของ Alice Oseman
ส่วนตัวเรายังไม่เคยอ่านหนังสือ (เล็งไว้เหมือนกัน) การดูซีรีส์เลยไม่ได้มีอะไรเปรียบเทียบ ซึ่งพอดูจบก็ชอบมากกก ประทับใจ เลยอยากรีวิวเก็บไว้เป็นโพสนี้ค่ะ
เรื่องย่อ

Heartstopper เล่าเรื่องของ “ชาร์ลี” (Joe Locke) เด็กหนุ่มลุคเนิร์ดที่ประกาศตัวออกไปแล้วว่าเป็นเกย์ เขาได้เจอกับ “นิค” (Kit Connor) หนุ่มนักกีฬารักบี้ในคลาสเรียนขึ้นการศึกษาใหม่ ซึ่งพอชาร์ลีเจอนิคครั้งแรกก็ปิ๊งเลย แอบเก็บไปเพ้อคนเดียว แต่ก็พะวงใจเพราะคิดว่านิคน่าจะชอบผู้หญิง เพื่อนก็บิ๊วเหลือเกินว่าเขาไม่ชอบแกหรอก แต่ไป ๆ มา ๆ ยิ่งสนิทกันมากขึ้น ทางฝั่งนิคก็เริ่มจะหวั่นไหว งงใจตัวเองว่าสรุปเป็นเพศอะไรกันแน่
จริง ๆ พล็อตเรื่องก็ง่าย ๆ แบบนี้เลย ไม่มีอะไรซับซ้อน จะบอกว่าไม่ได้แปลกใหม่ก็ว่าได้ แต่เรื่องราวง่าย ๆ แบบนี้แหละที่ทำให้คนเข้าถึงได้ง่าย ดูสบาย ๆ ไม่เครียด
แต่ถึงพล็อตจะง่าย ซีรีส์ก็นำเสนอแต่ละอย่างได้ค่อนข้างละเอียดอ่อน แฝงประเด็นเรื่องเพศและการเติบโตช่วงวัยรุ่นได้อย่างอัดแน่น ดูแล้วอาจจะคุ้น ๆ ว่าเอ๊ะเหมือนเราก็เคยเจอเหตุการณ์อะไรแบบนี้นะ
เคมีของชาร์ลี-นิค เข้ากันมาก ๆ

อย่างแรกที่อยากอวยคือเคมีของคู่หลักอย่างชาร์ลีกับนิค ซึ่งดูทีไรก็รู้สึกนุบนิบหัวใจ มันน่ารัก น่าเอ็นดู ใจฟูมาก ๆ ด้วยคาแรคเตอร์ของชาร์ลีที่ออกแนวติ๋ม ๆ ขี้เกรงใจ ไม่มั่นใจในตัวเอง ส่วนนิคก็เป็นคนที่ positive มาก ๆ เป็นคนอบอุ่นใจดี คอยให้กำลังใจและมอบความมั่นใจให้ชาร์ลีเสมอ เป็นเหมือน safe zone ที่ให้การสนับสนุนชาร์ลีได้ดีมาก ๆ พอดูแล้วเลยรู้สึกว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่มันมีความใส ๆ น่ารักสไตล์เด็กไฮสคูล ฉากที่ทั้งคู่อยู่ด้วยกันแต่ละฉากก็คือชวนยิ้มแก้มปริ ยิ่งถ้าสวีตเมื่อไรก็เตรียมหมอนไว้ในมือดี ๆ เลยคุณ มันฟินมากกกแม้ไม่ต้องติดเรต มีเอฟเฟกต์คิ้วท์ ๆ อย่างใบไม้ปลิว ผีเสื้อบิน มาเพิ่มความมุ้งมิ้งด้วย
ความสับสนของนิค และความลำบากของชาร์ลี ในการเผชิญความเปลี่ยนแปลง

ซีรีส์เล่ารายละเอียดตรงนี้ได้ดี ทำให้เราสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของทั้งคู่เลย ในฝั่งชาร์ลี เนื่องจากเคยโดนบูลลี่หนัก ๆ ในอดีตสมัยที่เพิ่งเปิดตัว แถมกิ๊กเก่าอย่าง “เบน” (Sebastian Croft) ก็อายที่จะเปิดเผยความสัมพันธ์กับเขา ทำให้ชาร์ลีมักจะรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เป็นภาระให้คนอื่น ไม่น่าเกิดมาเลย เป็นความรู้สึกด้อยค่าตัวเอง ทำให้คิดว่าตัวเองไม่ควรค่าที่จะมีความสัมพันธ์กับใคร กลัวจะไปทำชีวิตเขาพัง
ในฝั่งของนิค ที่คิดว่าตัวเองชอบผู้หญิงมาตลอด พอเจอชาร์ลีก็เริ่มหวั่นไหว และสับสนว่าสรุปแล้วตัวเองเป็นเพศอะไร ต้องเปิดแบบทดสอบ กูเกิลหาคำตอบกันวุ่น เพราะแม้จะเริ่มชอบชาร์ลี แต่นิคก็ยังชอบผู้หญิงอยู่ ความสับสนในความเปลี่ยนแปลงนี้ก็ทำให้นิคมึน ๆ ไปช่วงนึงเหมือนกัน
ไม่ได้มีแค่ความสัมพันธ์ของชาย-ชาย

นอกจากความสัมพันธ์ของนิคกับชาร์ลีที่เป็นคู่หลัก ซีรีส์ยังให้น้ำหนักกับตัวละครอื่น ๆ อีกด้วย โดยตัวละครอื่น ๆ ก็มีความยูนีคต่างกันไป
คู่แรกคือคู่รักหญิง-หญิง อย่างทาร่า (Corinna Brown) และดาร์ซี่ (Kizzy Edgell) ที่อยู่โรงเรียนหญิงล้วนใกล้ ๆ ดาร์ซี่ come out มาก่อนแล้ว ส่วนทาร่าเพิ่งมา come out ในช่วงเวลาของซีรีส์ ซึ่งการเปิดเผยตัวตนนี้ก็ทำให้ทั้งคู่โดนเพื่อน ๆ มองเหยียดและล้อเลียน ทางด้านดาร์ซี่ไม่อะไรเท่าไรเพราะนางช่างแม่งมาอยู่แล้ว แต่ทาร่าที่เพิ่งเปิดตัวนั้นก็ไม่ชินที่คนรอบ ๆ ตัวเปลี่ยนไป ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ support ซึ่งกันและกัน แถมยังช่วย support และให้คำปรึกษาคู่ชาร์ลีกับนิคอีกด้วย

คู่ที่สองคือคู่เพื่อนสนิทอย่างเทา (William Gao) หนุ่มเนิร์ดผู้ให้ความสำคัญกับมิตรภาพ และแอลล์ (Yasmin Finney) สาวข้ามเพศที่ต้องย้ายไปเรียนโรงเรียนหญิงล้วนแทน ทั้งคู่เป็นเพื่อนซี้กันมาแต่ไหนแต่ไร ทว่าพักหลัง ๆ แอลล์เริ่มหวั่นไหวกับเทา แต่เธอก็พยายามปิดซ่อนไม่ให้อีกฝ่ายรู้เพราะกลัวจะเสียเพื่อนไป เป็นอีกคู่ที่น่าลุ้นพอ ๆ กับคู่หลักเลย
อุปสรรคที่รายล้อม

ขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องราวของ LGBTQ ย่อมหนีไม่พ้นพวกกลุ่มคนที่ต่อต้านหรือไม่ชอบใจคนกลุ่มนี้ ก่อให้เกิดการบูลลี่ล้อเลียน เรื่องนี้ก็มีเหมือนกัน ที่ชัดและน่าหมั่นไส้สุดคือ “แฮร์รี่” (Cormac Hyde-Corrin) หนึ่งในเพื่อนของนิคซึ่งเป็นหัวโจกจอมซ่า บูลลี่คนไปทั่ว ลามมาบูลลี่ชาร์ลีด้วย ซึ่งชาร์ลีที่ติ๋ม ๆ อยู่แล้วก็ยิ่งรู้สึกแย่ พานให้นิคต้องเข้ามาปกป้อง นอกจากแฮร์รี่แล้วยังมีเบน กิ๊กเก่าที่มักจะใช้คำพูดทิ่มแทงชาร์ลีให้รู้สึกแย่ ทั้งที่ตัวเองก็ไม่กล้ายอมรับว่าเป็นเกย์เหมือนกัน
ในฝั่งของคู่รักหญิง-หญิง อย่างทาร่าและดาร์ซี่ก็ใช่ว่าจะรอด พอเปิดตัวปุ๊บ เพื่อน ๆ รอบด้านก็พากันมองเหยียด เมคฟันเป็นว่าเล่น อย่างที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น
ข้อดีของเรื่องนี้คือ ทางฝั่งผู้ใหญ่ดูจะไม่มีปัญหาอะไรเลย ค่อนข้างจะซัพพอร์ตด้วยซ้ำ อย่างฉากที่นิคเปิดเผยกับแม่เรื่องที่ว่าคบกับชาร์ลี ดูแล้วแฮปปี้แทนนิคมาก แม่ไม่ว่าอะไรเลยแถมยังดีใจที่ลูกมาบอกอีก ในฝั่งของชาร์ลีก็มีคุณครูสอนศิลปะที่คอยให้คำปรึกษาเหมือนเพื่อน พี่สาวคอยให้กำลังใจ และพ่อที่ช่วยเหลือตลอดเวลา เรียกได้ว่าเรื่องนี้ผู้ใหญ่คุณภาพดีมาก
สรุปรวม
Heartstopper เป็นซีรีส์ที่ดูสบาย ๆ แต่ละตอนใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง มีทั้งหมด 8 ตอน แป๊บ ๆ ก็จบแล้ว ตัวเรื่องดำเนินไปอย่างเรียบง่ายเพลิน ๆ ไม่เครียด แต่ก็สามารถเล่าประเด็นที่น่าสนใจหลาย ๆ เรื่องของ LGBTQ ได้อย่างดี ทำให้เข้าถึงได้ง่าย
ตัวละครมีเสน่ห์สุด ๆ โดยเฉพาะนิคและชาร์ลีที่เคมีเข้ากันดีมาก อยู่ด้วยกันแล้วพาให้ใจเบิกบาน ส่วนตัวละครประกอบคนอื่น ๆ ก็ดีไม่แพ้กัน ช่วยสร้างสีสันให้ซีรีส์ได้
ซีรีส์มีแง้ม ๆ บอกว่าจะมีภาค 2 ต่อ รอติดตามได้เลย แม้ว่าภาค 1 จะจบอย่างแฮปปี้เหมือนจบสมบูรณ์แล้ว แต่เดาว่าภาค 2 ต้องมีอะไรสนุก ๆ ต่อแน่
Leave a Reply